"ข้าขอพระราชทานการสมรสให้แก่หานหมิงเทียนและจีลู่ฟาง ณ บัดนี้!!" ด้วยเหตุนี้ทำให้นางและบุรุษผู้นี้ต้องมาแต่งงานอยู่ร่วมกันซึ่งจีลู่ฟางได้แต่สงสัยว่านี่เจ้าฮ่องเต้นั่นพระราชทานนางให้กับคนแบบไหนกัน
"ข้าขอพระราชทานการสมรสให้แก่หานหมิงเทียนและจีลู่ฟาง ณ บัดนี้!!" ด้วยเหตุนี้ทำให้นางและบุรุษผู้นี้ต้องมาแต่งงานอยู่ร่วมกันซึ่งจีลู่ฟางได้แต่สงสัยว่านี่เจ้าฮ่องเต้นั่นพระราชทานนางให้กับคนแบบไหนกัน
1
พนักงานที่เงือนเดินเยอะที่สุดในวังหลวง!
“หานหมิงเทียน...” บุรุษในฉลองพระองค์ลายมังกรสีทองเอ่ยเรียกชื่อเจ้าของใบหน้าเรียวยาว นัยน์ตาคมสีนิล ผิวขาวดั่งหิมะ รับกับรูปร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีกรมท่าและผมสีดำขลับใต้หมวกขุนนางขั้นสี่ ซึ่งตนเองเป็นคนเรียกมาพบ
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” หานหมิงเทียนรับคำ
“เนื่องจากที่ผ่านมาเจ้าได้ทำผลงานให้กรมอาญาไว้มากมาย ซึ่งปีนี้ใต้เท้าปิงก็เกษียณพอดี เจิ้นจึงใคร่จะให้เจ้ารับตำแหน่งใต้เท้ากรมคนต่อไปน่ะ...”
ถ้าเป็นผู้อื่นได้ยินรับสั่งเช่นนี้คงดีใจจนเนื้อเต้น ทว่าหานหมิงเทียนกลับเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า
“ทูลฝ่าบาท...กระหม่อมขอปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะเหตุใด!?” ต้าเทียนฮ่องเต้ถามพลางหรี่ตามองบุรุษตรงหน้าด้วยความสงสัย
“กระหม่อมมิคู่ควรพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นผู้ใดเล่าที่คู่ควร?”
“กระหม่อมขอเสนอท่านฉาเสี่ยวหวาพ่ะย่ะค่ะ นอกจากท่านฉาจะมีความรู้มากแล้ว ยังอาวุโสที่สุดด้วย”
“งั้นหรือ!?” แล้วต้าเทียนฮ่องเต้ก็นิ่งไปสักพักก่อนเอ่ยว่า
“เรื่องอาวุโสเจิ้นไม่เถียง แต่ความรู้ในสมองเจิ้นว่าเจ้ามีมากกว่าเขานะ หานหมิงเทียน... เจ้าจะให้เจิ้นยกหน้าที่สำคัญให้คนที่มีดีแค่ความอาวุโสหรือ!?”
“กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมนั้นโง่งมจริงๆ ยังต้องเรียนรู้อีกมาก...”
“ทำเป็นมาพูดงั้นพูดงี้ ไม่อยากเป็นก็บอกมาตามตรงเถิด” ต้าเทียนฮ่องเต้กล่าวอย่างเอือมระอา
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่อยากเป็นใต้เท้า” หานหมิงเทียนตอบ
เขาเพิ่งจะอายุ 29 เองนะ ขืนได้นั่งเก้าอี้หัวหน้ากรมอาญา (เดิมคือกรมยุติธรรมแต่ต้าเทียนฮ่องเต้ทำการปฏิรูปแล้วทำให้กรมยุติธรรมกลายเป็นส่วนหนึ่งของกรมอาญา) ล่ะก็…ต้องโดนเขม่น แถมชีวิตที่แสนสงบก็จะต้องโดนทำลายด้วยเรื่องยิบย่อยที่มีเข้ามาไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่แท้
ทุกวันนี้แค่นั่งร่างกฎหมายเล่นๆ นับนิ้วคำนวณเงินที่มี อ่านหนังสือในห้องไปวันๆ ก็ดีอยู่แล้ว
“ตามใจเจ้าละกัน...เช่นนั้นเจ้าต้องการอะไรล่ะ?” ต้าเทียนฮ่องเต้จึงตัดสินใจถามออกไปตามตรง
ไหนๆ หานหมิงเทียนก็ได้ทำคุณูปการให้บ้านเมืองมากมาย โดยเฉพาะสิ่งที่ต้าเทียนฮ่องเต้ถูกใจที่สุด คือการเพิ่มเติมกฎหมายเรื่องสิทธิสตรี สมควรที่จะได้รับการปูนบำเหน็จเป็นอย่างยิ่ง
“เอ่อ…”
“บอกมาเถิด”
“สิ่งที่กระหม่อมต้องการนั้น...”
“สตรีสักคน!?” เมื่อเห็นหมิงเทียนมีท่าทีอ้ำๆ อึ้งๆ โอรสสวรรค์จึงลองทายดู เพราะคิดว่าอาจจะเป็นอาการของหนุ่มโสดวัยยี่สิบเก้าที่เกิดมาเพิ่งเคยชอบใครแล้วไม่กล้าแสดงออกตรงๆ ก็เป็นได้
เพราะตั้งแต่เห็นกันมาก็ไม่เคยเห็นหมิงเทียนนึกชอบพอผู้ใดมาก่อน และหากเป็นเช่นนั้นจริง เขายินดีที่จะสนับสนุนอีกฝ่ายเต็มที่
ทว่าสิ่งที่คิดก็มลายหายไปทันที เมื่อหานหมิงเทียนกล่าวว่า
“มิใช่พ่ะย่ะค่ะ หากพระองค์จะทรงพระกรุณาจริงๆ กระหม่อมขอเพียงแค่ขึ้นเบี้ยหวัดรายเดือนให้กระหม่อมก็พอพ่ะย่ะค่ะ”
“หา...ว่าอย่างไรนะ!? พูดใหม่ซิ”
“ขอเพียงแค่ขึ้นเบี้ยหวัด...เอ้ย! เงือนเดินกระหม่อมสูงกว่าคนอื่นๆ ยกเว้นผู้ที่ดำรงตำแหน่งใต้เท้าก็พอพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่อยากโดนเขม่น...”
หานหมิงเทียนทวนคำพูดของตัวเอง เกือบลืมไปเลยว่าเดี๋ยวนี้คำว่าเบี้ยหวัดถูกแทนที่ด้วยคำว่าเงือนเดินแล้ว
“…เงินเดือน” ต้าเทียนฮ่องเต้แก้ให้
“พ่ะย่ะค่ะ เงินเดือน ขออภัยพอดีกระหม่อมจำผิด”
“อ้อ...และชาตินี้ทั้งชาติกระหม่อมขอไม่เลื่อนตำแหน่งเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”
“……” ต้าเทียนฮ่องเต้ถึงกับอึ้งกิมกี่กับคำตอบของหมิงเทียนเลยทีเดียว
“ก่อนที่เจิ้นจะให้ตามคำขอของเจ้า เจิ้นอยากรู้เหตุผล...”
“เพราะตั้งแต่เข้ามาทำงานที่กรมยุติธรรมในช่วงแรกๆ กระหม่อมก็ได้ตั้งเป้าหมายไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ว่ากระหม่อมจะต้อง...” หมิงเทียนนึกไปสักพัก พลางนึกคำที่ต้าเทียนฮ่องเต้บัญญัติขึ้นมาใหม่สำหรับตำแหน่งต่างๆ ในวังหลวง
“เป็นพนักงานที่ได้เงือนเดินมากที่สุดในวังหลวงแห่งนี้พ่ะย่ะค่ะ! แม้ตอนนี้กรมยุติธรรมจะกลายเป็นกรมอาญาแล้ว แต่เป้าหมายของกระหม่อมก็ยังคงเดิมมิเปลี่ยนแปลง” แม้ดวงตาคมจะฉายแววเป็นประกายออกมายามพูดถึงเงิน แต่ก็ยังคงรักษาความเรียบเฉยบนส่วนอื่นของใบหน้าไว้ได้อย่างดี
ไอ้เชนเอ๊ยไอ้เชน...ไอ้เทพบุตรหน้าตาย ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีกี่ภพกี่ชาติ เอ็งก็ยังทำตัวน่าหมั่นไส้เหมือนเดิม
“เอ้ย!! เงินเดือนพ่ะย่ะค่ะ!!” เมื่อรู้ตัวว่าพูดผิดอีกครั้ง หานหมิงเทียนก็รีบแก้
“เจ้าจะเอาเงินมากมายไปทำอะไร!?” ต้าเทียนฮ่องเต้ถามด้วยความสงสัย
“ส่วนหนึ่งให้ท่านพ่อท่านแม่ อีกส่วนเก็บไว้ใช้ในอนาคตพ่ะย่ะค่ะ...”
โอ้โห! มีความมองการณ์ไกล แต่ว่า...
“อนาคตที่เจ้าวาดฝันไว้เป็นอย่างไรหรือ!?”
“กระหม่อมก็ยังมิรู้พ่ะย่ะค่ะ”
“……” ต้าเทียนฮ่องเต้ถึงกับเงียบเพราะไปต่อไม่เป็นเลยทีเดียว
“เมื่อถึงเวลานั้นคงรู้เองพ่ะย่ะค่ะ” หานหมิงเทียนกล่าวหลังจากเห็นสีหน้าของโอรสสวรรค์
พลันต้าเทียนฮ่องเต้ก็นึกถึงใบหน้าของหานอิงมี่*ที่โผล่ขึ้นมาทับซ้อนกับหานหมิงเทียน
คนน้องเมื่อหลายปีก่อน อยู่ดีๆ ก็บ้าจี้วิ่งมาขอพระราชโองการตามสามีไปออกรบเฉยเลย แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกกลางคันเพราะป่วย...
ส่วนคนพี่เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่แรกและยังคงลุ่มๆ ดอนๆ เรื่อยมา ซ้ำรู้สึกว่าจะหนักขึ้นทุกวัน
ให้ตายเถอะ! ทายาทตระกูลหานมีใครสักคนที่ปกติบ้างหรือไม่!?
แต่ขนาดตัวข้ายังไม่ปกติเลย จะไปเอาอะไรกับเขาเล่า!?
“เจิ้นว่าเจ้าน่าจะหาคู่คิดสักคนมาไว้ร่วมสร้างอนาคตไปด้วยกัน” ต้าเทียนฮ่องเต้เสนอ แต่อีกฝ่ายก็รีบส่ายหน้า
“ไม่ต้องเป็นสตรีก็ได้ รัชสมัยของเจิ้นอนุญาตให้เหล่าคนตัดแขนเสื้อคบหากันได้เต็มที่ เจ้าก็น่าจะเห็นจากการที่เจิ้นให้ตั้งหอบุรุษงามเคียงข้างหอบุปผา”
ข้าก็ดันลืมนึกถึงข้อนี้ไป ไอ้เชนในภพนี้อาจจะไม่ชอบสตรีก็ได้ แต่ไม่กล้าเปิดเผยตัว
วัชรวีร์**คนใจกว้างที่สุดในปฐพีนี้คิดในใจ
“มิใช่อย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมหาได้เคยมีความรู้สึกใดๆ ต่อใครไม่”
“ไม่เคยมีจริงๆ หรือ!? ตอนเด็กๆ ล่ะ!?”
“ตอนเป็นเด็ก ส่วนมากกระหม่อมก็หมกตัวอยู่ในห้องหนังสือของจวน มิได้ออกไปไหนพ่ะย่ะค่ะ” หานหมิงเทียนตอบเสียงเรียบ ขนาดกับคนในครอบครัวยังพูดด้วยจนแทบจะนับคำได้ แต่ไม่ใช่ไม่รักนะ รักและห่วงใยทุกคนนั่นแหละ
“ถามจริง…” ในที่สุดผู้ที่เป็นโอรสสวรรค์จึงถามในสิ่งที่ตนเองรู้สึกค้างคาใจออกไป
“เคยเข้าหอนางโลมหรือไม่!?” เมื่อเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าก็ถามต่ออย่างอ้ำๆ อึ้งๆ
“แล้วเคยแบบว่า...เอ่อ...”
โว้ย!! ถ้ายังอยู่ในร่างของวัชรวีร์คนเดิม เขาจะพูดออกไปได้ไม่มีลังเลเลย แต่นี่...จะทำอะไรก็รู้สึกว่าต้องให้เกียรติไอ้เสื้อคลุมลายมังกรที่ใส่อยู่
“ก็เป็นเรื่องธรรมดาของบุรุษทั่วไปมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะที่ต้องมีความรู้สึกเช่นนี้เป็นบางครั้งบางคราว!? หรือพระองค์ไม่มี” หานหมิงเทียนถามกลับด้วยสีหน้าตายด้าน
เวร… ดูมันย้อน! ดีเท่าไรไม่ยักคิ้วใส่ตรูด้วย
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเอ็งโดนกุดหัวไปแล้วนะ รู้ตัวหรือไม่!?
ต้าเทียนฮ่องเต้สบถในใจ ก่อนตอบอีกฝ่ายด้วยประโยคที่ยืดยาวว่า
“ในเมื่อเจ้าบอกว่ามันเป็นเรื่องปกติ เจิ้นก็ต้องมีสิ แถมมีสนมสวยๆ ไว้ปรนนิบัติด้วย ไม่เหมือนเจ้าหรอก! ช่างเถิด เอาเป็นว่าหากเจ้าต้องการแค่ขึ้นเงินเดือนก็ได้ เจิ้นให้ตามนั้น! ไปได้แล้ว!”
“ขอบพระคุณฝ่าบาท และกระหม่อมขอทูลลา ขอฝ่าบาททรงพระเจริญพันปีหมื่นปีพ่ะย่ะค่ะ” หานหมิงเทียนพูดพลางทำความเคารพแล้วเดินออกไป
เมื่อเหลือแค่ตัวเองกับมี่เยี่ยนอยู่ในห้องแล้ว ต้าเทียนฮ่องเต้ก็ตะโกนออกมาว่า
“ฝากไว้ก่อนเถอะ หานหมิงเทียน!!!”
มีโอกาสเมื่อไรพ่อเล่นเอ็งแน่!
จริงๆ ที่เคยคาดโทษไว้ในตอนแรกๆ ที่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ ก็กะจะลืมๆ มันไปแล้วนะ แต่ไม่ไหวว่ะ เอ็งกวนตีนข้าเช่นนี้...
วัชรวีร์ในร่างของต้าเทียนฮ่องเต้คิดพลางสะบัดหน้าไล่ความหงุดหงิด แล้วหันไปคุยกับมี่เยี่ยน องครักษ์เงาผู้เป็นเพื่อนซี้ตั้งแต่สมัยละอ่อน
“จะว่าไป...”
“อะไรหรือ!?”
“เจ้าได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวของจีลู่ฟางหรือเปล่า!? สาวสวยที่เขาว่ากันว่าเกิดมาเสียเปล่า!?”
หรือพูดกันตรงๆ ก็เสียของเสียชาติเกิดอะไรประมาณนี้
“ก็เคยได้ยินนะ เห็นว่านอนป่วยมาเจ็ดปีกว่าแล้วนี่ ตอนเข้าพิธีปักปิ่นนี่คือทุลักทุเลมาก นั่งคอพับเอนไปมาตลอดเวลา มือไม้ก็ไม่มีเรี่ยวแรงจนมารดาต้องให้คนรับใช้คอยประคองจนจบพิธี...หลังจากนั้นก็นอนติดบ้านตลอดเวลา”
อห. (ที่อาจจะแปลว่าโอ้โหหรืออย่างอื่น) วัชรวีร์อุทานในใจ
ฟังแล้วนึกถึง ในหัวของคุณ ในหัวข๊องคุณ ซอ-ออมบี้ ซอ-ออมบี้ ซอ-ออมบี้ เอ้ เอ้!
ใครเกิดไม่ทันไปหาฟังซะ!
“เหตุใดเจ้าถึงรู้ดีขนาดนี้?” ผู้เป็นโอรสสวรรค์ถามมี่เยี่ยนด้วยสายตาคาดคั้น
ไม่ยักรู้ว่าชาโต้ หรานเกอสุดที่รักของตัวเองจะเป็นพวกชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้านด้วย แต่ก็คงเหมือนนายของตัวเองแหละ ชอบกินเผือกเหมือนกัน!
“ข้าก็ฟังเขาเล่ากันมาปากต่อปากนั่นแหละ” มี่เยี่ยนเอ่ย
“ว่างๆ หาเวลาไปดูหน่อยดีกว่า อยากรู้ว่าจริงหรือเว่อร์” ต้าเทียนฮ่องเต้เอ่ย ตั้งแต่ปฏิรูปนั่นนี่นู่นโน่นไปเมื่อสามปีก่อน เขาก็แทบไม่ต้องทำงานอีกเลย มีเวลาเดินเหินไปไหนได้ตามสบาย
“ก็ไปสิ...” มี่เยี่ยนที่เริ่มจะชินกับการที่ฝ่าบาทเป็นแบบนี้กล่าว ไม่ให้ชินได้ไงล่ะอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปีแล้ว
“เออ ขอดูวันว่างก่อน” ต้าเทียนฮ่องเต้พูดพลางหยิบสมุดประจำตัวขึ้นมาเปิดดูตารางกิจวัตรประจำวันของตน…
*ติดตามเรื่องราวของหานอิงมี่กับเซี่ยเฟยหงได้ในแต่งกับเจ้าแล้วไง! ข้าก็ไม่ได้รักเจ้าเสียหน่อย!
**ติดตามที่มาที่ไปของฮ่องเต้พระองค์นี้ได้ในย้อนเวลา กลับชาติมาเป็นฮ่องเต้อีกครั้ง!