กู้ซีหวงมาถึงบ้านตระกูลหยุน ยังไม่ทันได้เจอกับหยุนโม่เหิงก็ถูกยามเฝ้าประตูกันเอาไว้ก่อนแล้ว
“หยุด!” ยามเฝ้าประตูสองคนถือดาบสองเล่มไขว้กันที่หน้าประตูเพื่อขวางทางกู้ซีหวง "เจ้าเป็นใคร ถึงกล้าบุกรุกเข้าไปในจวนของท่านแม่ทัพได้? "
กู้ซีหวงอธิบายว่า "ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะบุกรุก ข้าต้องการเข้าพบฮูหยินของพวกเจ้า พวกเจ้าทั้งสองช่วยส่งข่าวให้ข้าด้วย" ตอนที่นางได้ยินข่าวว่าหยุนโม่เหิงยอมถูกลงโทษคุกเข่าด้วยความสมัครใจ นางก็แล่นมายังบ้านตระกูลหยุนโดยไม่ทันได้คิดอะไร ไม่น่าแปลกใจเลยที่นางจะถูกคิดว่าเป็นผู้บุกรุก
เพิ่งจะสิ้นเสียงกู้ซีหวง ก็มีสตรีในชุดคลุมยาวสีฟ้าเดินเข้ามาถามยามเฝ้าประตู “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ยามเฝ้าประตูเอ่ยปากตอบว่า “สตรีนางนี้บอกว่ามีเรื่องจะพบฮูหยินขอรับ”
สตรีในชุดคลุมสีฟ้าได้ยินเช่นนั้นก็มองไปยังกู้ซีหวงที่มีผ้าคาดอยู่บนศีรษะ คิ้วของนางขมวดมีความกังวลแฝงอยู่ คิดแล้วก็คงจะเป็นเรื่องด่วนจริงๆ “ไม่ทราบว่าแม่นางท่านนี้จะเข้าพบฮูหยินด้วยเหตุอันใดรึ?”
กู้ซีหวงเอ่ยปากว่า “ข้ากู้ซีหวง มิบังอาจร้องขอให้ฮูหยินหยุนให้อภัยข้า ขอเพียงแค่อย่าทำโทษคุณชายรองก็เพียงพอแล้ว”
“กู้ซีหวงรึ? เจ้าคือคุณหนูกู้ที่น้องรองโหยหาตลอดเวลาอย่างนั้นรึ?” ไม่ทันได้รอให้กู้ซีหวงตอบกลับ นางก็พูดต่อว่า “ข้าหยุนโม่เจิงคนนี้ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาชี้หน้าสั่ง!”
กู้ซีหวงอยากจะอธิบาย “ข้า…”
หยุนโม่เจิงตัดบทสนทนาของนางพลางเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ลากตัวนางออกไป ข้าไม่อยากเห็นหน้านางผู้นี้อีก!”
ยามเฝ้าประตูได้ยินจึงเคลื่อนไหวทันที พวกเขาเอาดาบชี้มาที่นาง ทำท่าทางที่เพียงแค่นางคิดตุกติกเพียงนิดเดียวก็พร้อมที่จะลงมือทันที “เชิญกลับไปเถิด คุณหนูกู้!”
กู้ซีหวงเห็นท่าทีแล้วก็รู้ว่าถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีทางทำให้หยุนโม่เจิงเปลี่ยนความคิดได้แน่นอน ลองเปลี่ยนวิธียังจะดีกว่า เมื่อคิดได้แล้ว นางจึงตะโกนบอกหยุนโม่เจิง “ข้าจะมาอีกแน่นอน!” เมื่อสิ้นเสียงก็หันหลังเดินจากไป
“เฮอะ!” หยุนโม่เจิงถอนหายใจ และยิ่งมั่นใจในความคิดที่จะไม่ให้น้องชายสุดที่รักของตนต้องแต่งงานกับกู้ซีหวงมากขึ้น
ตัดมาที่กู้ซีหวง นางถึงขั้นถ่อมาถึงจวนแม่ทัพแบบนี้ อยู่ห่างจากหยุนโม่เหิงเพียงแค่กำแพงกั้น แต่น่าเสียดายที่กำแพงสูงเกินไปและนางก็ยังไม่มีวิชาตัวเบา
สายลมพัดผ่านเส้นผมปลิวไสว
กู้ซีหวงนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน หรือบางทีตอนนี้นางอาจต้องเชื่อเรื่องการมีอยู่ของภูตผีปีศาจในโลกนี้บ้าง เพราะตอนที่นางฝึกฝน ‘วิทยายุทธ์นกเฟิ่งหวงโบราณ’ นกเฟิ่งหวงที่อยู่กลางหน้าผากของนางก็มีปฏิกิริยาเหมือนกัน
ทันใดนั้นนางก็อดที่จะเชื่อไม่ได้ จึงพูดในใจว่า “เฟิ่งหวง เฟิ่งหวง เจ้าช่วยข้าด้วย ถ้าโม่เหิงคุกเข่าต่อไป แม้แต่เทพเซียนก็คงยากที่จะช่วยชีวิตเขาแล้ว”
สิ้นเสียงอ้อนวอนของกู้ซีหวง นกเฟิ่งหวงก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ และในตอนที่กู้ซีหวงจะเดินกลับ สัญลักษณ์นกเฟิ่งหวงที่อยู่กลางหน้าผากก็กะพริบส่องแสงสีแดงออกมาวนรอบตัวของนาง
ในขณะเดียวกันก็มีเสียงแหบพึมพำออกมาว่า “พรเก้าประการจากนกเฟิ่งหวง ขอไปแล้วหนึ่งประการ เหลือพรอีกแปดประการ”
พรของนกเฟิ่งหวงมีเก้าประการ พรข้อแรกได้ใช้หมดไปแล้วจึงเหลือพรอีกแปดประการ
กู้ซีหวงไม่ได้สนใจเรื่องพรเก้าประการ นางขอเพียงแค่สามารถหยุดการคุกเข่าของหยุนโม่เหิงได้ก็เพียงพอแล้ว ตอนแรกนางยังไม่รู้สาเหตุที่ทำให้หยุนโม่เหิงสืบสกุลไม่ได้ ตอนนี้เมื่อรู้แล้วจึงรู้ได้ว่าหยุนโม่เหิงต้องการบังคับให้ฮูหยินหยุนเห็นด้วยจึงคุกเข่าจนได้โรคมา
แสงสีแดงจางหายไป กู้ซีหวงรู้สึกเพียงแค่ว่าทั้งตัวของนางนั้นเบาไปหมด ตามวิทยายุทธ์นกเฟิ่งหวงโบราณแล้ว วิชาตัวเบาทำให้สามารถข้ามกำแพงที่สูงถึงสามสิบฟุตไปได้อย่างง่ายดาย
ด้วยกำลังภายในที่ยืมมาจากนกเฟิ่งหวง กู้ซีหวงใช้ประสาทหูเพื่อหาตำแหน่งของหยุนโม่เหิงและหยุนโม่เจิง เมื่อสัมผัสได้ว่าอยู่ไม่ไกล นางจึงอยากจะไปดูหยุนโม่เหิงก่อนแล้วค่อยไปหาฮูหยินหยุน