Your Wishlist

พลิกลิขิตฟ้าคว้าใจเธอ (บทที่ 7 : ปัญหา)

Author: อักษรเงิน

เมื่อถูกใส่ร้าย! อดีตนักแสดงสาวก็ตกหลุมพลางและถูกฆ่าตายในที่สุด ทว่าสวรรค์ยังมีตาให้เธอกลับมาเกิดใหม่ และคราวนี้เธอต้องการแก้แค้นและเพื่อค้นหาความจริง! คราวนี้เธอตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ตกหลุมพรางของความรักอีก แต่! ใครบอกเธอได้ว่าทำไมอดีตสามีที่น่ารำคาญถึงตามหลอกหลอนเธอทั้งวันทั้งคืนแบบนี้!

จำนวนตอน :

บทที่ 7 : ปัญหา

  • 07/05/2565

“โดนด่าแบบนั้น นายยังรู้สึกดีอยู่อีกเหรอ?”  สวี่เฉียวหลีตอบไม่ตรงคำถาม สายตามองเลยไปที่กระจกมองหลังของรถ แล้วเห็นคนขับมีสีหน้าปกติเรียบเฉย คนเหล่านี้ไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยจริงๆ

 

“หือ?” เด็กอ้วนโต้ตอบไม่ทัน

 

“โธ่เว้ย! แค่พูดก็ยังทำไม่ได้!” เด็กสาวผมสีช็อคโกแลตสบถคำหยาบคายออกมา จากนั้นก็ยืนขึ้นแล้วแผดเสียงดังว่า “ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง! บอกให้ลงไปไงล่ะ!”

 

สวี่เฉียวหลีไม่แม้แต่จะปรายตามองเด็กสาวผมสีช็อคโกแลตเลยด้วยซ้ำ ดูเหมือนคร้านจะสนใจเธอ

 

เด็กสาวผมสีช็อกโกแลตถูกสวี่เฉียวหลีเมิน ความเดือดดาลก็พุ่งขึ้นสูงทะลุปรอทในทันที เธอสาวเท้าเดินไปหยุดอยู่ด้านข้างของสวี่เฉียวหลีอย่างรวดเร็ว “ที่ฉันพูดน่ะ?! เธอไม่ได้ยินเหรอ?” ขณะพูดก็เงื้อมือขึ้นหวังจะขยุ้มผมของสวี่เฉียวหลี แต่ก็ไม่เป็นไปตามที่เธอหวัง เพราะวินาทีต่อมา ศีรษะของเธอได้ถูกกดติดกับบานกระจกรถบัสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

แม้ว่าร่างกายของสวี่เฉียวหลีจะอ่อนแอ ทว่าตอนที่เธอเป็นสวี่ซินหราน ตระกูลจางก็เคยให้เธอไปร่ำเรียนวิชามวยและเทควันโดมาแล้วตั้งแต่เด็ก เมื่อเกิดอันตราย ร่างกายจะโต้ตอบโดยอัติโนมัติ

 

สวี่เฉียวหลีกระชากผมของเด็กสาวผมสีช็อกโกแลตให้หันหน้ากลับมามองเธอ จากนั้นก็โปรยรอยยิ้มอันสุขุมและอ่อนโยนออกมา “มีปัญหาเหรอ คุณเพื่อน?”

 

“กรี๊ด! ปล่อยนะ! แกมันบ้าไปแล้ว! แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร หา?!” อันขุยเสวี่ยผู้ซึ่งไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อนโวยวายอย่างบ้าคลั่ง

 

เสียงแสบแก้วหูดังแผดก้องไปทั่วห้องโดยสาร สวี่เฉียวหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกหนวกหูเลยผลักเด็กสาวให้ผละออกไป “ฉันไม่รู้หรอกว่าเธอเป็นใครและฉันก็ไม่อยากรู้ด้วย แล้วต่อไปก็อย่าหาเรื่องใส่ตัวโดยไม่ดูกำลังตัวเองอีก”

 

ในตอนนี้เอง รถโรงเรียนก็ขับมาถึงโรงเรียนแล้วและจอดอยู่ด้านหน้าประตูโรงเรียน สวี่เฉียวหลีสะพายกระเป๋าเป้สีดําอย่างรู้งานก่อนจะเดินออกไป เมื่อเดินไปได้สองก้าวก็หยุดเดิน แล้วหันมามองเด็กอ้วนตาตี่ราวกับเส้นด้ายคนเมื่อครู่ จากนั้นจึงพูดว่า “นายอยากเดินไปด้วยกันหรือเปล่า?” เด็กชายนิ่งอึ้งอยู่กับที่ เพราะไม่เคยมีใครให้ความสนใจเขามาก่อน ทุกคนมักมองเขาเป็นแค่ไอ้ขี้แพ้ที่จะบดขยี้ยังไงก็ได้ หรือไม่ก็เห็นเขาเป็นเพียงกระสอบทรายที่สามารถระบายอารมณ์ได้ตามใจชอบ

 

“ฉัน…” เด็กชายลังเล เขามีความกล้าเพียงน้อยนิดจริงๆ เขามองไปยังเด็กสาวผมสีชมพู ส่วนอีกฝ่ายก็มองเขาด้วยสีหน้าเย็นชา

 

“แม้แต่ขาก็ยังไม่ยอมก้าวออกมา งั้นนายก็อยู่ที่นี่ต่อไปละกันนะ” สวี่เฉียวหลีพูดด้วยน้ำเสียงยานคาง

 

ประโยคธรรมดาง่ายๆ แต่สีหน้าของเด็กชายกลับดูอึ้งไป ไม่เคยมีใครพูดแแบบนี้กับเขามาก่อน เพราะคำพูดที่ได้ยินบ่อยที่สุดก็คือ พวกเขารังแกนาย นายมีปัญหาแล้วล่ะ

 

เด็กชายยังคงลังเล แต่สวี่เฉียวหลีไม่คิดรออีกต่อไปแล้ว เธอสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเขาก็ได้ แต่เธอรู้ดีว่าความรุนแรงในสังคมโรงเรียนแบบนี้ ไม่ใช่ว่าจะสามารถเดินออกมาได้ตามใจต้องการ ดังนั้นอำนาจการตัดสินใจยังคงอยู่ในมือของเขา ขอเพียงอีกฝ่ายคิดได้ก็จะยืนหยัดขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง

 

อันขุยเสวี่ยมองไปที่สวี่เฉียวหลี แต่สวี่เฉียวหลีกลับมองเธอด้วยสีหน้าและสายตารังเกียจ ก่อนจะเดินตรงลงจากรถทันที เธออยากจะขัดขวาง แต่เมื่อนึกถึงการกระทำเมื่อครู่ของสวี่เฉียวหลีก็รู้เลยว่าได้รับการฝึกฝนมา จึงพลันรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นหลายเท่า เธอลังเลไม่กล้ามองไปยังชวีเสี่ยวเอ๋อร์ซึ่งนั่งอยู่แถวสุดท้าย  แววตาของอีกฝ่ายฉายความเย็นเยือกขณะมองไปยังร่างของสวี่เฉียวหลี จากนั้นก็พูดกับอันขุยเสวี่ยว่า “ไปดูสิว่านางนั่นอยู่ห้องไหน”

 

รถโรงเรียนจอดให้นักเรียนลง เด็กสาวคนหนึ่งก็ก้าวขาเดินลงมาจากบนรถ เธอสวมหน้ากาก ขอบหมวกถูกกดลงจนต่ำ มองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดเจน เห็นเพียงขาเรียวสวยที่ถูกปกคลุมด้วยถุงน่องสีดำทั้งสองข้างเท่านั้น รูปร่างที่สวมใส่ชุดนักเรียนก็ดูอรชรอ้อนแอ้น

 

ทุกคนในโรงเรียนต่างรู้ว่ารถโรงเรียนได้กลายเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของคนบางพวกไปแล้ว จึงเป็นที่มาว่าทำไมถึงไม่ค่อยมีคนอยู่บนรถ

 

ดังนั้นตอนที่สวี่เฉียวหลีลงมาจากรถโรงเรียนจึงดึงดูดสายตาของทุกคนอย่างห้ามไม่ได้ ทุกคนสงสัยเหลือเกินว่าเด็กสาวคนนี้เป็นใคร แต่ก็มองเห็นใบหน้าของเธอได้ไม่ชัด  สวี่เฉียวหลีเคยเป็นสวี่ซินหรานมาก่อน อย่างไรเสียก็เป็นถึงดารา จึงมีภูมิคุ้มกันต่อสายตาแบบนี้ไปโดยปริยาย เธอเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้อง 13 ตามความทรงจําของตัวเอง ทันทีที่เข้าไป ชั้นเรียนที่มีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวในตอนแรกก็เงียบเสียงลง ทุกคนมองมาที่เธอเป็นตาเดียว

 

สวี่เฉียวหลีหาได้สนใจไม่ เธอเดินตรงไปยังที่นั่งของตัวเอง แต่โต๊ะตัวนั้นกลับหายไปแล้ว

 

“ทำไมเธอยังมีหน้ากลับมาอยู่อีก?” ใครบางคนในกลุ่มนักเรียนเอ่ยถามขึ้นเสียงแผ่วเบา ภายในน้ำเสียงแฝงความดูถูกเหยียดหยาม

 

ต่อมาก็มีคนตะโกนขึ้นอย่างอาจหาญว่า “ใช่แล้ว สวี่เฉียวหลี ทำไมเธอถึงยังมีหน้ากลับมาอีก ไม่ใช่ว่ากระโดดตึกตายไปแล้วเหรอ? ถ้าฉันเป็นเธอนะ ฉันคงกระโดดตึกตายไปอีกรอบ!”

 

ฉับพลันนั้น เสียงหัวเราะจากนักเรียนกลุ่มนั้นก็ดังลั่นขึ้น สวี่เฉียวหลีมองไปยังตำแหน่งที่คนคนนั้นพูด เป็นเด็กผู้ชาย ดวงตาเล็กตี่ ฟันเหยิน ดูแล้วอัปลักษณ์อย่างกับลิง  หน้าตากับจิตใจช่างสอดคล้องกันจริงๆ

 

สวี่เฉียวหลีเดินไปหาคนคนนั้นโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ทุกคนหันมองตาม จากนั้นเสียงหัวเราะก็เบาลง สวี่เฉียวหลีได้ยินแต่แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยิน เธอกลัวคนมารังแกที่ไหนกัน เธอดูเหมือนคนไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยด้วยซ้ำ ราวกับชินชาไปนานแล้ว

 

“เธอจะทำอะไร? ทำไม? สมองเอ๋อแล้วรึไง?” เจ้าลิงลุกขึ้นพร้อมก้าวเข้ามาหา พร้อมกับพูดยั่วยุสวี่เฉียวหลีไปด้วย ขณะพูดก็ยื่นมือผลักเธอออกไปหนึ่งที เป็นผลให้มือของเขาถูกบิดไพล่ไปด้านหลังในวินาทีถัดมา มือถูกล็อกค้างไปกับข้อต่อ เจ็บจนเขาต้องร้องโอดโอยออกมา

 

สวี่เฉียวหลีเตะเขาไปหนึ่งที เจ้าลิงสะดุดไปสองก้าว ก่อนจะตกลงไปในถังขยะตามแรงโน้มถ่วง ตะเกียกตะกายครู่หนึ่งก็ยังลุกยืนขึ้นไม่ได้ ซ้ำยังทำขยะกระจัดกระจายออกมาจนหมดถังแล้ว นักเรียนจำนวนมากที่อยู่รอบข้างต่างพากันเขยิบหนีออกไปด้านข้างเล็กน้อยเนื่องจากกลิ่นเน่าเหม็นของขยะ ใบหน้าแสดงออกถึงความขยะแขยง

 

หลังจากนั้น สวี่เฉียวหลีก็ลากโต๊ะและเก้าอี้ของเด็กชายคนนั้นไปยังที่นั่งของตนแล้วจึงค่อยนั่งลง พร้อมทั้งถอดแว่นตาและหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมใบหน้าที่ดูสวยสดใสถึงทำให้ผู้คนรู้สึกว่าดูเอาเรื่องอยู่หลายส่วน ทั้งยังเย่อหยิ่งขั้นสุด

 

ทุกคนมองไปที่สวี่เฉียวหลีแต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร บอกตามตรงว่าสวี่เฉียวหลีในตอนนี้ทำให้พวกเขารู้สึกไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย

 

“สวี่เฉียวหลี!” ในที่สุดเด็กชายที่หน้าเหมือนลิงคนนั้นก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากถังขยะจนได้ จากนั้นก็ตะคอกด้วยความโกรธสุดขีด

 

“ทำอะไรกันน่ะ?” ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงของคุณครูก็ดังขึ้นขัดจังหวะ

 

นักเรียนที่ยืนดูเรื่องสนุกอยู่ด้านข้างต่างก็แตกกระจายกันไปเหมือนนกแตกรัง และกลับไปยังที่นั่งของตนในทันที มีแต่เจ้าลิงนั่นที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม อาจารย์ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เกาเฉียว เธอทำอะไรอยู่! ทำไมยังยืนอยู่ตรงนั้นอีก?!”

 

เกาเฉียวได้ทีฟ้องครูทันที “ครูครับ เธอแย่งโต๊ะกับเก้าอี้ผมไปแล้ว”

 

สวี่เฉียวหลีจำได้ว่า ไม่ใช่แค่เพื่อนนักเรียนที่รังแกเธอเท่านั้น สาเหตุที่ทำให้เรื่องเหล่านี้รุนแรงมากขึ้นก็คือความไม่ใส่ใจของครู ความเพิกเฉยของครูทำให้เรื่องรังแกกันในโรงเรียนแย่ลง และทุกคนดูเหมือนจะชินตาและคุ้นเคยกับมันไปแล้ว เมื่อสิ่งผิดกลายเป็นสิ่งที่คนจำนวนมากทำ คนกระทำผิดจึงไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

 

โดยเฉพาะครูสอนภาษาอังกฤษที่ชื่อเฉินลี่คนนี้ คะแนนของสวี่เฉียวหลีไม่ดี ครูเฉินลี่จึงเพ่งเล็งเธอทุกเรื่อง ถึงขั้นพูดกับสวี่เฉียวหลีตอนที่เธอไปขอความช่วยเหลือว่า ‘ที่เธอถูกรังแกคงไม่ใช่เหตุผลของฉันหรอกนะ?’

 

“สวี่เฉียวหลี เธอเป็นอะไร!? กลับมาโรงเรียนแล้วก็ไม่พูดไม่จา?! พอกลับมาแล้วก็รังแกเพื่อนงั้นเหรอ?!” ครูเฉินลี่กล่าวอย่างหมดความอดทน

 

สวี่เฉียวหลีค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปยังครูเฉินลี่ที่อยู่บนโพเดียม ก่อนจะเหยียดยิ้มที่แฝงความไร้เดียงสาอยู่หลายส่วน แต่ก็ผสมกับความเจ้าเล่ห์อยู่ไม่น้อย “ขออนุญาตถามครูเฉินค่ะ ว่าตาข้างไหนของครูที่เห็นว่าหนูรังแกเพื่อนคะ?”

 

ครูเฉินลี่นิ่งอึ้ง เกาเฉียวเองก็อึ้ง แม้แต่เพื่อนร่วมชั้นที่อยู่ข้างๆ ก็ยังอึ้งกันหมด

 

“ทุกคนในห้องเห็นกันหมด! เธอแย่งโต๊ะฉันไปเห็นๆ!” เกาเฉียวตะโกนด้วยความร้อนใจ

 

“โอ้? ในเมื่อฉันมีโต๊ะอยู่แล้ว แล้วทำไมฉันต้องแย่งโต๊ะของนายด้วยล่ะ? นายบอกว่าทุกคนในห้องเห็นกันหมด ถ้าอย่างนั้นพวกนายก็เอาหลักฐานออกมาสิ?” ขณะที่สวี่เฉียวหลีพูด ก็ใช้สายตาอันเย็นชามองสำรวจทุกคน

 

“เพราะพวกเราเอาโต๊ะของเธอไปทิ้งแล้วไง!” เกาเฉียวพูดโดยไม่ได้กลั่นกรองความคิดใดๆ ตอนที่พูดประโยคนี้ออกมา หลังพูดจบ เขาก็เห็นรอยยิ้มแห่งความเยาะเย้ยจางๆ ตรงมุมปากของสวี่เฉียวหลี  จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าตนเองถูกหลอกให้พูดออกมา

 

“ครูคะ ครูก็ได้ยินแล้ว เขาบอกว่าเอาโต๊ะของหนูไปทิ้งแล้ว คราวนี้ครูยังจะบอกว่าหนูรังแกเพื่อนอยู่อีกไหมคะ?” การแสดงออกบนใบหน้าขอสวี่เฉียวหลียังคงไร้เดียงสาอยู่แบบนั้น

