"ข้าขอพระราชทานการสมรสให้แก่หานหมิงเทียนและจีลู่ฟาง ณ บัดนี้!!" ด้วยเหตุนี้ทำให้นางและบุรุษผู้นี้ต้องมาแต่งงานอยู่ร่วมกันซึ่งจีลู่ฟางได้แต่สงสัยว่านี่เจ้าฮ่องเต้นั่นพระราชทานนางให้กับคนแบบไหนกัน
"ข้าขอพระราชทานการสมรสให้แก่หานหมิงเทียนและจีลู่ฟาง ณ บัดนี้!!" ด้วยเหตุนี้ทำให้นางและบุรุษผู้นี้ต้องมาแต่งงานอยู่ร่วมกันซึ่งจีลู่ฟางได้แต่สงสัยว่านี่เจ้าฮ่องเต้นั่นพระราชทานนางให้กับคนแบบไหนกัน
2
เศษตังค์นั่นอยากได้ก็เอาไปเลย!!! ถือว่าข้าทำบุญให้!!
ยามจื่อ[1]
กลางดึกที่แสนเงียบสงัด ในขณะที่พ่อกับแม่ของจีลู่ฟางเข้านอนแล้ว ร่างบางก็ลืมตาขึ้นมาแล้วหันไปปลุกบ่าวประจำตัว ซึ่งอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ตอนที่ขนมผิงเพิ่งมาเข้าร่างจีลู่ฟาง
“เว่ยถิง!”
“เจ้าคะ คุณหนู?” เว่ยถิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาแล้วถามด้วยน้ำเสียงสะลึมสะลือ
“พวกเราไปหอนางโลมกันเถอะ!!”
ก่อนหน้าที่จะผันตัวมาอ่านนิยายจีน ขนมผิงก็ได้ยินเขาว่ากันว่าพวกสาวๆ ในยุคปัจจุบันที่ทะลุมิติมาเป็นนางเอกในนิยายจีน ต่างก็ชอบปลอมตัวเป็นบุรุษเข้าไปเที่ยวหอนางโลมอยู่บ่อยๆ จนบางทีทำให้คนอ่านบ่นกันว่าพวกเธอไม่มีเรื่องอะไรจะเขียนแล้วเหรอ ถึงได้แต่งซ้ำๆ กันเนี่ย ตอนเห็นคอมเมนต์เหล่านั้นขนมผิงก็เห็นด้วยนะ
กระทั่งได้มาเป็นหนูน้อยจีลู่ฟางนี่แหละ ขนมผิงถึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ขนาดตัวเองยังทำเลย
คราแรกแอบไปเพราะอยากรู้ว่าหอสีแดงเจิดจรัส ที่มียัยเจ๊ปากแดงในเสื้อแพรสีสดลากยาวบนพื้นกับเครื่องประดับที่ใส่พะรุงพะรังตามตัวเหมือนต้นคริสต์มาสเดินได้เป็นคนคุมกิจการเนี่ย ข้างในมีอะไรดี
หลังจากนั้นก็ติดใจจนต้องแอบไปอีกเรื่อยๆ จนถึงวันนี้
อืม...จะต่างกันแค่ตรงที่ว่าตอนนี้นางไม่ได้เป็นนางเอกแล้วและกำลังจะผันตัวเองมาเป็นตัวประกอบยังไงเล่า ฮ่าๆๆ
“จ...จะดีหรือเจ้าคะ?” เว่ยถิงถามคุณหนูของตนที่กำลังยืนหัวเราะคนเดียวด้วยท่าทางลังเล
“ดีสิ...ไม่ได้ฟังเสียงพิณของลี่เสวี่ยมาตั้งหลายวันแล้ว” จีลู่ฟางพูดพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเว่ยถิงต้องถามแบบนี้ทุกครั้ง ทั้งที่ก็แอบไปกับนางมาตั้งหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่ตอนร่างของแม่หนูลู่ฟางนี่อายุสิบสี่ โดยการปีนออกทางหน้าต่างของห้องนอนนี่ไง!!
ก็อยู่ด้วยกันมาตั้งนานแล้ว...ยังไม่ชินอีกเรอะ!?
อ้อ! ลี่เสวี่ยที่นางพูดถึงคืออี้จี[2] ผู้เป็นดาวเด่นประจำหอบุปผาเทียนลู่ฮัว ซึ่งคบค้าสมาคมกับจีลู่ฟางในนามฟางน้อยกงจื้อ (คุณชายฟางน้อย) แต่รู้ว่าแท้จริงแล้วลู่ฟางเป็นสตรี
เมื่อเห็นเว่ยถิงยังคงมีท่าทีอ้ำๆ อึ้งๆ จีลู่ฟางก็จัดแจงยัดเสื้อผ้าบุรุษชุดหนึ่งใส่มืออีกฝ่าย ก่อนที่ตัวเองจะผลัดอาภรณ์ทำผมบ้าง นับเป็นโชคดีของร่างนี้กระมังที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าใดหน้าอกหน้าใจที่มีก็แทบจะไม่ขยายไปตามกาลเวลา ทำให้ไม่ต้องใช้อะไรมาช่วย
เฮ้อ…แต่ก็ยังมีมากกว่านางสมัยเป็นขนมผิงน่ะนะ
หวนนึกถึงร่างเก่าแล้วเศร้าใจจัง…
จากนั้นขนมผิงก็หันไปหาเว่ยถิงที่แต่งตัวเสร็จแล้วเหมือนกันว่า
“ไปกันเถอะ!!”
“เจ้าค่ะ...” เว่ยถิงรับคำด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ ผิดกับคุณหนูที่ตอนนี้ยิ้มระรื่นอย่างมีความสุข...
ณ หอเทียนลู่ฮัว
“พวกข้ามาหาแม่นางลี่เสวี่ย” ทันทีที่ร่างของจีลู่ฟางในคราบคุณชายน้อยแสนน่ารักเดินเข้าไป ก็แจ้งความประสงค์ของตนให้หญิงวัยกลางคนแต่งกายด้วยอาภรณ์ฉูดฉาดและทาปากสีแดงแข่งกับสีเสื้อที่ได้เกริ่นไปในตอนแรกว่าเป็นต้นคริสต์มาสเดินได้ หรือก็คือแม่เล้าฟังทันที
“เวลานี้ลี่เสวี่ยไม่สบาย รับแขกไม่ได้ เป็นคนอื่นได้หรือไม่เจ้าคะ!?” เมื่อได้ยินคำพูดของแม่เล้า จีลู่ฟางก็นึกเป็นห่วงอีกฝ่ายทันที
“ข้าขอไปเยี่ยมนางได้หรือไม่!?”
“เรื่องนี้ข้าต้องถามความสมัครใจของนางก่อนนะเจ้าคะ...”
“ได้...บอกนางไปว่าฟางน้อยกงจื้อมาขอพบ” กล่าวจบก็ยื่นถุงเงินถุงหนึ่งให้สตรีวัยกลางคนตรงหน้า
“ได้เลยเจ้าค่ะ!” หลังจากรับเงินมาน้ำเสียงของอีกฝ่ายก็ดีขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน ก่อนจะรีบไปดำเนินการให้อย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มีคนของหอบุปผามานำทางจีลู่ฟางกับเว่ยถิงไปยังห้องพักของลี่เสวี่ยที่อยู่ชั้นใต้ดินของหอ ซึ่งเป็นชั้นที่รวมห้องพักของนางคณิกาไว้ด้วยกัน
เมื่อถึงหน้าห้องของลี่เสวี่ยแล้วคนนำทางก็กลับไปทำงานของตน ส่วนจีลู่ฟางก็เปิดประตูเข้าไป เห็นเจ้าของห้องนอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดขาว จึงเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความตกใจ
“ลี่เสวี่ย!”
“ฟางน้อย...” ลี่เสวี่ยเอ่ยพร้อมกับมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า หลังจากที่เห็นจีลู่ฟางกับเว่ยถิงเดินเข้ามา นางรู้อยู่แล้วว่าทั้งสองคนนี้เป็นสตรี จึงปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามสบาย
“ลี่เสวี่ย...เจ้าเป็นอะไรมากหรือไม่?”
“ข้าเป็นไข้กับปวดหัวนิดหน่อยน่ะ...ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ” จากนั้นก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“ขอโทษนะ เลยไม่ได้เล่นเพลงให้เจ้าฟังเลย”
“ไม่เป็นไรๆ นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก” ลู่ฟางรีบปฏิเสธ ก่อนจะถามต่อด้วยความเป็นห่วง
“แล้วนี่เจ้ากินยาหรือยัง?”
“เรียบร้อยแล้วล่ะ ขอบคุณที่มาเยี่ยมข้านะ” หลังจากนั้นทั้งสามคนก็นั่งสนทนาเรื่องจิปาถะกันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ร่างบางจะเอ่ยปากร่ำลาลี่เสวี่ยเพื่อกลับจวนของตน
“รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี หวังว่าถ้ามาคราวหน้า ข้าจะได้ยินเสียงพิณของเจ้านะ”
“แน่นอน ฟางน้อย” ลี่เสวี่ยกล่าวยิ้มๆ พลางมองทั้งสองคนเดินออกจากห้องไป...
ขณะเดียวกันในโถงรับแขก หานหมิงเทียนซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะรับรองยกชาร้อนขึ้นมาจิบ พลางปรายตามองไปยังสตรีบนเวทีที่กำลังบรรเลงพิณห้าสายด้วยแววตาเรียบเฉยโดยไม่สนใจเหล่าคณิกาที่มาอี๋อ๋ออยู่ข้างๆ และเชิญชวนให้ดื่มสุราแม้แต่น้อย
ถึงหนึ่งในนั้นจะทำใจกล้าเอาอกใหญ่ๆ ของตนไปเบียดชิดกับแขนอีกฝ่าย แต่หานหมิงเทียนก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับอันใด ราวกับว่าพวกนางไม่มีตัวตน
สืบเนื่องจากวันนี้ที่ได้พูดคุยกับต้าเทียนฮ่องเต้แล้วเจอคำถามเรื่องหอนางโลม เขาก็รู้สึกว่าตัวเองควรมาเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย จะได้รู้ว่าที่นี่มีดีอะไร บุรุษทั่วไปถึงได้ชอบมาใช้บริการนัก แต่ไม่เห็นสนุกตรงไหนเลย การแสดงก็งั้นๆ
แล้วสตรีพวกนี้มันอะไรกัน อยู่ๆ ก็พยายามจะชักชวนเขาขึ้นไปมีความสัมพันธ์ด้วย ยังไม่ได้บอกสักคำเลยว่าต้องการ
น่ารำคาญจริงๆ กลับเรือนไปอ่านตำราต่อดีกว่า!
หานหมิงเทียนคิดพลางวางเงินค่าชาไว้บนโต๊ะแล้วลุกขึ้นเตรียมจะกลับเรือนรับรองของตนที่อยู่ในตัวเมืองจินหลิง เมืองหลวงของแคว้นไท่ ซึ่งเป็นเรือนไม้สองชั้นที่ฮ่องเต้พระราชทานไว้ให้ เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปทำงาน และอยู่ห่างจากหอเทียนลู่ฮัวประมาณสามช่วงถนน
“จะกลับแล้วหรือเจ้าคะคุณชาย?” เสียงหวานของนางคณิกาคนหนึ่งถามขึ้นมา
“……” หานหมิงเทียนไม่ตอบแต่เดินจากไปเสียดื้อๆ โดยมีสตรีหลายคนมองตามด้วยความเสียดาย
น่าเสียดายที่เกิดมาหน้าตาดี แต่กลับหูหนวกและเป็นใบ้…
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวเท้าออกนอกประตู หูของร่างสูงก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกระทบกับพื้น
กริ๊ง~~ กริ๊ง~~
เมื่อหันกลับไปดูก็พบเหรียญห้าอีแปะตกอยู่บนพื้นพรมสีแดงหลังรองเท้าของเขา ยืนรออยู่สักพักไม่เห็นเจ้าของมาแสดงตัว จึงก้มลงเก็บใส่ถุงเงินพลางคิดในใจ
วันนี้ข้าช่างโชคดียิ่งนัก
“ช้าก่อนคุณชายท่านนั้น!” จีลู่ฟางในคราบบุรุษที่วิ่งตามเหรียญซึ่งทำหลุดมือแล้วกลิ้งไปตามพื้น กระทั่งมาเห็นเงินของตัวเองถูกคนอื่นเก็บเข้ากระเป๋าไปต่อหน้าต่อตาเอ่ย
ทว่าอีกฝ่ายกลับเดินออกไปอย่างไม่สนใจนางแม้แต่น้อย
หมับ! ด้วยความหงุดหงิดร่างบางจึงวิ่งไปคว้าแขนอีกฝ่ายไว้
“มีอะไรหรือ!?” หานหมิงเทียนที่ในหัวคิดแต่เรื่องกลับบ้านจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างหันกลับมาถามด้วยความสงสัย
วินาทีที่ได้เห็นใบหน้าหล่อๆ ของอีกฝ่าย ขนมผิงก็บังเกิดความเขินจนหัวใจเต้นแรง
ใจเย็นๆ ก่อนยัยผิง ไอ้พวกหน้าหล่อนี่ตัวดีเลย! อย่าลืมสิชีวิตจริงต้องซดแห้วทำงานหาตังค์ใช้หนี้เพราะไอ้พวกนี้ แถมไม่มีใครจริงใจกับแกสักคน! แค่มาหลอกเอาเงินแล้วก็จากไป
ไอ้พวกแมงดาเลวระยำ!
“เงินที่ท่านเก็บไปเป็นของข้า เอาคืนมาเสียดีๆ” นางพูดด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง
“เหรียญห้าอีแปะน่ะหรือ!?” เมื่อเห็นจีลู่ฟางพยักหน้ารับ หานหมิงเทียนจึงเอ่ยถามว่า
“มีหลักฐานใดพิสูจน์หรือไม่เล่า? ว่ามันเป็นของเจ้าจริงๆ”
“มันร่วงหล่นลงมาจากกระเป๋าของข้า มันก็ต้องเป็นของข้าสิ!” จีลู่ฟางกล่าว ในใจนึกหงุดหงิด
จะให้พิสูจน์ยังไงล่ะยะ เครื่องตรวจลายนิ้วมือแบบยุคปัจจุบันก็ไม่มี
“ใช่หรือไม่!? เจ้าก็เห็นกับตานี่” ร่างบางหันไปถามเว่ยถิง บ่าวประจำตัวที่มาด้วยกัน
“ใช่ จ...ข...ขอรับ” เว่ยถิงกล่าวด้วยท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ เพราะกลัวหลุดพูดคำว่าเจ้าค่ะออกมา แต่กลับทำให้หานหมิงเทียนคิดว่าสองคนนี้มีพิรุธ สงสัยจะพบเห็นเงินนี่แล้วคิดจะเข้ามาเก็บเหมือนกันล่ะสิ แต่ต้องขอแสดงความเสียใจด้วย
เพราะเขาว่องไวกว่า!!
“หากไม่มีหลักฐาน ข้าก็เสียใจด้วยที่จะต้องบอกว่าตอนนี้มันเป็นของข้าแล้ว เพราะข้าเห็นและเก็บมันขึ้นมาก่อนเจ้า” เมื่อเห็นจีลู่ฟางยังคงมีท่าทีฮึดฮัดจึงพูดต่อ
“หากคุณชายน้อยมีข้อข้องใจประการใด เอาเป็นว่าพวกเราไปตกลงกันที่สถานีแจ้งความกันดีหรือไม่!?”
สถานีแจ้งความคือที่ที่ต้าเทียนฮ่องเต้มีพระราชดำริให้ก่อตั้งขึ้นมาตอนปฏิรูปบ้านเมืองครั้งที่ห้า เมื่อสามปีก่อน เพื่อให้ราษฎรมีสิทธิ์ไปร้องเรียนข้อบาดหมางต่างๆ ระหว่างตนเองกับราษฎรคนอื่นได้ด้วยตนเอง โดยจะมีเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นคนที่ทางหน่วยยุติธรรมของกรมอาญาคัดเลือกมาทำงานคอยรับเรื่องและทำหน้าที่จัดการแก้ไขหาข้อยุติ
ซึ่งสำหรับจีลู่ฟางแล้วรู้สึกว่านี่มันสถานีตำรวจชัดๆ
ข้าน้อยขอซูฮกความคิดของพระองค์เลยจ้า! ทรงศิวิไลซ์กว่าคนอื่นๆ ยิ่ง จีลู่ฟางคิดในใจ ทว่าก็ต้องนิ่งไป เมื่อนางเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“….”
“ว่าอย่างไรเล่า?” หานหมิงเทียนถามย้ำเมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย ในที่สุดจีลู่ฟางจึงตัดสินใจว่าจะยกเหรียญห้าอีแปะให้บุรุษผู้นี้ไป ดีกว่าต้องไปสถานีแจ้งความ เพราะกลัวว่าความจริงที่นางปลอมตัวเป็นบุรุษจะถูกเปิดเผย!
“ช่างเถอะ ในเมื่อคุณชายบอกว่าตัวเองเป็นคนเก็บได้ก่อน ข้าก็คงไม่มีอะไรจะว่ากล่าว...นอกเสียจาก…”
แต่ขอด่าหน่อยเหอะ! เกลียดมากเลยผู้ชายแบบนี้ ถึงจะหล่อแต่เ*ย ขนมผิงก็ไม่ให้อภัยหรอกนะ!
“ว่ามา…ข้ารอฟังอยู่” หานหมิงเทียนตอบหน้าตาย
“ยุคนี้ก็มีด้วยเหรอ เก็บเงินได้ พอเจ้าของตัวจริงมาทวงก็ไม่ให้คืน! เศษตังค์แค่นี้อยากได้ก็เอาไปเลย!! ถือว่าข้าทำบุญทำทานให้ละกัน!! ไอ้พวกผู้ชายหน้าตาดีแต่ไม่มีปัญญาทำมาหากินเอง ขี้เกียจสันหลังยาวทำตัวเกาะผู้หญิงเป็นแมงดา ไอ้พวกปลิงดูดเลือดพอดูดจนหมดก็ทิ้งไปหาคนอื่น!!!! พวกหน้าเงินเอ๊ย!!!” ความอัดอั้นตันใจทั้งหมดในชีวิตถูกพ่นใส่บุรุษหน้าหยกตรงหน้า ก่อนที่จีลู่ฟางจะลากเว่ยถิงที่มีสีหน้าตกใจกลับจวน ทิ้งให้หานหมิงเทียนยืนเอียงคอมองตามด้วยความสงสัย
“ข้าเนี่ยนะ ไม่มีปัญญาทำมาหากิน?” ร่างสูงพึมพำกับตนเองเบาๆ
“ข้าเป็นถึงพนักงานที่ได้เงินเดือนเยอะที่สุดเลยนะ!!! ไหนจะยังมีสันหลังยาว แมงดา ปลิงอีก มันเกี่ยวกันตรงไหน? บุรุษเตี้ยผู้นั้นเอาอะไรมาพูด ถึงจะยอมรับว่าข้าหน้าตาดีจริงๆ ก็เถอะ”
พลันก็คิดว่าเรื่องนี้ต้องพูดคุยกันให้รู้เรื่องจึงรีบเดินตามไป ทว่าร่างของสองคนนั้นก็หายลับไปแล้ว...
“ช่างเถอะ ถือว่าฟาดเคราะห์ไปละกัน อย่างน้อยก็ถือว่าข้าโชคดีที่อยู่ๆ ก็มีเหรียญห้าอีแปะวิ่งมาหา” หานหมิงเทียนคิดในใจอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับเดินกลับบ้านของตน...
จะว่าไปเสียงของบุรุษผู้นั้นช่างแหลมเหลือเกิน ตัวก็เล็ก สงสัยยังเป็นเด็กอยู่กระมัง...
ใช้ไม่ได้จริงๆ ตัวแค่นี้ริอาจเข้าหอนางโลม เห็นทีตอนร่างกฎหมายใหม่เสนอฮ่องเต้
ข้าคงต้องเพิ่มข้อบังคับห้ามเด็กชายอายุต่ำกว่า 13 เข้าใช้บริการสถานเริงรมย์เสียแล้ว!