Your Wishlist

เล่ห์รักดวงหทัย [Yaoi] (ตอนที่ 1)

Author: สาววายไตพัง

ชายผู้เปรียบดั่งแม่ทัพ องอาจห้าวหาญ ศัตรูทุกผู้เหล่าต่างหวั่นเกรง แต่หนนี้หลังจากจบศึก ผลกลับกลายเป็นแพ้สงครามถูกจับตัวเป็นเชลยศึก ถูกบุรุษสูงศักดิ์ผู้เป็นถึงอ๋องจอมมารย่ำยี ข้าหรือจะยอมมีชีวิตทนต่อไปได้ ถ้าไม่หนีก็ขอตายเสียดีกว่า!!

จำนวนตอน :

ตอนที่ 1

  • 19/04/2564

 

ณ แคว้นเหวินฉิง

ท่ามกลางทิวเขา ภูเขาเบื้องหน้าหลายลูกสลับซับซ้อนกันลูกเล็กลูกใหญ่ อากาศบริเวณโดยรอบ เหล่าหมู่มวลดอกบุปผานานาพันธุ์ต่างส่งกลิ่นหอมรัญจวน ต่างหลอกล่อเชิญชวนเหล่าผึ้ง ผีเสื้อ เข้ามาเชยชม ท้องนภาที่ส่องแสงสว่างของดวงอาทิตย์ตกกระทบลงมายังผืนดิน กลางทุ่งหญ้าที่ต่างหลายล้อมด้วยเหล่าฝูงสัตว์ออกหากิน บนท้องนภาเต็มไปด้วยเหล่าฝูงนกส่งเสียงอันไพเราะขับร้องบรรเลง พร้อมทั้งสายลมที่พัดผ่านทำให้บรรยากาศที่นี่ดูเงียบสงบ

ถัดออกมาในระยะทางสิบลี้ คือ แคว้นเหวินฉิง ที่ตั้งอยู่ใจกลางหุบเขาที่เงียบสงบแห่งนี้ เพราะไม่กล้ามีแคว้นแห่งใดกล้าตั้งตัวเป็นศัตรู และไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามารุกราน นั้นเพราะด้วยความเก่งกล้าของกษัตริย์องค์เก่า ที่ต่างได้รับการขนานนามต่างๆ นานา ชื่อที่ได้รับสมญานามกล่าวขานมากที่สุดคือ “อ๋องพยัคฆ์ดำ"

เมื่อใดที่ได้ยินเสียงเรียกขานนี้เปล่งวาจาจากผู้ใดก็ตาม ผู้อื่นต่างหวาดกลัวไปด้วย เพราะในทุกศึกสงครามไม่เคยมีคำว่าแพ้ ศัตรูทุกผู้เหล่าต้องหลั่งเลือดหยดลงแผ่นดิน ไม่มีผู้ใดรอดพ้นเงื่อมของอ๋องพยัคฆ์ดำ เหตุที่ได้รับสมญานามว่าพยัคฆ์ดำ เนื่องจาก อ๋องฉิงเทียนซือ ทรงมีความชำนาญในการทำศึกสงคราม จึงได้ก่อตั้งกลุ่มขึ้นมาสองกลุ่ม คือ กลุ่มลับที่มีนามว่า “พยัคฆ์ดำ” มีหน้าที่คอยสอดส่องตามหัวเมืองต่างที่อยู่ใต้อาณัติที่คิดจะซ่องสุมรวบรวมกำลังพลก่อกบฏ ต้องกำจัดให้สิ้นซากก่อนจะเหิมเกริม โดยการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมให้สิ้นซาก หรือ การสืบข่าวตามแคว้นที่คิดจะลองดีเข้ามาบุกรุกรานยังแคว้นเหวินฉิง และ กลุ่มกำลังพล ที่มีนามว่า "พยัคฆ์ขาว" มีหน้าที่นำข่าวสารที่ได้รับจากกลุ่มพยัคฆ์ดำมาวางแผน วางค่ายกล กลวิธีหลอกล่อข้าศึกมาติดกับดัก และสังหารทิ้งอย่างไม่ไยดี ไม่ให้มีโอกาสรอดพ้นไปได้ โดยทั้งสองกลุ่มนี้จึงมีส่วนสำคัญ ด้วยเหตุนี้ความหวั่นเกรงยิ่งเกรียงไกรไปมากยิ่งขึ้น

แต่เมื่อวันผันเปลี่ยนและเวลาผันผ่านไป เมื่อถึงคราวเปลี่ยนผู้ปกครององค์ใหม่ก็ขึ้นมานั่งบังลังก์แทนที่ อ๋องฉิงเทียนซือ ซึ่งเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของพระองค์ที่หาได้เกิดกับฮ่องเฮา แต่เกิดกับพระสนมเอกที่มีใบหน้างดงามยิ่งกว่าหญิงอื่น จึงทำให้ใบหน้าของบุตรชายงดงามไม่แพ้มารดา หลังจากอ๋องฉิงเทียนซือ สละราชสมบัติและแต่งตั้งบุตรชายเพียงคนเดียวขึ้นครองราชย์ขึ้นเป็นอ๋อง ซึ่งมีพระนามว่า ฉิงเหวินจาง ก็ทรงออกผนวชในบั้นปลายชีวิต เช่นเดียวกับการปกครองทางการทหาร อ๋องฉิงเหวินจาง หาได้ให้ความใส่พระทัยไม่ กลับให้ความสนพระทัยไปกับความรื่นรมย์ในเสียงดนตรี และเหล่าขุนนางที่นำของมีค่าจากต่างเมืองมาบรรณาการให้ถึงที่ กลุ่มพยัคฆ์ดำ และ กลุ่มพยัคฆ์ขาวที่เคยมีส่วนสำคัญในการปกครองทางการทหาร ก็เดินมาถึงจุดเสื่อมถอยลง

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ยังมีแม่ทัพผู้น่าเกรงขาม นามว่าซิ่นหลิ่งเฟย ที่ได้รับสมญานามว่า แม่ทัพพยัคฆ์ขาว ก็ยังคงต่อสู้กับข้าศึกที่คิดจะรุกราน หรือเจ้าเมืองตามหัวเมืองต่างๆ ที่คิดจะก่อกบฏ เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะด้วยอ๋องฉิงเหวินจาง หาได้มีความใส่ใจต่อการปกครอง มัวแต่ลุ่มหลงมัวเมา เสพสุขในความงามของเหล่าหญิงสาวคณิกา รวมถึงคำพูดสรรเสริญเยินยอยกเมฆของเหล่าบรรดาขุนนาง และเรียกเก็บภาษีเพิ่มมูลค่ากับราษฎรเข้าใส่แผ่นดินส่วนหนึ่งในสี่ และที่เหลือเก็บเข้าใส่ตัวจำนวนมาก หาได้ใส่ใจในความเดือดร้อนของราษฎรไม่ ราษฎรบางส่วนต่างล้มป่วยเจ็บตาย บางส่วนขายตัวยอมเป็นทาสเพื่อหาเงินมาให้ครอบครัวไม่ต้องอดยาก เคยมีขุนนางส่วนน้อยเขียนราชสาสน์รายงานเบื้องบน แต่แล้วกลับกลายเป็นราชสาสน์หายไปพร้อมกับขุนนางผู้ต้องการส่งรายงานก็หายสาบสูญไปด้วยอย่างไร้ร่องรอย

และด้วยเหตุนี้ ในทุกการศึกสงคราม เมื่อรบชนะทุกสงคราม แม่ทัพซิ่นหลิ่งเฟย หาได้รู้สึกนิ่งนอนใจไม่ ก็มักจะขนนำเสบียงมาแจกจ่ายแก่ราษฎร ให้พอประทังชีวิตไปได้บ้าง ทำให้ราษฎรพอลืมตาอ้าปากพอประทังชีวิตได้บ้าง

“เรียนท่านแม่ทัพซิ่น อีกสองวันยกทัพออกเดินทางกลับเมืองหลวงได้แล้วขอรับ” รองแม่ทัพติ่งลี่หยาง ชายหนุ่มใบหน้าเรียวคม ผู้นี้เปรียบเสมือนแขนขาและได้รับความไว้วางใจมากที่สุด เพราะทุกศึกสงคราม ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกัน กล่าวพร้อมกับจ้องมองไปที่ใบหน้าเรียวงามของผู้อยู่เบื้องหน้า

“ลี่หยาง ข้าบอกเจ้าหลายรอบแล้ว เจ้าเรียกชื่อข้าเฉยๆ ก็ได้” หลิ่งเฟย ชายหนุ่มใบหน้าเรียวงาม กล่าวออกมาด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ แต่น้ำเสียงที่กล่าวถ้อยวาจาออกมาทำให้คาดเดาได้ว่าอยู่อารมณ์ไหน

“ข้าน้อยมิกล้า เรียกท่านแม่ทัพซิ่น แต่ถ้าท่านต้องการเช่นนั้น ข้าก็จะขอเรียกท่านตามสมควร” รองแม่ทัพติ่งลี่หยาง

“อันที่จริงแล้ว ข้าก็มองเจ้า เสมือนหนึ่งเพื่อนรักที่ข้าไว้ใจมากที่สุด แต่ถ้าทำให้เจ้าไม่สบายใจก็ตามแต่ใจเจ้า” หลิ่งเฟย

“อึก ท่านหลิ่งเฟย” ติ่งลี่หยาง

“ทำไมเจ้า ทำสีหน้าตกใจเช่นนั้น” หลิ่งเฟยกล่าวด้วยสีหน้าแปลกใจ

“เปล่าขอรับ ข้าน้อยติ่งลี่หยาง รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ท่านหลิ่งเฟยให้ความไว้วางใจข้าถึงเพียงนี้” ติ่งลี่หยางกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

“นี่ก็คงถึงเวลาแล้วสินะ ที่เราควรจะกลับเมืองหลวงสักที ลี่หยางและเหล่ากองทหารจะได้กลับไปหาครอบครัวของพวกเจ้าสักที” หลิ่งเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มเรียบบนใบหน้า

“......” ลี่หยาง

“กี่ปีแล้วนะลี่หยาง ที่เราทำศึกสงครามมาไม่ว่างเว้น” หลิ่งเฟย

“ห้าปีแล้วขอรับ ข้าน้อยขอเรียนถามท่านหลิ่งเฟย” ลี่หยาง

“ว่ามาสิ” หลิ่งเฟย

“ครั้งนี้ท่านหลิ่งเฟยจะกลับไปพบผู้ใดรึขอรับ? ” ลี่หยาง

“อันที่จริงข้าก็ไม่มีที่ให้กลับไปพบผู้ใด” หลิ่งเฟยกล่าวพร้อมเงยหน้าจ้องมองไปยังหมู่ท้องนภาและลอบถอนหายใจเงียบๆ

“ถ้าเช่นนั้น ข้าน้อยขอชวนท่านหลิ่งเฟยไปทานข้าวที่บ้านข้า สักมื้อได้ไหมขอรับ” ลี่หยาง

“ได้สิลี่หยาง ข้ายินดียิ่งนัก” หลิ่งเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“นั่นถือเป็นอันตกลงแล้วนะขอรับ ท่านพ่อ ท่านแม่ และภรรยาของข้าน้อย จะต้องยินดีอย่างยิ่งที่ท่านให้เกียรติมาเยือน” ลี่หยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“......” หลิ่งเฟยไม่ได้เอ่ยกล่าววาจาใด มีเพียงแค่รอยยิ้มที่อบอุ่น

.

.

.

อีกด้านหนึ่งของแคว้นชิ่งจิ่น

ณ ห้องทรงงาน

ภายในห้องกว้างขนาดใหญ่ มีเสากว้างขนาดใหญ่ที่ติดตั้งรายล้อม ถูกปูด้วยผืนผ้าม่าน ด้านบนฝาผนังเป็นรูปมังกรเล่นลูกไฟ และบริเวณโดยรอบด้านมีชั้นวางตำราเรียงระเบียบรายล้อม ชั้นวางไม้ที่ได้รับการแกะสลักอย่างประณีตด้วยช่างฝีมือดีเป็นรูปมังกร เมื่อมาหยุดสายตาที่มุมกลางห้อง จะมีโต๊ะและเก้าอี้ขนาดกว้างที่ทำด้วยหินเนื้อละเอียดอย่างที่ถูกแกะสลักเป็นรูปมังกรคู่กับหงส์ บนโต๊ะเต็มไปด้วยกองราชสาสน์ และชายหนุ่มใบหน้าเรียวคมเข้ม คิ้วหน้า เรียวตาคมดั่งพญาอินทรี กำลังนั่งจับจ้องอยู่ที่ราชสาสน์ในมือ

“เรียนท่านอ๋องผิง ข้าน้อยชิงหมิงซิน ขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ชิงหมิงซินกล่าวด้วยเสียงอันดังที่ด้านนอกห้องทรงงาน

“เข้ามาได้” อ๋องผิงหยางปินกล่าวในขณะที่สายตาไม่ได้ละออกจากราชสาสน์ในมือ

“เรียนท่านอ๋องผิง หัวเมืองที่เราส่งไปคราวนี้ไม่เหลือรอดสักคนพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ชิงหมิงซินกล่าวด้วยดวงตาที่ฉายแววเกรงกลัวต่อสายตาของผู้อยู่เบื้องหน้า

“......” อ๋องผิงหยางปินไม่ได้กล่าวอะไรในขณะที่สายตายังคงจ้องมองราชสาสน์ในมือ

“เรียนท่านอ๋องผิง ตามที่ข้าน้อยทราบมาอีกสองวัน ทัพของแคว้นเหวินฉิงจะยกทัพกลับเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ชิงหมิงซินกล่าวต่อ

“แล้วคนผู้นั้นที่เราให้เจ้าไปทาบทามว่าอย่างไรบ้าง” อ๋องผิงหยางปิน

“ยังไม่ได้ให้คำตอบข้าน้อยเพียงอย่างใด แต่อีกไม่นานคงมีข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ชิงหมิงซิน

“ข้าหวังเช่นนั้น หวังว่าเจ้าหมิงซิน ชิง-หมิง-ซิน องครักษ์ผู้รู้ใจข้า จะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” อ๋องผิงหยางปินกล่าวย้ำชื่อขององครักษ์ผู้ซื่อสัตย์

“ข้าน้อยมิกล้าทำให้ท่านอ๋องผิงผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ชิงหมิงซิน

“ข้าก็ควรเตรียมตัว ไปยังเมืองหลวงของแคว้นเหวินฉิง เพื่อหาคนผู้นี้ที่ข้าคำนึงถึง” อ๋องผิงหยางปิน

“......” องครักษ์ชิงหมิงซิน

“ข้ายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เจ้ามาครอบครอง แม้ต้องตีบุกฝ่ายึดทั้งเมืองของเจ้า หึหึ” อ๋องผิงหยางปินกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างผู้มีชัย สายตายังคงหยุดจ้องมองอยู่ที่ราชสาสน์ในมือที่เป็นภาพวาดคนผู้หนึ่ง ใบหน้าเรียวงาม เส้นผมสีดำที่ยาวปกลงมาด้านหน้าถูกปักด้วยปิ่นลวดลายงดงาม และปลายเส้นถูกรวบไว้ด้านข้างด้วยผ้าบางสีขาว

“......” องครักษ์ชิงหมิงซิน

“หมิงซิน เจ้าเองก็ควรไปเตรียมตัวได้แล้ว และเอาคนของเราไปไม่มาก ข้าแค่ต้องการไปพบคนผู้นั้นดูด้วยสายตาของข้าเอง” อ๋องผิงหยางปิน

“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยขอทูลลา” องครักษ์ชิงหมิงซินกล่าวคารวะ พร้อมกับก้าวเดินจากไปจากห้องทรงงาน

Facebook : M_c27761 

Twitter : @mc27761

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป