งื้ออออ...กินก็ยังไม่อิ่ม..เงินอั่งเปาก็ไม่ทันได้ใช้ ต้องมาตายเพราะขนมเข่งติดคอ เวรกรรมจริงๆน่านเอ้ย
งื้ออออ...กินก็ยังไม่อิ่ม..เงินอั่งเปาก็ไม่ทันได้ใช้ ต้องมาตายเพราะขนมเข่งติดคอ เวรกรรมจริงๆน่านเอ้ย
กระท่อมกลางป่า
หลี่จิ้งที่กำลังนอนแช่ตัวอยู่ในลำธารอย่างสบายใจอยู่นั้น หาได้รู้ไม่ว่าโลกภายนอกบัดนี้ย้อมไปด้วยเลือดทุกหย่อมหญ้า เพียงเพราะเสาะหาตามล่าสังหารเขา
“เมื่อไหร่เจ้าคนหน้าตายผู้นั้นจะกลับไปเสียที ข้าหล่ะชังน้ำหน้านัก”
ย้อนไปก่อนหน้านี้
หลี่จิ้งคนเก่านั้นเป็นเด็กไม่ดื้อไม่ซน อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนเงียบๆ ที่กล่าวมามีเพียงการอ่อนน้อมถ่อมตนเท่านั้นที่เป็นเรื่องจริง ส่วนไม่ดื้อไม่ซน เป็นคนเงียบๆ แท้จริงแล้วตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง หากไม่แสบไม่ซนแสดงว่าคนนั้นตัวปลอม ฮ่า ฮ่า ฮ่า
อาศัยอยู่ที่กระท่อมกลางป่าที่ท่านตาเป็นคนสร้างทิ้งไว้ ตั้งแต่เริ่มจำความได้เขาใช้ชีวิตอยู่กับท่านตามีนามว่า ซือหยาง ไม่รู้แซ่ ทุกๆ วันเขามักจะเก็บของป่าออกไปขายเพื่อจะนำเงินส่วนนั้นไปซื้อ เซาปิง ของโปรด
บางครั้งก็นำผลไม้ป่าออกไปขายอย่างเช่น เฉ่าเหมย นานๆ ถึงจะได้เก็บออกไปขายสักครั้ง แต่เมื่อใดที่เขาเอาออกไปขายไม่ถึงหนึ่งจิบชา เฉ่าเหมยเหล่านั้นก็หมดเกลี้ยง เพราะเป็นผลไม้ที่ชอบขึ้นอยู่ส่วนลึกของในป่าและผลจะใหญ่ หวานอมเปรี้ยว กรอบอร่อย ทำให้ขายดีทุกครั้งที่นำมา
“ท่านตา ท่านตา ดูนี่สิขอรับ ข้าเก็บมาเยอะแยะเลย มันสีสวยมากเลย” เด็กน้อยพูดเจี้ยวจ้าวด้วยความตื่นเต้น ที่เก็บเฉ่าเหมยมาได้ มันมีสีสันสวยงามจนเขาอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือลงเด็ดเก็บมันขึ้นมา แต่กว่าจะรู้สึกตัวก็เผลอเก็บมาเต็มตะกร้าเสียแล้ว ก่อนจะยื่นเฉ่าเหมยลูกโตให้ท่านตาเพื่อลิ้มลองรสชาติ
“อืม อร่อยมากอาหลี่ หวานกลมกล่อม ละมุนลิ้นมาก”
“อร่อยใช่มั้ยท่านตา” หลี่จิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มดีใจอย่างปิดไม่มิด
“ว่าแต่...เจ้าไปมาจากที่ใดกัน”
“อะ...เอ่อ”
“ไยเจ้าถึงต้องอ้ำอึ้งอยู่เช่นนั้นเล่า” เขาเอ่ยออกมาอย่างรู้ทันหลานชายคนนี้ เลยแกล้งทำเสียงดุ รวมไปถึงใบหน้าเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
“คะ...คือ ขะ...ข้าไปเก็บมาจากหลังเขาลูกโน้นตรงท้ายน้ำตกขอรับ” พูดจบก็รีบก้มหน้าลง เมื่อเห็นสีหน้าและฟังน้ำเสียงของท่านตา ก็เผลอกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากลำบาก ‘อ่า นี่ข้าจะโดนท่านตาลงโทษอีกมั้ยนะ’
“เช่นนั้นหรือ?” เมื่อเห็นท่านตาแสยะยิ้มส่งมาให้ และพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ ขนแขนขนขาก็พร้อมใจกันลุกพรึ่บขึ้นมาทัน
“ขะ...ขอรับ”
“ดีๆ เช่นนั้น เจ้าไปวิ่งขึ้นลงเขายี่สิบรอบ” ได้ยินบทลงโทษที่ท่านตาเอ่ยออกมาก็พลันหน้าซีดลงทันที
“ไม่นะ” จะคัดค้านก็ไม่ได้ จึงได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ ก็คนมันลืมตัวนี่นาเก็บเพลินไปหน่อย
“นี่คือบทลงโทษของเจ้า ที่ไม่ฟังคำสั่งว่าห้ามไปยังแถวนั้นโดยที่ไม่มีตา”
“ต่อไปหลานคนนี้มิกล้าแล้วขอรับ” เขาได้แต่ส่ายหัวไปมาเมื่อได้ยินสิ่งที่หลานคนนี้เอ่ย ‘อีกเดี๋ยวเจ้าก็ทำอีก’ อย่ามาให้ความหวังกับคนแก่เช่นข้าเลย ทำได้เพียงขบขันอยู่ในใจ
“เอาหล่ะ เจ้าไปได้แล้ว”
“ข้าจะรีบไปรีบหลับ เอ๊ย!! รีบกลับนะขอรับ” ก่อนจะยกมือขึ้นโบกไปมาแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว หากชักช้ากว่านี้เห็นทีจะได้ฝ่ามือพิฆาตของท่านตาแทน ‘เฮ้อ...เจ้าเด็กคนนี้ช่างเหมือนนางเสียจริง’ ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าหวนนึกถึงความหลัง
ในคราวที่เขายังมีบุตรสาวตัวเล็กๆ อยู่ข้างกาย แม้จะอายุสิบสามแล้วก็เถอะ นางช่างเป็นสตรีที่ไม่เหมือนสตรี ชอบออกไปเล่นและมีเรื่องทะเลาะต่อยตีกับเด็กผู้ชาย กลับมาจากการเล่นซนในแต่ละครั้งนั้นมักจะมีบาดแผลถลอก รอยช้ำตามตัวอยู่บ่อยๆ หากวันไหนที่เขาสั่งลงโทษ
นางมักจะแอบปีนกำแพงออกไป บางคราก็แอบเอากิ่งไม้มามัดให้เป็นรูปร่างจากนั้นก็นำเสื้อผ้ามาใส่ให้หุ่นกิ่งไม้ที่นางทำขึ้นมา แสร้งว่านางนั้นนั่งมองดอกเหลียนฮวาอยู่ที่ศาลา ทั้งยังบังคับให้บ่าวสาวนั่งเล่นเป็นเพื่อนหุ่นตัวปลอมของนาง
จนเขาไปเจอเข้าที่ตลาด เมื่อสังเกตมองดีๆ ที่ร้านขายขนม ก็เจอกับบุตรสาวที่กำลังนั่งกินขนมเฉียวกั่วและถังหูลู่อย่างอร่อย
“เจ้ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้อย่างนั้นหรือ?”
“ก็กินขนมสิ เจ้าเห็นว่าข้านอนอยู่หรือไง” แต่ทำไมน้ำเสียงช่างเหมือนท่านพ่อเสียจริง พูดออกไปแต่มือก็ยังไม่หยุดที่จะหยิบขนมขึ้นมากินจนเต็มปาก เหมือนว่านางจะนึกบางอย่างขึ้นได้
เอ๊ะ!! ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเมื่อเห็นว่าตรงหน้าเป็นผู้ใด ขนมในปากของนางทั้งหมดก็ได้ไปประดับอยู่บนใบหน้าผู้เป็นบิดาเสียแล้ว
พร่วดดดด~
แค่ก แค่ก แค่ก
‘ไอหยา ตายแน่ๆ ฟางลี่ ทำไมท่านพ่อถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ ไหนท่านแม่บอกว่าท่านพ่อออกไปกับท่านลุงไป๋หล่ะ’
“ทะ...ท่านพ่อ”
“ใช่ ข้าบิดาเจ้าเอง ลี่เออร์”
“อะ...เอ่อ ข้าไปก่อนนะเจ้าคะท่านพ่อ” แล้วนางก็วิ่งหนีออกไปด้วยความเร็ว โดยลืมไปว่าค่าขนมทั้งหมดที่นางกินไปนั้นยังมิได้จ่ายแม้แต่อีแปะเดียว ต้องลำบากผู้เป็นบิดาต้องจ่ายให้ ก่อนจะวางเงินไว้ แล้วเดินตามหลังบุตรสาวออกไป ‘เหตุใดบุตรสาวเขาถึงได้ซนดั่งเช่นลิงแบบนี้’
ไม่นานเขาก็ได้หลุดออกจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงเรียกของใครบางคน
“ท่านตา ท่านตา” ข้าเรียกตั้งนานแล้วทำไมยังไม่ได้ยินสงสัยท่านตาคงจะแก่จนเกินเลยหูตึงสินะ คิดได้แบบนั้นก็ลองเรียกใหม่อีกด้วยเสียงที่แหลมสูง
“ท่านตา!!” ดูเหมือนว่าคราวนี้จะได้ผลเมื่อท่านตาถึงกับสะดุ้ง แต่ว่าเป็นเขาที่ต้องเจ็บตัวอีกครั้งเมื่อท่านตาส่งฝ่ามือพิฆาตมาให้ทีหนึ่ง
โป๊กกก!!
“โอ๊ย!! ข้าเจ็บนะขอรับ” พูดพลางก็ยกมือขึ้นมากุมหน้าฝากไว้
“แล้วเอ็งจะเสียงดังทำไม ข้านี่หูจะแตกเพราะเสียงเจ้าจริงๆ”
“แต่ข้าเรียกท่านนานแล้วนะ เป็นท่านนั่นแหละที่ไม่ได้ยินเอง”
“อ้อ ที่เถียงมานี่เป็นความผิดข้าเช่นนั้นหรือ?”
“เปล่านะ ข้าไม่ได้บอกว่าเป็นความผิดท่านเสียหน่อย ถึงจะนิดหนึ่งก็เถอะ” หลี่จิ้งรีบเอ่ยออกมาเสียงดัง แม้ว่าประโยคหลังจะเบาหวิวก็ตาม
“เจ้าพูดว่าอะไรนะข้าได้ยินไม่ชัด”
“เปล่าขอรับ เอ่อ ท่านตาหิวหรือยังเดี๋ยวข้าไปทำอาหารให้ท่านกิน” เกรงว่าจะได้รับฝ่ามือพิฆาตอีกจึงรีบเปลี่ยนคุยทันที
“เจ้าไปเถอะ”
ทว่าในคืนหนึ่ง
ขณะที่หลี่จิ้งกำลังนอนหลับใหล บุคคลที่ตนเองเคารพรักและนับถือก็ได้เร้นกายหายตัวออกไป โดยไม่มีผู้ใดได้เห็นและพบเจออีกเลย แม้เขาจะเฝ้าตามหาถามไถ่คนในหมู่บ้านหรือผู้คนในตลาด
แต่กลับพบว่าไม่เคยมีผู้ใดพบเจอและรู้จักอยู่เลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันเหตุใดท่านตาถึงได้หายตัวไป แล้วมีเหตุผลอะไรที่ท่านต้องทิ้งให้เขาอยู่เพียงลำพัง วันแล้ววันเล่าที่เขาเฝ้าตามหาแต่ก็ไม่เจอหรือพบเบาะแสอะไรเลย
จนเวลาล่วงเลยมาจนถึงสิบเก้าปี จนวันหนึ่งที่เขาโดนฆ่าตายอยู่กลางป่าโดยบุรุษปริศนาแล้วก็เป็นวันที่น่านได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้แทน
อีกด้านของเมืองลู่
“รายงานขอรับ”
“ว่ามา”
“เด็กนั่นตายแล้วขอรับ ตอนนี้ศพโดนปล่อยทิ้งไว้ที่กลางป่า” เมื่อคำตอบออกมาเป็นไปตามที่เขาหวังไว้ ใบหน้าที่เคยเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ออกมา บัดนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงดัง พานทำให้ลูกน้องและคนใกล้ตัวต่างพากันแปลกใจ
“ดีๆ ทำงานดีมาก ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เขาจึงเดินไปหยิบจอกสุราขึ้นมาดื่มอย่างสบายใจ
‘ในที่สุดขวากหนามอีกชิ้นก็โดนกำจัด’
.........................................................