 

สวี่เฉียวหลีพูดมาขนาดนี้แล้ว อีกทั้งเกาเฉียวก็ยอมรับเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคนหมดแล้วด้วย ต่อให้เธอจะลำเอียงแค่ไหน อย่างไรวินาทีนี้ก็ไม่มีทางย้อมดำให้เป็นขาวได้ ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงพูดเรียบๆ ประโยคหนึ่งว่า “เกาเฉียว ต่อไปห้ามแกล้งเพื่อนแบบนี้อีก เธอไปยกโต๊ะกับเก้าอี้ที่ห้องอุปกรณ์มาใหม่ไป”

 

รอยยิ้มของสวี่เฉียวหลีค่อยๆ เลือนหายไป แม้ว่าเธอจะเดาออกอยู่แล้วว่าครูจะให้ท้ายอีกฝ่าย แต่เธอก็ไม่คิดว่าจะโจ่งแจ้งขนาดนี้ ทว่าเธอก็ไม่ได้พูดอะไร เมื่อเหลือบมองไปยังเกาเฉียว ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องเธอด้วยสายตาเชือดเฉือนอยู่เช่นกัน สายตานั้นฉายแววอาฆาตและไม่พอใจอย่างยิ่ง

 

สายตาคู่นั้นราวกับกำลังพูดว่า ‘ฝากไว้ก่อนเถอะ’

 

ถ้อยคำประเภทนี้ ตอนที่เธอเป็นสวี่ซินหรานก็เคยได้ยินมาเช่นกัน เธอรู้สึกว่าสถานการณ์ในตอนนี้ช่างไร้สาระสิ้นดีสำหรับผู้ใหญ่แบบเธอ

 

เธอจำได้ว่าเด็กชายที่ชื่อเกาเฉียวคนนี้ คือเด็กผู้ชายที่ชอบเดินข้างๆ เด็กสาวผมสีชมพูคนนั้น แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันบ่อยนัก ทว่าชอบขลุกอยู่กับกลุ่มเด็กเลวชั้น ม.6 อยู่บ่อยๆ

 

อันที่จริงจะบอกว่าเป็นเด็กเลวก็ไม่ถูก จากความทรงจำของสวี่เฉียวหลี เด็กชายคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มมีผลการเรียนดีและยังมีพื้นฐานครอบครัวที่ดี แต่ดันชอบชกต่อย ไม่ใช่นักเรียนที่ดีตามแบบอุดมคติ แต่ก็ยังมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยมาชอบ

 

ปัจจัยหลักมาจากใบหน้าอันหล่อเหลา บวกกับความสามารถในการแข่งรถของเขา

 

แน่นอนว่าสวี่เฉียวหลีคนเดิมก็มีใจให้กับเด็กคนนี้ด้วยเช่นกัน แต่ความในใจยังไม่ทันได้เผยออกมา ก็ถูกเหยียบย่ำลงบนพื้นอย่างป่าเถื่อน พร้อมกับถูกดูแคลนอย่างแสนสาหัส แต่ตอนนี้เธอคือสวี่ซินหราน เธอไม่สนใจเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแบบนี้ ต่อให้หน้าตาดีแค่ไหนเธอก็ไม่เอา

 

ในชาติที่แล้ว ตระกูลจางต้องการให้เธอแต่งงาน เธอจึงไร้ซึ่งอิสระ แต่ชีวิตนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

 

เกาเฉียวยกโต๊ะและเก้าอี้กลับมาแล้ว บนโต๊ะยังมีรอยขีดเขียนอยู่มากมาย เป็นถ้อยคำหยาบคายต่างๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นโต๊ะตัวเก่าของสวี่เฉียวหลี แน่นอนว่าโต๊ะในห้องเก็บของล้วนเป็นสิ่งของชำรุดผุพังที่ไม่สามารถใช้ได้ เขาทำได้เพียงนำโต๊ะตัวเก่าของสวี่เฉียวหลีที่ซ่อนไว้ออกมาก็เท่านั้น

 

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เกาเฉียวก็ยิ่งรู้สึกแค้นมากขึ้นไปอีก เขามองไปที่สวี่เฉียวหลี แต่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะปรายตามอง เธอเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป