ซุนเหมี่ยวที่เดินจูงจักรยานมาก็เป็นอันหยุดเดินในทันทีทำให้หลี่เซียนได้หันมามองดูใบหน้าของซุนเหมี่ยวที่แสดงออกว่าเสียดาย
“ ที่จริงฉันเองก็ชอบวาดรูปมากแต่ฉันนั้นวาดไม่ค่อยเก่งสักเท่าไหร่ซึ่งก็สวนทางกับความฝันของตัวเองที่อยากทำงานเป็นดีไซน์เนอร์ฟังดูแล้วก็ตลกดี“
เมื่อเธอได้บอกถึงความฝันของตัวเองให้กับหลี่เซียนฟังทำให้นึกถึงเมื่อก่อนหน้านี้ที่เธอไม่ได้พยายามทำตามความฝันของตัวเอง
เมื่อมานึกๆดูก็รู้สึกเสียใจและดีใจในคราวเดียวกัน
ที่เสียใจก็เพราะว่าเมื่อก่อนนี้เธอได้ละทิ้งความฝันของตัวเองเพียงเพราะว่าเธอไม่มีความพยายามที่จะไขว่คว้ามา ที่ดีใจนั้นก็เพราะว่าเธอดีมีโอกาสกลับมาแก้ไขและในครั้งนี้เธอจะพยายามทำให้ดีที่สุด
หลี่เซียนเองก้มลงมองก็ได้เห็นใบหน้าที่เศร้าหมองของหญิงสาวเขาเองก็ทำตัวไม่ถูกอยู่สักครู่ก่อนที่จะส่งยิ้มให้กำลังใจ
“ อืม….เอาอย่างนี้ใหมพอดีน้าชายพี่เขาเป็นคุณครูสอนศิลปะได้เปิดสอนให้กับนักเรียนที่สนใจเรียนวาดรูปแต่ไม่มีเงินที่จะไปสมัครเรียนตามที่ต่างๆเป็นไงสนใจไปเรียนด้วยกันมั้ย”
เมื่อเธอได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยใบหน้าที่สดใสสายตาที่ทอประกายนั้นบ่งบอกให้เขาได้รู้ว่าเธอนั้นดีใจมากแค่ไหนโดยเฉพาะประโยคที่ว่าไปเรียนด้วยกันมั้ย
“ แต่ว่า…… “
“ วางใจได้น้าพี่เขาสอนให้ฟรีเพียงแต่เรามีใจรักก็แค่นั้นเอง “
ซุนเหมี่ยวเธอพยักหน้ารับจากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปยังร้านขายเครื่องเขียนเพื่อเลือกซื้อสิ่งของที่ตัวเองต้องการจนเป็นที่พอใจ
“ จะกลับบ้านเลยหรือเปล่า “
“ คะ..รุ่นพี่มีอะไรหรือเหรอค่ะ “
“ อ๋อคือ….พี่ว่าจะไปวาดรูปนะไปด้วยกันเลยมั้ยเธอเองก็จะได้สมัครเรียนด้วย “
หัวใจดวงน้อยนั้นพองโตคับอกอันเนื่องมาจากรุ่นพี่ที่รักของเธอนอกจากจะแนะนำให้แล้วยังจะพาไปสมัครเรียนด้วยจะน่ารักไปถึงไหนผู้ชายของฉัน
“ ก็ได้ค่ะจะได้รู้ด้วยว่าอยู่แถวไหน “ ซุนเหมี่ยวพยายามอย่างมากที่จะทำหน้านิ่งทั้งที่ตอนนี้ใบหน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยความสุข
ในที่สุดทั้งคู่ก็ปั่นจักรยานมาถึงบ้านหลังหนึ่งเมื่อเดินเข้าไปข้างในจะมีกลุ่มคนอยู่ประมาณแปดเก้าคนที่กำลังตั้งใจวาดรูปอยู่
“ คิดไม่ถึงเลยนะค่ะว่าจะอยู่แถวบ้านฉันเอง “
ในขณะที่ทั้งคู่ยืนพูดคุยกันอยู่นั้นก็มีชายวัยกลางคนเดินออกมาจากบ้านในมือของเขานั้นถือถาดผลไม้ติดมือมาด้วย
“ นายมาแล้วเหรอเดี๋ยวเข้าไปยกน้ำออกมาหน่อยอ้าวนี้พาใครมาด้วยละ “ หลินป่ายซุ้ยที่เห็นว่าหลี่เซียนนั้นมาแล้วและได้เห็นว่าเขานั้นได้พาใครอีกคนมาด้วย
ซึ่งตัวเขาเองก็แปลกใจอยู่ไม่น้อยเพราะเขาไม่เคยเห็นหลี่เซียนนั้นจะพาใครมาหาเขาเลยโดยเฉพาะผู้หญิง
“ ครับ.. รุ่นน้องที่โรงเรียนนะครับเขาอยากจะเรียนวาดรูปผมก็เลยชวนมาด้วยซุนเหมี่ยวนี้คือคุณครูหลินป่ายซุ้ย “
“ สวัสดีค่ะหนูชื่อซุนเหมี่ยวค่ะเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนเดียวกันค่ะคือหนูอยากจะเรียนวาดรูปรุ่นพี่ก็เลยแนะนำให้มาที่นี้ค่ะ “
“ ดี… เดี๋ยวรอครูแปปหนึ่งจะไปเอาใบสมัครมาให้กรอกนิดหน่อย “ จากนั้นเขาก็เดินหายเข้าไปในห้องพร้อมกับหลี่เซียน
“ มาแล้วๆรอนานใหมอ้าวแล้วนี้หลี่เซียนยังไม่ออกมาอีกเหรอ “
“ ยังเลยค่ะ “
“ อ่ะเดี๋ยวกรอกใบสมัครให้ครูก่อนแล้วกัน..นึกยังไงถึงอยากจะเรียนวาดรูป “ หลินป่ายซุ้ยนั่งลงบนเก้าอี้ระหว่างที่รอซุนเหมี่ยวกรอกใบสมัคร
“ คือหนูอยากจะเป็นดีไซน์เนอร์ค่ะแต่ตัวเองวาดรูปไม่เก่งพอดีได้ยินรุ่นพี่บอกว่าที่นี้เปิดให้เรียนฟรีหนูก็เลยคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ฝึกฝนเรียนรู้ในการวาดรูปได้ “
“ พูดได้ดีขอแค่ให้เรามีความตั้งใจสักวันต้องเป็นวันของเรายังไงก็พยายามเข้านะถ้าหากไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามครูได้ตลอดเลย “
“ ขอบคุณมากค่ะคุณครู “
ทันได้นั้นหลี่เซียนก็เดินยกขวดน้ำและแก้วน้ำออกมาพอดี
“ เดี๋ยวนายช่วยดูแลซุนเหมี่ยวด้วยนะ “ พูดจบก็เดินเข้าบ้านไปยกอุปกรณ์วาดรูปออกมาให้ซุนเหมี่ยวในทันที
เมื่อซุนเหมี่ยวได้ขาตั้งและกระดาษสำหรับวาดรูปแล้วหลี่เซียนก็ได้จัดการที่สำหรับวาดรูปให้กับเธอ
“ เหมี่ยวเหมี่ยวเดี๋ยวมานั่งตรงนี้แล้วกัน “
“ ขอบคุณค่ะรุ่นพี่…เอ่อปกติรุ่นพี่มาวาดรูปนี้บ่อยใหมค่ะ “ ในขณะที่เธอหยิบเอาดินสอออกมาจากกล่องของมันเธอก็ได้ชวนชายหนุ่มพูดคุยด้วยท่าทีสบายๆ
“ ก็ไม่ค่อยบ่อยหรอกอาทิตย์หนึ่งก็จะมาสองสามครั้งแต่พักหลังมานี้ไม่ค่อยได้มา “
ซุนเหมี่ยวนั้นได้ชำเลืองมองภาพวาดของชายหนุ่มที่เป็นรูปโครงสร้างของบ้านหลังหนึ่ง
“ รุ่นพี่ชอบวาดบ้านเหรอค่ะ “ หลี่เซียนหันมายิ้มให้พร้อมกับพยักหน้า
ซุนเหมี่ยวที่มองเห็นรอยยิ้มของเขาก็ทำให้หัวใจเธอนั้นเต้นไม่เป็นจังหวะกันเลยทีเดียวอาการเหมือนจะหายใจไม่ออกยังไงยังงั้น
เช้าวันสิ้นปีซุนเหมี่ยวและมารดาต่างก็วุ่นวายกับการเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง
“ เหมี่ยวเอ๋อร์เก็บกระเป๋าเสร็จแล้วยังลูก “ ซุนเอ้อร์เหนียงเดินขึ้นมาตามบุตรสาวเมื่อเห็นว่ายังไม่ลงไปสักที
“ เสร็จแล้วค่ะแม่ “ พร้อมกับลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากห้องนอนของเธอ
ซุนเอ้อร์เหนียงที่ลงมานั่งรอบุตรสาวที่ห้องรับแขกเมื่อบุตรสาวลงมาทั้งคู่ก็เดินออกจากบ้านนั่งรถแท็กซี่ไปสนามบินในทันที
“ แม่ค่ะแล้วเราขึ้นเครื่องตอนกี่โมงค่ะ “ ซุนเหมี่ยวที่ก้มมองดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองในตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงสามสิบสี่นาที
“ สิบโมงเช้ามีอะไรหรือเปล่า “
“ เปล่าค่ะ “ ก่อนที่จะมองบรรยากาศนอกรถอย่างใช้ความคิด
ลานจอดรถรับส่งผู้โดยสารในสนามบิน
“ นี้ค่ะค่าโดยสาร เหมี่ยวเอ๋อร์ลงได้แล้วลูก “
“ ค่ะแม่ “
หญิงสาวต่างวัยที่เดินจูงมือกันเดินเข้าไปในสนามบิน
การไปเที่ยวครั้งนี้เป็นครั้งแรกของพวกเธอที่ได้ไปเที่ยวไกลถึงหางโจว
“ แม่ค่ะเราจะไปเที่ยวที่ไหนกันบ้างค่ะ “
“ ทะเลสาบซีหูแล้วก็ต่อด้วยวัดหลิงอิ่นขอพรพระโพธิสัตว์แล้วก็หมู่บ้านโบราณซินเย่เป็นไง “ ซุนเอ้อร์เหนียงบอกโปรแกรมของวันหยุดยาว
ดวงตาของซุนเหมี่ยวที่ทอประกายด้วยความตื่นเต้นนานมากเหลือเกินที่เธอและแม่ไม่ได้มาเที่ยวด้วยกัน
แบบนี้เหตุก็เพราะว่าเธอนั้นสนใจแต่งานและผู้ชายเฮงซวยจึงไม่ได้ใส่ใจแม่มากกว่าที่ควร
วันหยุดปีใหม่ในปีนี้หลี่เซียนและบิดาที่พวกเขาไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนกันสามปีแล้วนับตั้งแต่มารดาจากพวกเขาไป
หลี่เซียนที่เอาแต่นั่งอ่านหนังสืออย่างเคร่งเครียดนั้นก็เพราะว่าเขายังเหลือเวลาไม่มากแล้วสำหรับสอบเข้ามหาวิทยาลัย
และเขาตั้งใจว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์เดียวกันกับมารดาของเขาให้ได้
ก๊อก ก๊อก
“ อาเซียนลูกลงมากินข้าวได้แล้ววันนี้พ่อทำบะหมี่น้ำซุปปลาด้วยนะ “
“ ครับพ่อเดี๋ยวจะลงไปเดี๋ยวนี้ “
เมื่อได้ยินเสียงตอบรับแล้วหลี่หานเขาก็เดินลงมาจัดโต๊ะอาหารรอบุตรชายอันเป็นที่รัก เดินลงมาทานข้าวพร้อมกัน
“ มาๆบะหมี่น้ำซุปปลายังร้อนๆอยู่เลยวันนี้พ่อทำเองหมดเลยนะลองชิมดูสิว่ารสชาติเป็นไง “
ว่าแล้วเขาก็วางถ้วยบะหมี่น้ำซุปปลาให้กับบุตรชาย ก็ไม่รีรอตักน้ำซุปขึ้นชิม หลี่หานที่รอฟังผลจากลูกชายแย่างใจจดใจจ่อ
หลี่เซียนที่เห็นว่าบิดาตั้งตารอฟังเขาก็แกล้งทำเป็นตักน้ำซุปขึ้นมาชิมอีกครั้งแล้วทำหน้าเหมือนคิดหนัก
“ รสชาติเป็นไงบ้าง “
“ อืม……”
“ เอ้าไอ้ลูกชายคนนี้ยังไงมัวแต่อ้ำอึ้งอยู่นั้นแหละ “ หลี่หานที่รอฟังบุตรชายจนเริ่มจะโมโห
“ อย่าพึ่งโมโหสิครับผมก็กำลังจะบอกอยู่นี้ไงว่าเป็นบะหมี่ที่อร่อยมากที่สุด “
“ ฮ่าๆมันแน่นอนอยู่แล้ว “ เมื่อได้ยินที่บุตรชายบอกแบบนั้นเขาก็อารมณ์ดีขึ้นมา
“ เอ้อนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนก็จะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วยังไงก็ตั้งใจหน่อยแล้วกันนะ อืมที่ว่าลูกจะสอบเข้าเรียนเป็นสถาปนิกแน่ใจแล้วใช่มั้ย “
ใบหน้าของหลี่เซียนนั้นบ่งบอกว่าเขากังวลเกี่ยวกับบุตรชายคนเดียวมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังเคารพการตัดสินใจของบุตรชายอยู่ดี