จิงโจว ดินแดนเนรเทศ
ค่ำคืนที่มีฝนโปรยปราย มีร่างซูบผอมร่างหนึ่งล้มอยู่ในดินโคลน กำลังพยายามขดตัวเพื่อคลายความหนาว
เป็นเวลาสามปีเต็มแล้วที่กู้ซีหวงไม่ได้สัมผัสความอบอุ่นเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา นางต้องอยู่กับความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดที่ไร้ที่สิ้นสุดในทุกๆ วัน จนกระทั่งวันนี้ วันที่นางทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว……
ท้องฟ้าอันมืดมิดไม่มีแม้แต่ดาวสักดวง มีเพียงสายฝนที่โปรยปรายลงมาเหมือนจะไม่มีวันหยุดตก น้ำฝนที่ตกกระทบลงบนหน้าและตัวได้ผสมรวมกับน้ำตาไปแล้ว และนี่คือการสะอื้นไห้ครั้งแรกในรอบสามปีของนาง
ก่อนหน้านี้ที่นางไม่ร้องไห้นั้นก็ใช่ว่านางไม่อยากร้อง แต่เป็นเพราะนางไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะหลั่งน้ำตา กู้ซีหวงคนนี้มีบาปหนา นอกจากจะทำลายวงศ์ตระกูลของพี่ป้าน้าอาแล้ว นางยังทำลายทั้งชีวิตของหยุนโม่เหิงอีกด้วย
หากไม่ใช่เพราะจิตใจอันอำมหิตของนางที่ใช้ความร่ำรวยมหาศาลของตระกูลกู้ให้ได้มาซึ่งความต้องการของตัวเองก็คงไม่มีใครต้องโกรธแค้นนาง หากไม่ใช่เพราะนางถูกสหายชั่วคอยยุยงส่งเสริมให้เป็นพวกเดียวกันกับองค์หญิงรอง ก็คงไม่หมดหนทางหลังจากที่องค์หญิงสามได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินี และถ้าหากไม่ใช่เพราะความเย่อหยิ่งทะนงตนแบบผิดๆ ของนาง ก็คงไม่ทำให้องค์หญิงสามหาข้ออ้างทำลายตระกูลกู้ได้เร็วปานนี้
นอกจากนี้ยังมีหยุนโม่เหิงซึ่งเป็นบุรุษผู้อยู่ข้างกายของนางมาโดยตลอด นางไม่รู้ว่าเหตุใดหยุนโม่เหิงถึงอยากจะแต่งงานกับนางนัก แต่นางรู้ว่าหยุนโม่เหิงนั้นรักนางมากเพียงใด
นางยังคงจำได้ดีว่าตัวเองนั้นดูหมิ่นบุรุษผู้อ่อนโยนนี้อย่างไรบ้าง แต่นางนั้นดันไปหลงรักหลิวชิงเหยาถึงขั้นประกาศหย่าต่อหน้าสาธารณชนและยังรังเกียจที่เขาหน้าตาอัปลักษณ์อีกด้วย นางแสดงความหยาบคายในพิธีวิวาห์ก่อนจะหันกลับมาปลอบหลิวชิงเหยา และทุกๆ ครั้งที่หยุนโม่เหิงถูกหลิวชิงเหยารังแกหลังจากแต่งงานกับนาง เขาหวังว่านางจะช่วยเขาได้ แต่นางกลับไม่สนใจไยดีเขาเลยสักนิด และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือการทุบตีลูกที่เขาตั้งใจและพยายามที่จะได้มาจนต้องเสียลูกไป…
ในวันที่ตระกูลกู้ล่มสลาย องค์หญิงสามเห็นแก่ศีลธรรมที่พึงมีต่อเพื่อนมนุษย์จึงลดโทษจากประหารชีวิตเหลือเพียงการเนรเทศออกไป ในคืนที่ตระกูลกู้เกิดเรื่อง คนที่หนีไปได้ก็หนีไปแล้วและหลิวชิงเหยาก็เป็นคนขององค์หญิงสามตั้งแต่ต้น จึงมีเพียงหยุนโม่เหิงที่อยู่เคียงข้างนางโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
ในตอนนั้น ตระกูลหยุนได้ขอร้องอ้อนวอนให้องค์หญิงสามให้โอกาสหยุนโม่เหิง ขอเพียงโม่เหิงยอมหนีไปด้วยก็จะสามารถใช้ชีวิตปกติสุขได้เหมือนเดิม แต่เขากลับไม่ยอมทำสัญญาหลบหนี
ระหว่างทางที่พวกเขากำลังจะเดินทางไปดินแดนจิงโจว นางป่วยเป็นไข้หวัดจนเกือบตาย ก็ยังคงเป็นหยุนโม่เหิงที่อ้อนวอนขอยารักษาจากผู้คุมมาให้นาง แต่เขาเองกลับทนความทรมานไม่ไหว จนในที่สุดก็เสียชีวิต
กู้ซีหวงนึกย้อนถึงอดีต ในใจเจ็บปวดเหมือนมีมดนับหมื่นตัวมากัดกินใจ ร่างกายค่อยๆ รู้สึกถึงความเหน็บหนาวท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา แต่ทันในนั้นก็มีความร้อนระอุแผ่ออกมาจากกลางอกของนาง
มือคู่หนึ่งที่ผอมแห้งเหมือนกิ่งไม้ตายซากเคลื่อนมากุมอยู่ตรงอก ก่อนจะมีจี้หยกสะท้อนออกมาจากกลางอก มีรูปนกเฟิ่งหวงสีแดงเหมือนจริงแกะสลักอยู่บนจี้และสิ่งที่น่าแปลกใจกว่านั้นคือความร้อนที่แผ่กระจายออกมาในตอนนี้
กู้ซีหวงจับมันไว้ในมือและรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจนหายใจแทบไม่ออก นางหัวเราะในใจและคิดว่าหยกจะมีความร้อนได้อย่างไร นางคงรู้สึกไปเองมากกว่ากระมัง
ในขณะที่นางกำลังหัวเราะเยาะตัวเองอยู่นั้น จู่ๆ จี้หยกใบนั้นก็ขยับขึ้นเองก่อนจะบาดปลายนิ้วมืออันซูบผอมแล้วนำเลือดหยดลงบนจี้หยก
กู้ซีหวงขยี้ตาตัวเองด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อพลางมองดูรอยแผลบนนิ้วตน แล้วจึงมองหยกที่มีสีแดงราวกับไฟอย่างตกตะลึง
เมื่อรออยู่นานสักพัก จี้หยกนี้ก็ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ อีก กู้ซีหวงก็ไม่ได้สนใจอะไรมันอีก เพราะนางไม่ได้รู้สึกถึงความแปลกประหลาดของจี้หยกใบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ไม่นาน ฝนก็ค่อยๆ ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนความง่วงเข้ามาเยือน จิตใต้สำนึกของกู้ซีหวงค่อยๆ ถูกความมืดกลืนกิน ความมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุดคือกุญแจมือที่นางไม่สามารถสลัดหลุดพ้นได้ไม่ว่านางจะดิ้นรนมากเพียงใดก็ตาม
คงจะถึงคราวตายของนางแล้วจริงๆ สินะ…หากตายไปแล้ว นางคงได้เจอกับบิดามารดาผู้ให้กำเนิดที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน ได้พบกับท่านป้าที่รักใคร่ทะนุถนอมนาง รวมถึงโม่เหิงของนางด้วย
วันรุ่งขึ้น เมื่อหัวหน้าทาสหากู้ซีหวงเจอก็ได้พบกับร่างๆ หนึ่งที่มีรอยยิ้มประดับอยู่ตรงมุมปาก...