แรงคำวาจาสัตย์ทำให้เธอเกิดเป็นบุตรชายขุนนาง และนำพาชายผู้นั้นตามมาเกิดเป็นองค์ชายรัชทายาท แค่นั้นไม่พอยังตามมาขายขนมจีบ และรวมถึงการที่ถูกจับแต่งงานกับองชายรัชทายาทผู้นี้!!
แรงคำวาจาสัตย์ทำให้เธอเกิดเป็นบุตรชายขุนนาง และนำพาชายผู้นั้นตามมาเกิดเป็นองค์ชายรัชทายาท แค่นั้นไม่พอยังตามมาขายขนมจีบ และรวมถึงการที่ถูกจับแต่งงานกับองชายรัชทายาทผู้นี้!!
เกร็ดความรู้
เทศกาลตังโจ่ย (冬至)หรือเทศกาลไหว้บัวลอย
"เทศกาลไหว้ขนมบัวลอย" หรือ "เทศกาลตังโจ่ย" มีความหมายถึง วันเหมายัน คือ วันที่พระอาทิตย์จะส่องแสงสั้นที่สุด หรือ วันที่เป็นจุดสูงสุดในฤดูหนาว (The Extreme of Winter)
ที่มา :: https://www.sanook.com/news/1918598/
ขนมบัวลอย
ขนมบัวลอย หรือขนมอี๋ ที่ใช้ในการไหว้จะทำจากแป้งข้าวเหนียวนวดกับน้ำต้มสุกจนเข้าที่และปั้นเป็นเม็ดกลม ๆ เล็ก ๆ นิยมผสมสีชมพูและสีขาว เมื่อปั้นเสร็จแล้วจึงนำลงไปต้มในน้ำเดือด คล้ายกับการทำบัวลอยน้ำกะทิของคนไทย แต่ขนมอี๋จะใช้น้ำตาลทรายขาวหรือน้ำตาลทรายแดงแทนกะทิ ที่สำคัญจะต้องมีขนมอี๋ลูกใหญ่ที่เรียกว่า อีโบ้ ใส่ลงไปในถ้วยขนมอี๋ที่จะไหว้ถ้วยละหนึ่งลูกด้วย
ในสมัยโบราณชาวจีนเรียกขนมบัวลอยว่า "ฝูหยวนจื่อ" (浮圆子) 浮 แปลว่า ลอย และ 圆子 แปลว่า ลูกกลม ๆ ต่อมาภายหลังเรียกว่า ทังถวน (汤团) 汤 แปลว่า น้ำแกง ส่วน 团 แปลว่า ทรงกลม หรือเรียกว่า "ทังหยวน" (汤圆) ซึ่งมีความหมายเหมือนกันและออกเสียงใกล้เคียงกัน นอกจากนั้น อักษร 团圆 เมื่อรวมกันแล้วมีความหมายว่า การได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันของคนในครอบครัว
ที่มา :: https://hilight.kapook.com/view/106513
ที่มา :: http://www.tpapress.com/knowledge_detail.php?k=81
……………………………………………………………
ฤดูสารทย่างกายเคลื่อนผ่าน เปลี่ยนผันล่วงเลยเข้าสู่ฤดูเหมันต์ เหล่าสรรพสัตว์ไม่อาจเคลื่อนไหวตามใจปรารถนา ด้วยความหนาวเหน็บจากเกล็ดหิมะร่วงโรยปกคลุมพื้นดินครอบคลุมแทนดินและใบหญ้าขจีเขียวชอุ่ม
ต้นไม้สูงใหญ่ตั้งตะหง่างกลับเหลือเพียงกิ่งก้านอันว่างเปล่าของใบเขียวขจี คงแต่มีเพียงต้นดอกเหมยที่เปล่งประกายความงามของกลีบดอกที่เบ่งบานส่งกลิ่นหอมหวนรัญจวน ท่ามกลางเกล็ดหิมะสีขาวที่ร่วงโรยในช่วงต้นของฤดูกาล บุปผานานาพรรณต่างหุบกลีบดอกหลบซ่อนตัวไม่กล้าออกมาชูชัน
แคว้นเทียนซ่าน
ท่ามกลางทิวเขาสลับซับซ้อนของภูเขาที่ถูกปกคลุมด้วยพายุหิมะที่ถาโถมไม่หยุดหย่อน เช่นเดียวกับเหล่ากองทหารเคลื่อนพลไม่หวาดหวั่น ฟันฝ่าต่อพายุหิมะไม่ไหวหวั่นเกรงกลัว ต่างมุ่งมั่นย่างก้าวฝีเท้าจวบจนใกล้ถึงประตูเมืองใหญ่ของแคว้นเทียนซ่าน
" เรียนองค์ชายทั้งสาม อีกไม่เกินควรก็จะถึงยังประตูใหญ่พะย่ะค่ะ "
" ดี " คำบัญชาเพียงสั้นๆที่เปล่งวาจาออกมาพร้อมไอควันร้อน ก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าอาชาเคลื่อนตัวอย่างว่องไว
ถัดมาออกไม่ไกลจากเหล่ากองกำลังทัพใหญ่ ที่กำลังใกล้จะเข้ามาถึงประตูเมืองใหญ่แห่งแคว้นเทียนซ่าน ในเวลานี้บรรยากาศโดยรอบของเมืองกำลังเต็มไปด้วยครึกครื้นไปด้วยเหล่าผู้คน
ท่ามกลางละอองหิมะโปรยปราย เหล่าบรรดาผู้คนต่างเดินจับจ่ายใช้สอย เลือกซื้อของประดับตกแต่งอันสวยงาม บรรดารวงร้านต่างๆแขวนประดับด้วยโคมไฟลวดลายรวมถึงสีสันหลากหลายอันสวยงาม ซึ่งให้เข้ากับหน้าเทศกาลตังโจ่ยที่อีกไม่กี่วันจะเดินทางมาถึง ซึ่งเป็นเรื่องที่หน้ายินดีที่จะได้ขอพรเทพเจ้า ยังรวมถึงการได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าของครอบครัว
เช่นเดียวกับวังหลวงที่กำลังจัดเตรียมประดับตกแต่งภายในโดยรอบ รวมถึงอาหารเพื่อเตรียมต้อนรับการกลับขององค์ชายทั้งสาม รวมถึงกองกำลังทหารที่ตรากตรำเดินทางกลับมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ซึ่งนับเป็นข่าวดีสำหรับฮ่องเฮาผู้ซึ่งเป็นมารดาขององค์ชายทั้งสาม หลังจากได้รับสาสน์ว่ากำลังจะเดินทางมาถึง จึงนำข่าวดีนี้ไปแจ้งฮ่องเต้ รวมถึงรับสั่งข้าบริวารให้จัดเตรียมงานเลี้ยง เพื่อเฉลิมฉลองการกลับมารวมถึงเทศกาลตั้งโจ่ย
ฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาหลังจากได้รับข่าวดี จึงทรงสั่งให้ราชเลขาเขียนสาสน์สั่งการให้เหล่าขุนนางออกไปต้อนรับ และรวมถึงการเชิญให้เหล่าขุนนางทุกภาคส่วนเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองภายในวังหลวง ฮ่องเต้ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตรัสให้ราชเลขาส่วนพระองค์เขียนถึงสกุลอี้ กับสกุลจง นำบุตรชาย ได้แก่ อี้ลู่เมิ่ง จงเจิ้นหู่ และจงห่านลู่ เข้าร่วมงานฉลองนี้ ด้วยมิมีสิ่งใดปกปิด หรือคลาดสายตาจากผู้เป็นบิดาได้
ราชสาส์นถูกส่งไปยังสกุลอี้และสกุลจง ที่พรั่งพร้อมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มของผู้เป็นบิดา มารดา ทั้งในใจรู้สึกยินดีที่ได้รับข่าวดีในครานี้ เพียงหวังว่าบุตรชายของตนจะได้รับราชการรับใช้อยู่ใต้เบื้องยุคลบาทของฮ่องเต้
" รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะคะ " เสียงที่เปล่งวาจาหลังขันทีคนสนิทของฮ่องเต้อ่านราชสาส์นจบ
สกุลอี้และสกุลจง เป็นสองตระกูลที่รักใคร่กันมานาน เมื่อได้ยินข่าวดีว่าทั้งสองตระกูล สามารถนำบุตรชายเข้าร่วมงานได้ ต่างก็มาแสดงความยินดีแก่กัน รวมถึงจ้างช่างตัดเสื้อเข้ามาออกแบบชุดที่ให้บุตรชายใส่ไปร่วมงาน
อี้ลู่เมิ่ง จงเจิ้นหู่ และจงห่านลู่ ต่างรู้สึกถึงความวุ่นวายรอบด้านของครอบครัวทั้งที่กำลังจัดเตรียมงานเพื่อต้อนรับเทศกาลตังโจ่ย และรวมถึงจัดเตรียมสิ่งของที่จะนำไปถวายพระพร แด่ฮองเต้ และฮองเฮา ทั้งสามคนจึงนัดหมายกันไปเดินเที่ยวดูความสนุกภายในเมืองในค่ำคืนนี้
ทางด้านองค์ชายทั้งสาม
เสื้อคลุมแพรไหมบนร่างกำยำของชายหนุ่มทั้งสามโบกสะบัดพริ้วไหวตามแรงลม เกล็ดหิมะโปรยปรายลงไม่ขาดช่วง ตลอดทางที่เคลื่อนกำลังพลใกล้เข้ามาถึง องค์ชายสามนามว่า ' ฮุ่ยเหอ ' ก้มลงหยิบม้วนภาพวาดขึ้นมาคลี่ดูใบหน้าที่อ่อนโยนและรอยยิ้มที่สวยงามราวดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างกระทบลงที่ดวงใจ
' ใกล้แล้ว….หวังว่าเจ้ายังไม่มีใคร ' องค์ชายสามฮุ่ยเหครุ่นคิดด้วยรอยยิ้มที่มุมแก้ม ไม่เปิดเผยถึงตวามในใจ
ในเวลานี้กองกำลังพลม้าเคลื่อนตัวเข้ามาถึงประตูใหญ่ เหล่าทหารผู้เฝ้าหน้าประตูเปิดกว้างต้อนรับ กองกำลังพลขององค์ชายทั้งสาม ให้เคลื่อนพลเข้า
เหล่าประชาราษฎร์ที่สัญจรไปมาเพื่อรอต้อนรับกลับมาขององค์ชายทั้งสามต่างหยุดเคลื่อนตัวลง เมื่อเห็นการปรากฏตัวของกองกำลังพลทหารที่เดินทางเข้ามา ก่อนจะก้มตัวลงหมอบลงกับพื้นเปิดเหลือทางเดียวให้กองกำลังพลองค์ชายทั้งสามเคลื่อนพลเข้าสู่พระราชวัง รวมถึงต่างรู้สึกปลื้มยินดีต้อนรับการกลับมา
" ทรงพระเจริญ " เสียงประชาชนกล่าวด้วยความยินดีทั้งน้ำตา เพราะพวกเขารู้สึกขอบคุณองค์ชายทั้งสามที่ช่วยให้พวกเขาพ้นภัยจากข้าศึกศัตรู ภัยแล้วที่ผ่านด้วยพระปรีชาความสามารถขององค์ชายทั้งสาม
องค์ชายทั้งสามต่างส่งรอยยิ้มอบอุ่น เป็นคำขอบคุณแทนคำตอบรับ
……………….
" ลู่เมิง คืนนี้พวกเราสามคน ไปเจอกันที่วัดเหลียง " เจิ้นหู่กล่าวนัดแนะ
" ได้ " ลู่เมิ่งเอ่ยรับคำด้วยเสียงตอบรับ
" ผู้คนที่นั่นคงไม่พลุกพล่านเกินไปใช่ไหม " ห่านลู่ กล่าวด้วยใบหน้าหวาดกลัว
" ห่านลู่ เจ้าจะกังวลไปใย มีข้ากับเจิ่นหู่อยู่ทั้งคน " ลู่เมิงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มสดใส
" ข้าก็แค่กังวลว่าจะมีคนมองด้วยสายตาแปลกประหลาด เส้นผมสีขาวช่างแตกต่างจากพวกท่าน " ห่านลู่เอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกหวาดกลัวว่าผู้คนภายนอกจะมองเขาเป็นตัวประหลาด ปกติห่านลู่มักจะเก็บตัวซ่อนอยู่แต่ภายในจวนสกุลจง
" ห่านลู่ เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวว่าผู้คนจะมองเจ้าด้วยสายตาอันใด มีพวกเราอยู่ข้างกายเจ้าจะกลัวอันใดไปเล่า " ลู่เมิงกล่าวย้ำ เพื่อให้ห่านลู่มั่นใจในตนเองมากขึ้น
" ใช่ข้าเห็นด้วยกับลู่เมิง อย่าได้กังวลไปเลย พี่ชายคนนี้จะดูแลเจ้าอย่างดี " เจิ่นหู่กล่าวเสริมสมทบด้วยรอยยิ้ม " ตกลงตามนี้ เจอกันที่วัดเหลียง "
……………..
ท่ามกลางคืนเดือนเพ็ญแสงจันทร์ส่องสว่างกระจ่างโดยรอบทั่วท้องนภา เหล่าผู้คน ชาย หญิง ต่างล้วนออกมาเดินชมความงามของคืนก่อนเทศกาลตังโจ่ย เกล็ดหิมะตกกระทบลงบางเบา พื้นถนนหนทางเต็มไปด้วยสีขาวราวกับก้อนเมฆา เหล่าเด็กต่างส่งเสียงหัวเราะ วิ่งเล่น ปาหิมะใส่กัน
ณ วัดเหลียง
สถานที่ตั้งอยู่กลางใจเมือง ในค่ำคืนนี้ประตูเปิดกว้างให้ผู้คนเดินเข้าไปกราบสักการะขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล โคมไฟสีเเดงที่ติดตั้งเด่นตลอดทั่วทางเดินภายในวัด เพื่อให้แสงสว่างแก่ผู้คนที่ต่างหมุนเวียนกันเข้ามาขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เช่นเดียวกับลู่เมิ่งที่ค่ำคืนนี้สวมชุดสีฟ้าอ่อน รวมถึงเสื้อคลุมสีขาว เส้นผมที่มัดเป็นขมวดด้วยผ้าผูกผมสีเดียวกับชุดและปล่อยชายเส้นผมให้พริ้วไหวสลวยตามแรงลม เดินไปไม่กี่ก้าวก็พบเข้ากับเพื่อนสนิทอีกสองคนที่เดินตรงเข้ามาสมทบ นั่นคือ เจิ้นหู่ในชุดสีเขียวอ่อน และห่านลู่ในชุดสีขาวที่ดูเข้ากับเส้นผมสีขาวโพลน ใบหน้าที่ดูซูบไปบ้างแต่ก็มีสีแดงเลือดฝาด
" พวกเรารีบเดินไปกันเถอะ " ลู่เมิ่งเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะออกตัววิ่ง
" ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ " ห่านลู่เอ่ยด้วยความกังวล
" รอข้าด้วยลู่เมิ่ง ห่านลู่เจ้าเองก็รีบวิ่งตามมาเร็วๆ " เจิ้นหู่กล่าวก่อนจะรีบวิ่งตามลู่เมิ่งไปด้วยรอยยิ้ม
" พวกเจ้า รอข้าด้วยสิ " ห่านลู่กล่าวก่อนจะรีบออกวิ่งตรงไปข้างหน้า
ร่างของคุณชายทั้งสามที่วิ่งอย่างสนุกโดยไม่ได้ระวังทางทำให้ชนเข้ากับร่างกำยำของชายทั้งสามคนที่ดูมีสง่าราศี ที่กำลังจะมุ่งตรงไปวัดเหลียงเช่นเดียวกัน ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน แต่ไม่มีสิ่งใดคาดเดาได้ว่าโชคชะตาจะพัดให้มาเจอกันได้เร็วเช่นนี้
ลู่เมิง เจิ้นหู่ และห่านลู่ ต่างอยู่ในอ้อมแขนของชายทั้งสามที่พยุงร่างของพวกเขาไว้ไม่ให้ร่วงหล่น เกล็ดหิมะร่วงโรยโปรยปรายลง ไม่อาจทำให้พวกเขาไหวติง ราวกับเวลาหยุดเคลื่อนไหว สายตาของทั้งสามคู่ประสานตาเข้าหากัน
องค์ชายฮุ่ยเหอรับรู้ได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นระรัวดังกลอง ในเวลานี้คนที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาคือคนที่เขาเฝ้ารอคอยมานาน
' โชคชะตาครานี้พาเจ้ามาหาข้า ข้าไม่อาจปล่อยให้เจ้าหลุดมือไปได้ ' องค์ชายฮุ่ยเห่อกล่าวให้คำมั่นในใจตนเอง
" เอ่อ….ท่านได้โปรดปล่อยได้แล้ว " ลู่เมื่อเอ่ยขึ้นเมื่อรับรู้ถึงสายตาของคนรอบข้างที่มองตรงเข้ามา องค์ชายฮุ่ยเหอรู้สึกตัวจึงช่วยประคองร่างของลู่เมิ่งให้ทรงตัวได้ จึงยอมปล่อยทั้งที่ในใจลึกๆอยากจะกอดคนตรงหน้าไว้นานๆ
รวมถึงองค์ชายฮุ่ยซิ่ว และองค์ชายฮุ่ยเจิน ที่ต้องยอมปล่อยมือออกทั้งยังรู้สึกเสียดาย แต่ก็กดเก็บความรู้สึกไว้เพราะอีกไม่นาน พวกเขาจะเอ่ยคำขอต่อพระบิดาถึงความปรารถนาที่พวกเขาปรารถนามาเป็นเวลาเนิ่นนาน
" พวกเราทั้งสามคนต้องขออภัยพวกท่านทั้งสามคน หวังว่าพวกท่านจะไม่ถือสาเอาความ " ลู่เมิ่งกล่าวขึ้นรวถึงยกมือขึ้นประสานขอโทษ เช่นเดียวกับเจิ้นหู่ และ ห่านลู่ที่ยกมือแระสานก่อนโค้งขอโทษคนตรงหน้า
" พวกข้าพี่น้องทั้งสามคน ไม่ถือสาพวกเจ้าหรอก " ฮุ่ยซิ่วเอ่ยขึ้นเมื่เห็นใบหน้ารู้สึกผิดของเจ้นหู่
" พวกเจ้าเจ็บตรงไหนรึเปล่า? " ฮุ่ยเจินกล่าวก่อนจะเอื้อมมือหยิบขวดยาออกมา และยื่นไปทางห่านลู่ " ข้าให้เจ้า ยาขวดนี้ทาเพียงบางๆ จะรู้สึกเย็นๆไม่แสบหรอกนะ "
" ขอบคุณขอรับ " ห่านลู่เอ่ยขึ้นก่อนจะรับขวดยามาอย่างไม่ปฏิเสธ เพื่อไม่ให้เสียมารยาท
" ไม่ทราบว่าพวกเจ้าทั้งสามจะไปไหนกันหรือ ทำดูรีบร้อนกัน เอ่อ….ขอโทษทีถ้าถามอะไรที่ดูล่วงล้ำ " องค์ชายฮุ่ยเฮ่กล่าวถามคนตรงหน้าอย่างลู่เมิ่ง
" พวกข้าทั้งสามคนกำลังจะมุ่งตรงไปวัดเหลียงขอรับ ไม่ได้รีบร้อนอะไรเลย เพียงแค่ข้านึกสนุกเลยทำให้พวกท่านทั้งสามต้องเจ็บตัวขออภัย " ลู่เมิ่งกล่าวอย่างเขินอายทั้งที่รู้สึกผิด
' น่ารัก ' ความคิดถูกผุดขึ้นภายในใจของฮุ่ยเหอ
" พวกข้าทั้งสามพี่น้อง เพิ่งจะเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่ทราบว่าพวกเจ้าจะรังเกียจไหม ถ้าพวกข้าอยากขอให้ช่วยนำทางไปที พอดีพวกข้าจะไปทางนั้นพอดี " ฮุ่ยเหอกล่าวถาม เขาไม่อยากให้โอกาสที่จะได้อยู่ใกล้หลุดลอยไปเลย
" ได้สิ เพื่อการขอโทษพวกท่าน พวกข้ายินดีพาพวกท่านเดินชมเมือง " ลู่เมิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
' น่ารักเกินไปแล้ว ใจข้าตกหลุมเจ้าแล้ว ' ฮุ่ยเหเอ่ยขึ้นภายในใจ รวมทั้งหัวใจที่เต้นระรัว
" เช่นนั้นขอทราบนามพวกเจ้าได้ไหม? " ฮุ่ยซิ่วเอ่ยขึ้น
" ข้ามีนามว่า เจิ้นหู่ น้องชายข้านามว่า ห่านลู่ และเพื่อนสนิทของพวกเรานามว่า ลู่เมิ่ง " เจิ้นหู่เอ่ยตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร โดยไม่ได้รับรู้เลยว่าองค์ชายฮุ่ยซิ่วจ้องมองใบหน้าของเจิ้นหู่อย่างจดจำ
" เช่นนั้นข้าขอแนะนำบ้าง พี่ชายคนโตของข้ามีนามว่า ฮุ่ยซิ่ว ขน้องชายคนเล็ก ฮุ่ยเหอ และข้าพี่คนรอง ฮุ่ยเจิน " ฮุ่ยเจินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
" ท่านฮุ่ยเจิน ท่านเลือดไหล หรือว่าเมื่อครู่ข้าทำท่านบาดเจ็บ " ห่านลู่กล่าวด้วยความรู้สึกผิด
" แผลแค่นี้เอง ไม่เป็นไรเลยเดี๋ยวก็หาย " ฮุ้ยเจินกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ทั้งที่มืออยากจะเอื้อมสัมผัสเส้นผมสีขาวที่ดูสวยรับกับใบหน้าของห่านลู่อย่างเอ็นดู
" ข้าขอทำแผลให้ท่านนะขอรับ " ห่านลู่กล่าวก่อนจะเอื้อมมือหยิบขวดยาที่ได้มาขึ้นมา และยกแขนเสื้อของฮุ่ยเจินขึ้นมาทำให้เห็นกล้ามเนื้อแขนที่เป็นมัดๆ ช่างผิดกับเขาที่ดูมีร่างกายที่บอบบาง ก่อนจะโรยผงยาลงและนำผ้าเช็ดหน้าที่ติดตัวมาผูกมัดปิดลง
" ขอบใจเจ้ามาก " ฮุ่ยเจินกล่าวด้วยรอยยิ้ม ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาแอบลอบสังเกตุใบหน้าของห่านลู่อย่างหลงใหล ในระหว่างทาให้เขา คนตรงหน้ากลัวเขาเจ็บจึงเปาลมจากปากลงบนปากแผลที่โรยผงยาไว้ ฮุ่ยเจินรู้สึกอยากให้คนตรงหน้าอยู่กับเขาไปนานๆ
" ข้ายินดี " ห่านลู่เอ่ยด้วยความยินดีอย่างซื่อตรง
" น้องห่านลู่ เจ้าจะรังเกียจไหม ข้าอยากขอให้เจ้าช่วยประคองข้า " ฮุ่ยเจินออกอุบายเพื่ได้ใกล้ชิดมากขึ้น
" ข้ายินดีช่วยท่าน " ห่านลู่เอ่ยปากตอบรับอย่างยินดี
" ข้าเองก็รู้สึกกลัวว่าจะเดินหลงทาง ข้าขอจับมือน้องเจิ้นหู่ได้รึไม่ " ฮุ่ยซิ่วออกอุบายบ้าง
" เอ่อ….ได้สิ " เจิ้นหู่กล่าวด้วยรอยยิ้มตอบรับ แม้จะรู้สึกแปลกๆที่ผู้ชายสองคนจับมือกัน แต่แค่นี้ก็ไม่น่าจะเป็นไร
" น้องลู่เมิง ข้าขอกุมมือเจ้าได้รึไม่ ข้าเองก็กลัวว่าจะหลงทาง ผู้คนพลุกพล่านมากเกินไป "
" ได้เลย ถ้าท่านไม่รังเกียจจะกุมมือข้า " ลู่เมิงกล่าวอย่างไม่คิดอะไรมาก
" ไม่เลย ข้าดีใจมากเสียอีก " องค์ชายฮุ่ยเหอกล่าวด้วยรอยยิ้ม ด้วยหัวใจที่สูบฉีดเลือดอย่างรัวเร็วจนพองโต
ทั้งสามคู่ออกเดินทางตรงไปยังวัดเหลียง ระหว่างที่มาถึงจุดมุ่งหมาย องค์ชายทั้งสามก็แอบมองร่างของคุณชายทั้งสามที่กราบไหว้ขอพรพระ รวมทั้งอธิษฐานขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดลบรรดาลให้พวกเขาทั้งสามพี่น้องได้เข้าใกล้ คนที่หมายปองได้ใกล้มากขึ้น
พลุดอกไม้ไฟที่ถูกจุดและปล่อยขึ้นบนท้องนภา จนแตกกระจายเป็นรูปดอกไม้ไฟส่องแสงสว่างลงมาหลากหลายสีสันสวยงาม
ลู่เมิง เจิ้นหู่ และ ห่านลู่ต่างตื่นเต้นกับแสงสีเสียงมาก โดยไม่ได้รับรู้ถึงสายตาของคนข้างตัวที่แอบมองด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข
โดยในใจลึกไปขององค์ชายทั้งสามก็เริ่มมีคำขอที่ปรารถนาจะขอกับพระบิดาแล้ว
………………………..
ขอบคุณมากๆค่ะที่รออ่าน รอติดตามเสมอมา ขอบคุณผู้อ่านเสมอมาค่ะ อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรคอมเม้นท์ได้เลยค่ะ เพียงหนึ่งคอมเม้นก็เท่ากับให้กำลังใจในการเขียนค่ะ