Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (เหนือฟ้ามีฟ้าเหนือคนมียอดคน)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

เหนือฟ้ามีฟ้าเหนือคนมียอดคน

  • 26/09/2565

 ตอนที่ 202

เหนือฟ้ามีฟ้าเหนือคนมียอดคน

ท้องนภาดาราเกลื่อนกลาด มิอาจไร้ดาวริบหรี่ ราตรีกาลล้วนนวลใยจันทรา ทิวาตะวันฉายสาดส่อง ท้องฟ้า อากาศ ปถพี ล้วนหมุนเวียนเปลี่ยนฤดูกาล วสันต์ คิมหันต์ สารท เหมันต์ผันผ่าน วันวาน ปัจจุบัน วันพรุ่ง ดังนั้นท่านว่าไม่แน่นอน สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือไม่แน่นอน ทารก เติบใหญ่ วัยชรา ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นดับสิ้นสูญสลายอนิจจัง

ดังนั้นอย่าหมายยึดติดเด็ดขาด เหนือฟ้ามีฟ้า เหนือคนมียอดคน สองเฒ่าพิษแห่งสำนักอสรพิษดำ หลังตวาดคำ “พวกเจ้า” หยางปู้ชุยชิวยิ้มพลางส่งเสียงกล่าวว่า

“พวกเจ้าอันใดของพวกท่าน? บรรพชิตทำตัวเป็นอลัชชี ย่ำยีกาสาวพัสตร์ศาสนา ฆราวาสก็มีจิตใจหยาบช้าประพฤติชั่ว พวกท่านทั้งสามล้วนเป็นเทือกเถาเหล่ากออันน่าขยะแขยง ชาวบ้านยากไร้ไม่มีความผิด พวกท่านยังคิดประหัตประหาร จับตัวพวกเขาเอาไว้ใช้เป็นตัวประกัน เพียงความอดอยากหิวโหยที่พวกเขาได้รับ นับว่าชาวบ้านเหล่านั้นล้วนต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสแล้ว หากภายในครึ่งชั่วยามต่อจากนี้ เจ้เจ๊ของข้าพเจ้าพร้อมทั้งสหายผู้นี้ยังไปไม่ถึง พวกท่านทั้งสองเตรียมโลงไว้รับศพที่ไม่มีศีรษะ ของหลวงจีนชั่วถู่ฝูเอาไว้แต่เนิ่น ๆ เถิด”

ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน สบสายตากับภรรยาของมันแวบหนึ่ง ต่างครุ่นคิดขึ้นในใจคล้ายกัน ถู่ฝูในยามนี้มีฝีมือรุดหน้ากว่าก่อนหน้าอยู่ขั้นหนึ่ง สองสามีภรรยาแซ่เซียวไม่แน่นักว่าจะทำอย่างไรต่อมันได้ แต่ทว่าบิดามารดาย่อมรักถนอมบุตรดุจหยกแก้ว อดนึกห่วงใยในความปลอดภัยของมันมิได้ ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินแสร้งปลุกปลอบขวัญ ปานกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน ส่งเสียงกล่าววาจาว่า

“ทารกน้อยผู้นี้ วาจาเจ้ากล่าวหลอกลวงผู้อื่นอาจได้ผล แต่สำหรับเราสองเฒ่าพิษอย่าได้คิดใช้ลูกไม้ตื้น ๆ ทางที่ดีรีบบอกความลับเกี่ยวกับที่ซ่อนกระบี่สุริยันกับกระบี่จันทราออกมาเร็วเข้า มิเช่นนั้นชาวบ้านเหล่านั้นต้องกลายเป็นผีหมดสิ้น”

หยางปู้ชุยชิวเผยรอยยิ้มต่อเยี่ยนผิงกับเอียวอั้งเย๊าะ พลางหันกลับมาจ้องมองใบหน้าสองเฒ่าพิษส่งเสียงกล่าวว่า

“พวกท่านทั้งสองแน่ใจได้เช่นไร? ว่าลูกไม้ตื้น ๆ ใช้การมิได้ดั่งว่า ยังมิทันพิสูจน์ผลสูงต่ำ จะทราบแน่ชัดได้อย่างไร ผู้ใดใช้การได้ ผู้ใดใช้การมิได้ อีกสักครู่พวกท่านทั้งสองย่อมทราบเอง ข้าพเจ้าขอบอกตามตรง บิดามารดาบุญธรรมของข้าพเจ้ามิได้มาเพียงลำพัง ท่านปู่ข้าพเจ้า ซึ่งเป็นท่านตาของเจ้เจ๊ผู้เฒ่าขอติดตามมาด้วย เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยาม พวกเราจึงขอนั่งพักผ่อนสนทนาเป็นเพื่อนพวกท่านที่นี่ ศีรษะหลวงจีนชั่วถู่ฝู อีกสักครู่คงถูกส่งมาถึงมือพวกท่านในสภาพอันสมบูรณ์”

กล่าววาจาจบ หยางปู้ชุยชิวชักชวนเจ้เจ๊พร้อมทั้งเอียวอั้งเย๊าะ หย่อนก้นลงนั่งยังขอนไม้ท่อนหนึ่ง เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวกับตี่ตี๋ของนางรวมทั้งเอียวอั้งเย๊าะว่า

“วันนี้อากาศเย็นสบายหายใจปลอดโปร่งยิ่ง บิดามารดาของเราหลังจากได้ฝึกเคล็ดวิชาในคัมภีร์เทพอสูร ฝีมือรุดหน้าแทบมิน่าเชื่อ ท่านตาของเรายิ่งมีฝีมือร้ายกาจน่ากลัว สหายน้อยแซ่เอียวท่านอาจไม่เชื่อ ท่านตาของเรากับท่านปู่ของตี่ตี๋คือบุคคลคนเดียวกัน ป่านนี้หลวงจีนชั่วถู่ฝูมันจะยังมีศีรษะอยู่บนบ่าหรือไม่?”

เอียวอั้งเย๊าะนับว่าเฉลียวฉลาด กลับดูออกว่านี้เป็นละครฉากหนึ่ง ความจริงมิมีผงฝุ่นหอมหมื่นลี้ที่ว่า สองสามีภรรยาแซ่เซียวรวมทั้งท่านตาท่านปู่ของทั้งสองล้วนเป็นเรื่องกุขึ้น ดังนั้นระบายลมหายใจออกจากปากคำหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวอย่างปลอดโปร่งว่า

“ถูกต้องของพี่สาว วันนี้อากาศสดชื่นยิ่ง เวลานับว่ายิ่งเดินรวดเร็วยิ่งเช่นกัน ครึ่งชั่วยามผ่านไปไวนัก อาวุโสทั้งสองท่านคล้ายขี้ขลาดตาขาวอยู่บ้างดังนั้นจึงมิกล้าไปช่วยหลวงจีนชั่วช้าที่ว่านี้ มีแต่วิธีที่พี่สาวกับเราไปปรากฏตัวจึงรักษาหัวมันไว้ได้ แต่ทว่าเวลาเหลือน้อยเต็มที สถานที่ที่ซ่อนเหล่าชาวบ้านไว้อยู่ที่ใด? ฉะนั้นพวกเรานั่งนอนอยู่เฉย ๆ ให้เวลาผ่านไป  พวกเรานั่งรออยู่ที่นี่ยังมีเวลาโอภาปราศรัย พวกท่านทั้งสองคิดเห็นเป็นเช่นไร?”

หยางปู้ชุยชิวส่งเสียงหัวร่อฮา ๆ กล่าววาจาว่า

“สหายแซ่เอียว เราเห็นด้วยกับท่านยิ่ง ความจริงพวกเราทั้งสามเดินทางมาเป็นระยะทางหลายลี้ยังมิได้พักผ่อน มิสู้เก็บออมแรงเอาไว้ เราจะใช้เวลานี้ ชี้แนะเคล็ดวิชากระบี่สายรุ้งหยกขาว ให้แก่ท่านดีหรือไม่?”

เอียวอั้งเย๊าะแสดงสีหน้ายินดียิ่ง ส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ดี ดี มีอยู่หลายจุดที่เรายังไม่เข้าใจ ได้สหายท่านช่วยสอนสั่งนับว่าเป็นพระคุณยิ่ง”

ฝ่ายสองเฒ่าพิษแห่งสำนักอสรพิษดำ เห็นคนทั้งสามพูดคุยสนทนากันอย่างสนุกสนาน ไม่มีอาการวิตกกังวลแม้แต่น้อยนิด จนทำให้มันทั้งสองเริ่มไม่แน่ใจ ในคำพูดของทารกทั้งสาม หากเป็นเรื่องโป้ปดมดเท็จ ไม่เชื่อถือนับว่าไม่มีผลร้ายติดตามมา แต่ทว่าหากเป็นเรื่องราวแท้จริง ผลร้ายย่อมมากกว่าผลดี คิดได้เช่นนั้นทั้งสองควบคุมจิตใจรักษาท่าที โยนก้อนหินถามทางไปพลางว่า

“หากเป็นเช่นนั้นจริง เรากับยายเฒ่าจะมั่นใจได้อย่างไร? หากพวกเจ้าคิดคดในข้อ คิดงอในกระดูก เมื่อเราบอกที่ซ่อนออกไปแล้ว พวกเจ้าไม่รักษาคำพูดที่ให้ไว้ เราทั้งสองจะมิไขว่คว้าความว่างเปล่าในอากาศแล้ว”

เยี่ยนผิงนางได้ยินวาจาเช่นนั้นของตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน ร้องเพ้ยคำหนึ่ง ส่งเสียงกล่าววาจาโต้ตอบว่า

“คำกล่าวนี้สมควรเป็นพวกเรากล่าวกับพวกท่านทั้งสอง ลิ้นงูสองแฉกแฉลบได้ซ้ายขวา มิหนำซ้ำยังพลิกไปมาไร้กระดูก ความจริงพวกเราสามคนนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่นี่ ท่านทั้งสองคิดจะไปช่วยเหลือบุตรท่านตอนนี้ อาจจะยังมีเวลาอยู่บ้าง หากขืนยังมัวชักช้าพิรี้พิไร เมื่อสายเกินไปอย่าได้มาเสียใจในภายหลัง”

กล่าววาจาจบ เยี่ยนผิงนางพลิกตัวลงจากขอนไม้ นอนราบลงกับผืนหญ้าใช้สองแขนแทนหมอนรองรับศีรษะ หลับตาพริ้มส่งเสียงกล่าวพึมพำดังว่า

“ตี่ตี๋ เอียวอั้งเย๊าะ พวกท่านทั้งสองมานอนเล่นพักผ่อนตรงนี้เถอะ ปล่อยให้อาวุโสสองท่านนี้ ติดตามไปช่วยบุตรชั่วเดรัจฉานของมันเองเถิด”

ยามนั้น ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วรีบส่งเสียงกล่าวว่า

“เอาเถิด เราจะลองเชื่อฟังวาจาพวกเจ้าดูสักครั้ง แต่เรามีข้อแลกเปลี่ยนประการหนึ่ง?”

หยางปู้ชุยชิวรีบส่งเสียงกล่าวสวนถามขึ้นว่า

“ข้อแลกเปลี่ยนอันใดของท่าน? ความจริงพวกท่านทั้งสองมิมีสิทธิ์จะมาต่อรองด้วยซ้ำ แต่เอาเถิดข้าพเจ้ารักความยุติธรรม ชมชอบพฤติกรรมเปิดเผย ข้อแลกเปลี่ยนของพวกท่าน ลองกล่าวออกมาให้รับฟังดู”

สองเฒ่าพิษแห่งสำนักอสรพิษดำ ความจริงพวกมันช่ำชองโชกโชน ผาดโผนในยุทธจักรมานาน ครั้งนี้กลับมาพลาดท่าเสียรู้ให้แก่ทารกวัยเยาว์ ยามฉลาดสมองของพวกมันมีขนาดเท่าผืนหนัง คราวพลาดพลั้งกลับเพิ่มพูนเท่าผืนเสื่อ เมื่อตัดสินใจพรักพร้อม ยอมกำอุจจาระ ดีกว่ากำลมที่ผาย ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว ส่งเสียงกล่าววาจาถ่ายทอดข้อเสนอออกมาว่า

“เราจะบ่งบอกที่ซ่อนของชาวบ้านเหล่านั้นให้ แต่พวกเจ้าไปได้เพียงสองคนเท่านั้น อีกผู้หนึ่งต้องอยู่กับเราที่นี่เป็นตัวประกัน กลืนกินยาเม็ดเจ็ดหนอนพิษ หากภายในครึ่งชั่วยามไม่เห็นบุตรเราในสภาพอันสมบูรณ์ ยาเม็ดขจัดเจ็ดหนอนพิษเราจึงไม่มอบออกไปเช่นกัน”

หยางปู้ชุยชิว เยี่ยนผิง รวมทั้งเอียวอั้งเย๊าะ พอได้ฟังเช่นนั้นคาดเดาเจตนาของสองเฒ่าพิษได้ทะลุปรุโปร่ง สองเฒ่าพิษพวกมันคล้ายทราบความคิดของทารกทั้งสามเช่นกัน มันทั้งสองคาดเดาเอาไว้ก่อนแต่แรก ในบรรดาทารกวัยเยาว์สามคน หยางปู้ชุยชิวนับว่ามีฝีมือกล้าแข็งที่สุด มันต้องการได้เขาเอาไว้เป็นตัวประกัน ยาเม็ดเจ็ดหนอนพิษมีฤทธิ์รุนแรงยิ่ง หากมิได้ยาถอนพิษทันท่วงทีมีแต่ต้องตายสถานเดียว

สองเฒ่าพิษดีดลูกคิดรางแก้วในใจไว้เป็นมั่นเหมาะ เมื่อให้หยางปู้ชุยชิวกลืนกินยาเม็ดเจ็ดหนอนพิษแล้ว พอเห็นถู่ฝูกลับมาโดยปลอดภัย ในเวลานั้นมันจะใช้หยางปู้ชุยชิวข่มขู่ท่านปู่ท่านตา รวมทั้งสองสามีภรรยาแซ่เซียว บีบบังคับเอาที่ซ่อนกระบี่สุริยันและกระบี่จันทราในคราเดียว นับว่าเป็นแผนการอันแยบยล ยิงเกาทัณฑ์ดอกเดียวสังหารนกเหยี่ยวคราวเดียวถึงสองตัว

ฝ่ายทารกวัยเยาว์ทั้งสาม มีเพียงเอียวอั้งเย๊าะผู้เดียวที่ไม่ทราบว่า หยางปู้ชุยชิวแท้จริงคือจ้าวจ่านจือ สำหรับทั้งสองทราบดีว่า ดีงูมรกตเก้าหัวบวกด้วยตัวยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ ในระยะเวลาสิบปีนี้มิว่าพิษชนิดไหนร้ายแรงเพียงใด? ก็ไม่อาจทำเช่นไรต่อจ่านจือได้แม้แต่ปลายขน

สำหรับสองเฒ่าพิษ มันทั้งสองกลับไม่คิดเฉลียวใจสักน้อยนิด ไม่คิดถึงเหตุการณ์ในป่าพิษ ซึ่งพวกมันเรียกสัตว์แมลงหนอนพิษมาจัดการกับทารกรุ่นเยาว์ รวมทั้งวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย อีกทั้งผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียว กลับไม่คิดว่าพวกเขาหนีรอดมีชีวิตออกมาได้เช่นไร เมื่อได้ยินข้อแลกเปลี่ยนเช่นนั้น เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวกับสองเฒ่าพิษว่า

“ในบรรดาพวกเราสามคน ข้าพเจ้ากับเอียวอั้งเย๊าะมีฝีมือด้อยกว่าตี่ตี๋ พวกเราทั้งสามความจริงไม่ใคร่จะไว้ใจพวกท่านเท่าใดนัก เราสองคนหากคนใดคนหนึ่งอยู่กับพวกท่าน นับว่าน่าเป็นห่วง ตี่ตี๋ข้าพเจ้ามีกำลังภายในกล้าแข็ง จึงมีความสามารถทนทานพิษเจ็ดหนอนของพวกท่านได้ดีกว่า ดังนั้นให้ตี่ตี๋ของข้าพเจ้าอยู่เป็นตัวประกันที่นี่ ชาวบ้านเหล่านั้นกับหลวงจีนชั่วถู่ฝูอยู่ที่ใดรีบบอกมา”

ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินบุ้ยปากเป็นสัญญาณแก่ภรรยา ส่งเสียงกล่าววาจาว่า

“ยายเฒ่า ท่านจงนำเม็ดยาเจ็ดหนอนพิษให้ทารกผู้นี้กลืนกินลงไปก่อน แล้วพวกเราค่อยบ่งบอกที่ซ่อนของชาวบ้านเหล่านั้น”

ยามนั้น ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ ฉวยขวดหยกเคลือบใบเล็กออกมาจากแขนเสื้อใบหนึ่ง ดึงจุกผ้าสีแดงเทยาลูกกลอนเม็ดเท่าผลลำไยสีดำออกมาเม็ดหนึ่ง จากนั้นงอนิ้วมือดีดเม็ดยาออกจากฝ่ามือ เสียงดังหวืดหวือพุ่งดั่งอาวุธลับเข้าหาหยางปู้ชุยชิว ดัชนีที่ดีดออกแฝงกำลังภายในถึงแปดส่วน คิดทดสอบกำลังภายในของทารกผู้นี้ ว่ามีความสูงส่งแข็งกล้าสักปานใด

หยางปู้ชุยชิวไม่ยื่นมือออกคว้ารับเม็ดยา เพียงสะบัดฝ่ามือเบา ๆ ขึ้นคราหนึ่ง เม็ดยาสีดำขนาดเท่าผลลำไย หยุดนิ่งลอยอยู่กลางอากาศเบื้องหน้า ยื่นนิ้วโป้งกับนิ้วชี้หยิบจับเม็ดยากลางอากาศ ส่งเม็ดยาเข้าปากกลืนกินลงท้องไป ส่งเสียงกล่าววาจาว่า

“อาวุโสทั้งสอง เม็ดยาเจ็ดหนอนพิษข้าพเจ้าก็ได้กลืนกินแล้ว คราวนี้จะบอกที่ซ่อนของชาวบ้านเหล่านั้นได้หรือยัง?”

สองเฒ่าพิษลอบตระหนกตกใจอยู่ไม่น้อย คาดคิดมิถึงว่ากำลังภายในของทารกผู้นี้จะสูงส่งเลิศล้ำเพียงนี้ ครุ่นคิดขึ้นในใจว่า

มันผู้เป็นหลานยังปานนี้ หากผู้เป็นปู่ของมันจะปานไหน?

เฒ่าพิษทั้งสอง เป่าปากพ่นลมออกมาคำหนึ่งอย่างโล่งอก อย่างน้อยนับว่าสบายใจไปเปลาะหนึ่ง ตาเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ พลางครุ่นคิดขึ้นว่า

มันได้กลืนกินยาเม็ดเจ็ดหนอนพิษลงกระเพาะไปไม่ผิดพลาด เก่งกล้าสามารถปานใด? ยังไม่อาจต้านทานยาพิษเม็ดนี้ได้แน่นอน

ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว เผยรอยยิ้มเย็นเยียบแฝงรังสีอำมหิตชนิดหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวตอบราบเรียบว่า

“บุตรเรากับเหล่าชาวบ้านกลุ่มนั้น พวกมันอยู่ในสุสานร้าง ห่างจากที่นี่ไปไม่ถึงครึ่งลี้ทางทิศตะวันตก พวกเจ้าทั้งสองจงรีบไปอย่าได้ลวดลายเด็ดขาด ทารกผู้นี้ดีร้ายจะตายหรือเป็น ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าทั้งสองแล้ว”

เอียวอั้งเย๊าะได้ยินว่าสุสานร้างที่หนึ่ง ส่งเสียงร้องกล่าวกับเยี่ยนผิงด้วยความยินดีว่า

“พี่สาว เรารู้จักสุสานร้างแห่งนั้น ปกติเรามักใช้สุสานร้างแห่งนั้นหลับนอนอยู่เนือง ๆ เนื่องด้วยภายในสุสานแห่งนี้กว้างขวางยิ่ง ภายนอกมีกำแพงศิลาจัตุรัสล้อมรอบเอาไว้ชั้นหนึ่ง ภายในยังแบ่งออกเป็นสุสานของขุนนางชนชั้นสูงอยู่หลายตระกูล สุสานหนึ่งที่เราพอจะได้ยินชื่ออยู่บ่อย ๆ นั่นคือสุสานตระกูลหวัง ได้ยินมาว่าเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูง ด้านข้างยังมีสุสานหนึ่งซึ่งปิดตายไม่ทราบประวัติความเป็นมา เร็วเข้าพี่สาวข้าพเจ้าจะนำทางท่านไป”

เยี่ยนผิงหันมาส่งเสียงกล่าวกับหยางปู้ชุยชิวว่า

“ตี่ตี๋อันประเสริฐ เจ้เจ๊กับสหายน้อยเอียวอั้งเย๊าะจะต้องรีบไปแล้ว ชักช้าประเดี๋ยวไม่ทันกาล ศีรษะเดรัจฉานพาลขาดจากบ่าไปเสียก่อน ท่านมิต้องเป็นห่วง พวกเราทั้งสองจะรีบพาบิดามารดากับท่านตามาช่วยท่าน”

กล่าวจบ เยี่ยนผิงรั้งข้อแขนเอียวอั้งเย๊าะ ออกวิ่งนำหน้าไปทางตะวันตก ชั่วพริบตาเดียวทิ้งระยะทางห่างจากที่เดิมมาหลายร้อยวา ชะงักเท้าแล้วส่งเสียงกล่าวกับเอียวอั้งเย๊าะว่า

“สหายน้อยแซ่เอียว ท่านทราบได้อย่างไร? ว่านี่เป็นละครตบตาสองเฒ่าพิษ ความจริงเรามิได้โรยผงฝุ่นหอมหมื่นลี้บนภาพวาด อีกทั้งยังไม่มีบิดามารดากับท่านตาติดตามมาแต่อย่างใด? ท่านนับว่ามีสมองปราดเปรื่องไม่เลว”

เอียวอั้งเย๊าะเส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ขอบคุณพี่สาวที่กล่าวชม ความจริงเราคลุกคลีอยู่ในแวดวงนักเลงอันธพาล เล่ห์เหลี่ยมกลอุบายคล้ายเรียนรู้มาบ้าง ฟังจากน้ำเสียงอากัปกิริยาของพวกท่าน เรายังพอคาดเดาเอาได้ คล้ายมีสัญชาตญาณบางประการบ่งบอก นับว่าโชคดีที่คาดเดาได้ถูกต้อง เพียงแต่หลวงจีนเส้าหลินรูปนั้นร้ายกาจน่ากลัว พวกเราสองคนจะรับมือช่วยเหลือชาวบ้านเหล่านั้นได้อย่างไร?”

เยี่ยนผิงแย้มยิ้มพริ้มพรายประกายสายตาเจ้าเล่ห์ ล้วงไปที่ซอกเอวหยิบวัตถุหนึ่งออกมา จากนั้นวางลงบนใจกลางฝ่ามืออีกข้าง ส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“สหายน้อยแซ่เอียว ท่านมิต้องเป็นห่วงไป ถึงแม้ฝีมือของพวกเราจะสู้หลวงจีนชั่วร้ายนั้นมิได้ แต่ทว่าในเรื่องเล่ห์อุบาย คล้ายเรากับสหายแซ่หยางปู้ของท่าน ยังร้ายกาจเหนือชั้นกว่าพวกมันอยู่หลายขุม ยิ่งพวกมันคิดว่าตนเองฉลาดถือไพ่เหนือกว่ายิ่งพลาดท่าได้ง่าย ท่านลองดูที่ฝ่ามือเรา ลองคาดเดาเอาว่านี่เป็นสิ่งของใด?”

เอียวอั้งเย๊าะจ้องมองสิ่งของสองชิ้นบนใจกลางฝ่ามือเยี่ยนผิง ที่แท้เป็นเศษผมหงอกขาวสองก้อน ลักษณะแทบจะคล้ายคลึงกันกระทั่งแยกแยะไม่ออก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงนึกได้ ส่งเสียงร้องด้วยความยินดีว่า

“เป็นเส้นผมของสองเฒ่าพิษถูกต้องหรือไม่?”

เยี่ยนผิงนางชูนิ้วโป้งให้แก่มันคราหนึ่ง ส่งเสียงหัวร่อหึ ๆ อยู่ในลำคอ แล้วเอ่ยกล่าวว่า

“ถูกต้อง เศษผมสองก้อนนี้เป็นของสองเฒ่าพิษ ท่านรีบนำทางเราไปเร็วเข้า เพียงเศษผมสองก้อนนี้ พวกเราก็เอาชัยต่อหลวงจีนชั่วร้ายนั่น ได้ง่ายดายปานพลิกฝ่ามือแล้ว”

ยามนั้น เอียวอั้งเย๊าะรีบวิ่งนำหน้ามุ่งตรงไปยังทิศทางสุสานร้างทันที ชั่วครู่ให้หลังเบื้องหน้าของมัน มองเห็นกำแพงศิลาสูงชันขนาดใหญ่ สภาพเก่าแก่มีอายุไม่น้อยกว่าร้อยปี กำแพงศิลาทั้งสี่ด้านล้วนสูงชันและทอดยาว ประตูริมกำแพงล้วนปิดสนิทแน่นหนา อวยอั้งเย๊าะชี้มือไปที่ริมกำแพงอีกฟากหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวว่า

“โดยปกติประตูทุกด้านปิดตาย ไม่ให้ผู้ใดเข้าไปภายในได้ แต่เราคล้ายดั่งเป็นมุสิกใหญ่ในที่นี้ พี่สาวรีบตามข้าพเจ้ามาเร็วเข้า เราได้ลอบเจาะกำแพงเอาไว้ใช้เป็นเส้นทางเข้าออก หากไม่สังเกตให้ดีไม่มีผู้ใดพบเห็นเด็ดขาด”

เอียวอั้งเย๊าะกล่าววาจาพลางก้าวเท้าฉับ ๆ เดินอาด ๆ ตรงไปยังริมกำแพงที่มันกล่าวถึง จากนั้นค่อย ๆ บรรจงขยับแผ่นอิฐหินปิดกำแพงออกมาวางทีละก้อน ไม่นานเท่าใดนักริมกำแพงเกิดเป็นช่องสำหรับคนลอดได้ช่องหนึ่ง เอียวอั้งเย๊าะส่งเสียงกล่าวกับเยี่ยนผิงว่า

“พี่สาว ท่านมุดเข้าไปก่อน เราจะส่งอิฐหินเหล่านี้ให้แก่ท่านด้านใน ปกติเมื่อเราเข้าไป จะต้องยื่นศีรษะออกมาหยิบอิฐหินเหล่านี้เข้าไปไว้ภายในทีละก้อน เพื่อใช้ปิดช่องกำแพงเอาไว้เช่นเดิม”

ชั่วครู่ให้หลังคนทั้งสองช่วยกันใช้อิฐหินปิดกำแพงไว้เช่นเดิม ภายในสุสานมีเนื้อที่กว้างขวาง ปลูกสร้างอาคารลักษณะเก่าแก่อยู่หลายสิบหลัง บนพื้นดินเป็นผืนหญ้าเขียวขจี มีต้นไม้ทั้งเล็กใหญ่หลากหลายพันธุ์ปลูกเอาไว้เป็นระยะ ถัดไปเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ ริมสระน้ำปลูกศาลานั่งพักลักษณะแปดเหลี่ยมอยู่หลังหนึ่ง เอียวอั้งเย๊าะชี้มือไปที่ศาลานี้กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า

“พี่สาวท่านดูบ้านหลังนั้นของเรา ปกติเราชมชอบลอบเข้ามาหลับนอนยังศาลาหลังนั้น มันคล้ายจะกลายเป็นบ้านของเราไปแล้ว ท่านติดตามเรามาอย่าได้ส่งเสียงดัง อีกด้านหนึ่งเป็นลานราบกว้างที่หนึ่ง ซึ่งคิดว่าหลวงจีนรูปนั้นคงพาชาวบ้านไปซ่อนเอาไว้ที่นั่นแน่นอน”

เยี่ยนผิงรีบก้าวเท้าตามติดเอียวอั้งเย๊าะไปไม่ห่าง มันคล้ายคล่องแคล่วราวกับงูเจ้าถิ่นคุ้นเคย พอเลี้ยวซ้ายที่ริมพุ่มไม้ไม่สูงไม่เตี้ยหลายต้นปลูกชิดติดกัน เบื้องหน้าไม่ไกลเป็นพื้นราบกว้างขวางที่หนึ่งจริง ๆ

บนพื้นราบนั่งอยู่ด้วยผู้คนท่าทางอิดโรย คาดคะเนจากสายตาน่าจะมีไม่ต่ำกว่าสามสิบคน มีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และคนแก่ ทั้งหญิงและชาย ทุกคนล้วนถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ โยงเชือกผูกติดเอาไว้กับเสาหลักไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง

บนก้อนหินใหญ่นั่งอยู่ด้วยหลวงจีนรูปหนึ่ง หลวงจีนรูปนี้นั่งขัดตะหมาดหลับตาโคจรพลัง มันคือหลวงจีนชั่วแห่งเส้าหลินถู่ฝูนั่นเอง พอได้ยินเสียงฝีเท้าของทั้งสอง ส่งเสียงกล่าวโดยยังมิได้ลืมตาว่า

“บิดา มารดา ผู้เฒ่าทั้งสอง พวกท่านกลับมาแล้ว?”

ยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป