Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (สัญญาณอัปมงคลในงานมงคล)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

สัญญาณอัปมงคลในงานมงคล

  • 27/08/2565

ตอนที่ 136

สัญญาณอัปมงคลในงานมงคล

            สำนักมารสวรรค์เขาหมางซาน ขบวนของเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์รุ่นที่สาม หลังจากออกเดินทางตั้งแต่วิกาลไม่ผ่านพ้น บัดนี้วิกาลเลือนราง ม่านหมอกน้ำค้างพร่างพราวราวกำแพงเบาบางสายหนึ่ง

ในลานกว้างเช้านี้ สำนักมารสวรรค์ดูวุ่นวายอยู่ไม่น้อย คนงานผู้รับใช้ ต่างเร่งจัดโต๊ะเก้าอี้ประดับประดาผ้าแถบ แต่งเติมสถานที่ด้วยกระถางซึ่งปลูกต้นไม้หลากหลายสีสัน มีทั้งไม้ต้นและไม้ดอกนานาพันธุ์

ด้านหนึ่งเป็นห้องครัวใหญ่ ใช้จำนวนผู้คนมากหลาย มีทั้งชายและหญิง ต่างเร่งปรุงอาหารทั้งคาวหวาน นอกนั้นยังมีผลไม้หลากหลายชนิด ซึ่งที่ขาดไปมิได้เป็นสุราชั้นเยี่ยมจากเหลามีชื่อที่หนึ่ง

แขกเหรื่อต่างเริ่มทยอยมาถึง เมื่อมาถึงต่างจับจองสถานที่ นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน เช้านี้งดงามเป็นพิเศษในชุดยาวสีแดงเพลิงเจิดจ้า ท่วงท่าช่างสง่างามน่าเกรงขาม แฝงประกายซ่อนเร้นรุนแรงประเภทหนึ่ง

แต่ทว่าเช้านี้วานรเหินอั้งเซี๊ยะเปานางหายหน้าไป แต่ความจริงนางมิได้หายหน้าหายตาไปที่ใด นางได้รับมอบหมายจากนางมารเยือกเย็นเหยา ให้ปลอมตัวเป็นเหยาเยี่ยนผิงนั่นเอง ส่วนเยิ่นหว่อถิงนั้นยังไม่ทราบว่าจะใช้ผู้ใดปลอมแปลงเป็นมัน

บรรดาสำนักซึ่งหายหน้าจากยุทธจักร เริ่มปรากฏกายและเดินทางมาถึง ขบวนแรกประกอบด้วยสามสำนักด้วยกัน ได้แต่สำนักทะเลทรายเจ้าสำนักปัจจุบันมีชื่อว่าลิ้มไต้เพ้ง สำนักทวนทองเจ้าสำนักคือจงหยวนหยู สุดท้ายเป็นสำนักดาบเงินผู้เป็นเจ้าสำนักมีชื่อว่าหนานลี้หลาง

ขบวนที่สองประกอบด้วยสามสำนักเช่นกัน สำนักกระบี่เขียวเจ้าสำนักนามซู่หยง สำนักหอกมรกตผู้เป็นเจ้าสำนักชื่อเหลียงไฉ่ สำนักเหยี่ยวมังกรผู้เป็นเจ้าสำนักคือเล้งทงที

ขบวนสุดท้ายมีด้วยกันสามสำนักเช่นกัน ประกอบด้วย สำนักสี่ปีศาจ ปัจจุบันมีปีศาจหลงเหลืออยู่เพียงตัวเดียว ปีศาจแมงป่องเงินปึงคุ้นเป็นเจ้าสำนัก สำนักสายลมเจ้าสำนักเป็นบ้อหลง และสำนักพิณสวรรค์มีเจ้าสำนักเป็นสตรีนามเหนียงไช่

ทั้งเก้าสำนักเดินทางมาพร้อมกับศิษย์ในสำนักอีกจำนวนหนึ่ง

เมื่อแขกเหรื่อทยอยมา นางมารเยือกเย็นเหยาจึงออกมาต้อนรับทักทาย ข้างกายยังติดตามมาด้วยเล่อต้าเต๋อ สองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยและเจียจิ้ง นอกจากนั้นนางได้วางมือดีไว้ตามจุดต่าง ๆตามแผนการที่ได้วางเอาไว้

จากนั้นมีอีกห้าคนเดินทางมาถึง เมื่อเข้ามาใกล้เป็นขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ท่านเดินทางมาพร้อมกับขอทานอีกสี่คน

นางมารเยือกเย็นเหยาเมื่อเห็นขอทานพเนจรหวงเกาฉือ นางรีบปรี่เข้าไปรับหน้าส่งเสียงดังว่า

“สำนักมารสวรรค์ รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก ท่านอาวุโสหวงท่านก็เดินทางมาร่วมงานด้วย”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“มิต้องเกรงอกเกรงใจมากพิธี งานสำคัญของสำนักท่าน มิอาจไม่ปลีกตัวมาร่วมงานได้ ที่สำคัญในงานนี้ข้าพเจ้าเฒ่าชรา คงได้พบหน้าพบตาเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ คาดว่าพวกเขาคงต้องเดินทางมา แม่นางเยี่ยนผิงคบหาพวกเขาเป็นมิตรสหาย พวกเขาคงมิแล้งน้ำใจไม่เดินทางมาเป็นอันขาด”

นางมารเยือกเย็นเหยารีบเชื้อเชิญให้ทั้งหมดเข้าไปมานั่งพักผ่อน เมื่อนางนั่งลงฝั่งตรงกันข้ามส่งเสียงกล่าว

“อาวุโสหวง มิทราบว่าท่านเดินทางมาเฉพาะเหล่าขอทานเช่นนั้นรึ?”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือกล่าวตอบว่า

“คล้ายดั่งเป็นเช่นนั้น ท่านกล่าวถามเช่นนี้มีกระไรแอบแฝงอยู่หรือไม่? ใช่ในงานนี้มีการต่อยตีเกิดขึ้นอีกหรือไม่?”

นางมารเยือกเย็นเหยากล่าวตอบว่า

“อาวุโสหวงท่านกล่าวเช่นนี้ออกจะรุนแรงไปหรือไม่? เรื่องต่อยตีข้าพเจ้ามิกล้ายืนยันกับท่าน แขนขาของผู้ใดย่อมเป็นของผู้นั้น ข้าพเจ้านางมารเยือกเย็นเหยา คงมิมีความสามารถถึงปานนั้น ถึงกับไปบังคับแขนขาของผู้ใดเอาไว้ได้เล่า?”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือหัวร่อฮา ๆอย่างเบิกบาน จากนั้นส่งเสียงกล่าวว่า

“ประเสริฐ ๆนางมารเยือกเย็นเหยาท่านกล่าวได้ดี เราขอทานเฒ่าคล้ายกับยังมีแขนขาเป็นของตนเองเช่นกัน คงมิอาจให้ท่านบังคับได้เช่นกัน หากได้ยืดเส้นยืดสายบ้าง สนิมในไขข้อกระดูกคงสลายคลายลงไปได้บ้าง ท่าทางจะไม่เลวแล้วฮาๆ”

นางมารเยือกเย็นเหยา ส่งเสียงหัวร่อกลบเกลื่อน พร้อมกับกล่าวว่า

“อาวุโสหวงท่านกล่าวล้อเล่นเช่นนี้ หากเกิดการต่อยตีขึ้นจริง ข้าพเจ้าคล้ายต้องร่วมวงต่อยตีนี้ด้วยแล้วกระมัง?”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ คล้ายคำนวณออกว่านางมารเยือกเย็นเหยากล่าววาจากลบเกลื่อน ดูท่าแล้วในงานวันนี้ ต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงส่งเสียงหัวร่อเป็นเพื่อนนางแล้วกล่าว

“นางมารเยือกเย็นเหยา หากท่านเข้าร่วมวงต่อยตีด้วยยิ่งประเสริฐ คิดว่าคงสร้างความครึกครื้นให้กับตาเฒ่าได้ไม่น้อย ทราบว่าท่านฝึกวิชาในคัมภีร์สุริยันจันทราสำเร็จ ตาเฒ่าจะอาศัยโอกาสนี้เปิดหูเปิดตาดูสักครา วิชาในคัมภีร์สุริยันจันทรา กับวิชาขอทานของเล่าฮู อันใดน่าเล่นกว่ากัน?”

นางมารเยือกเย็นเหยา นางหัวร่ออีกแล้ว แต่ครานี้นางหัวร่อยาวนานกว่าคราแรก สายตานางจับจ้องขอทานพเนจรหวงเกาฉือปานจะฉีกเลือดเนื้อ นางเกรงว่าขอทานเฒ่าจะมาขัดขวางแผนการของนาง หากนับสุดยอดฝีมือในอดีตยุคนั้น ขอทานพเนจรหวงเกาฉือย่อมอยู่ในทำเนียบสุดยอดฝีมือแน่นอน หลังจากท่านเร้นกายหายหน้าไปสิบกว่าปี ป่านนี้ระดับฝีมือจะก้าวหน้าไปมากมายปานใด

ถึงแม้นนางจะสำเร็จยุทธ์ในคัมภีร์สุริยันจันทรา แต่ทว่าด้านพลังการฝึกปรือย่อมยังห่างชั้นจากท่านผู้เฒ่าอยู่ช่วงหนึ่ง ที่สำคัญไปกว่านั้น นางกับเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน แม้นเก็บตัวฝึกยุทธ์ในคัมภีร์ มาตรว่าฝึกฝนสำเร็จ แต่ทว่าเคล็ดวิชาบางประโยคนั้น ลึกซึ้งเกินไปไม่อาจตีความแตกฉานกระจ่าง ดังนั้นจึงนับมิได้ว่าสำเร็จวิชาขั้นสูงสุดยอด

ดังนั้นนางกับเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ครุ่นคิดจนสมองแทบแตกออกเป็นเสี่ยง ๆยังมิอาจตีความเคล็ดวิชาออกมาได้ แต่นางกับเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันยังมีไม้ตายในมืออีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งถือเป็นความหวังของพวกนางอย่างยิ่งยวด

ครั้งกระโน้นหลังจากนางร่วมมือกับเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน แย่งชิงยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณจำนวนหกเม็ดจากสองพี่น้องแซ่เฟิ่น ในครั้งนั้นพวกนางแอบได้ยินพี่น้องแซ่เฟิ่นสนทนากับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนที่เนินเสือดาว ตัวยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ ประกอบด้วยตัวยาสองเม็ดสองสีต่างกัน ตัวยาเม็ดสีดำเรียกว่าเก้าพิษดับโลกันตร์ ตัวยาเม็ดสีแดงมีชื่อว่าเก้าพิษโหยหวน

หากใช้ตัวยาสีหนึ่งสีใดโดยลำพัง มันจะเป็นยาพิษอันน่าสะพรึงกลัวชวนสยดสยองเป็นที่สุด แต่หากใช้สองเม็ดต่างสีพร้อมกัน สามารถรักษาพิษได้นานาชนิดไม่เหลือซาก นอกจากใช้ขจัดพิษได้ชะงัดแล้ว หากนำตัวยาสองเม็ดต่างสีมาบดผสมกับดีงูมรกตเก้าหัว จะช่วยให้เพิ่มพูนพลังวัตรได้ถึงสามสิบปี แต่ทว่าดีงูมรกตเก้าหัวจนกระทั่งบัดนี้ ยังมิมีผู้ใดทราบว่าเป็นดีงูวิเศษพิสดารสถานใด

ในใต้หล้าทราบว่ามีตัวยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณหลงเหลืออยู่เพียงแปดเม็ดเท่านั้นเอง โดยเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเก็บเอาไว้เพียงสองเม็ด อีกหกเม็ดมอบให้แก่เฟิ่นไป่ชิงเป็นของขวัญ ครั้งพบหน้ากันคราแรกที่เนินเสือดาว

เมื่อตัวยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณถูกพวกนางแย่งชิงมา นางมารเยือกเย็นเหยาได้มาเพียงสองเม็ด อีกสี่เม็ดเป็นเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันเก็บรักษาไว้ ต่อมามารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง โดนพิษร้ายแรงของยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว เพื่อรักษาชีวิตมัน เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันจึงมอบยาสองเม็ดให้แก่มันรักษาชีวิต ดังนั้นในเวลานี้นางและเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ต่างมีตัวยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณคนละสองเม็ด

ดังนั้นเมื่อพวกนางตีความเคล็ดวิชาได้ไม่แตกฉาน อีกความหวังหนึ่งคือสืบสาวหาว่าดีงูมรกตเก้าหัวคือสิ่งวิเศษใดกันแน่? เท่าที่พอทราบมาในระยะเวลาร้อยปี จะมีปรากฏออกมาครั้งหนึ่ง ในอดีตมีเพียงปรมาจารย์ลวี้ยู่เฉียนเพียงผู้เดียว ที่ท่านมีวาสนาได้พบพานกับดีงูวิเศษนี้

ถึงแม้นนางและเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน จะมีตัวยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณด้วยกันทั้งคู่ แต่ดีงูมรกตเก้าหัวมีเพียงหนึ่งเดียว ปัญหาข้อนี้มีเพียงนางกับเจ้าอสูรโลกันตร์ ที่จะจัดการปัญหาข้อนี้เยี่ยงไร

ในลานกว้าง มีอีกหนึ่งขบวนเดินทางมาถึง มองผ่านตาเพียงปราดเดียว ทราบได้ทันทีว่าเป็นหลวงจีน ขบวนนี้ประกอบด้วยกันทั้งสิ้นสิบสองรูปด้วยกัน เป็นหลวงจีนจากวัดเส้าหลินนั่นเอง ผู้ที่เดินนำหน้าขบวนเรียกว่าหลวงจีนเต้าจื่อ

นางมารเยือกเย็นเห็นเช่นนั้นโบกมือเป็นสัญญาณ ให้เล๋อต้าเต๋อกับสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้งออกหน้าไปต้อนรับ หลวงจีนเส้าหลินกลุ่มนั้นเมื่อเห็นขอทานพเนจรหวงเกาฉือ กับนางมารเยือกเย็นเหยา ต่างประสานมือแสดงความทักทายมา ทั้งสองรีบประสานมือทักทายตอบ

ส่วนนางมารเยือกเย็นเหยา นอกจากประสานมือทักทายแล้วนางส่งเสียงกล่าวว่า

“สำนักมารสวรรค์ยินดียิ่งนัก เส้าหลินเดินทางมาเป็นแขกในวันนี้ ส่วนเส้าหลินของพวกท่าน ได้ข่าวว่าเช้านี้มีการต้อนรับแขกเหรื่อขบวนหนึ่งด้วยเช่นกันใช่หรือไม่? ทุกท่านเชิญ ๆ”

นางมารเยือกเย็นเหยา กล่าวกับหลวงจีนกลุ่มนั้น ในวาจาของนางอำพรางเงื่อนงำบางประการ หลวงจีนนามเต้าจื่อได้ยินเช่นนั้นกล่าวถามว่า

“ประสกเหยา ท่านทราบได้เช่นไร? ไฉนท่านกล่าวว่าเส้าหลินมีแขกไปเยือนในเช้านี้?”

นางมารเยือกเย็นเหยานางหัวร่ออีกครา จากนั้นส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ข่าวนี้เป็นข้าพเจ้าทราบมิได้ลำบากกระไรเลย พวกท่านคงหลงลืมไปแล้วกระมัง? เทียนเกาใช่เคยเป็นหลวงจีนวัดเส้าหลินถูกต้องหรือไม่?”

หลวงจีนนามเต้าจื่อกล่าวตอบว่า

“ถูกต้อง มันคล้ายกับเคยเป็นหลวงจีนวัดเส้าหลิน แต่บัดนี้คล้ายกับมันมิใช่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับเส้าหลินแล้ว มิทราบว่าประสกเหยาเอ่ยชื่อคนทรยศเส้าหลินเช่นเทียนเกา? หรือว่ามันกับท่านคบคิดการใด? จนมันต้องคาบข่าววัดเส้าหลินมาประเคนให้แก่ท่านเช่นนั้นรึ?”

คำตอบที่หลวงจีนเต้าจื่อกล่าวออกมา นางมารเยือกเย็นเหยามิได้ติดใจกระไรนัก แต่คำถามที่พรั่งพรูต่างหากที่ทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยพึงพอใจเท่าใดนัก ดังนั้นนางจึงร้องอ้อ แล้วกล่าวตอบว่า

“ข้าพเจ้ามิทราบ ว่ามันมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเส้าหลินแล้ว แต่ทว่าพวกท่านควรต้องทราบ ไม่แน่นักจากวันนี้มันอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเส้าหลินอยู่บ้าง”

“เกี่ยวข้องกับเส้าหลิน? เกี่ยวข้องเช่นไร?”

หลวงจีนอีกรูปหนึ่งส่งเสียงกล่าวถามขึ้นบ้าง นางมารเยือกเย็นเหยากล่าวตอบว่า

“เกี่ยวข้องเช่นไร? คล้ายกับมิได้เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าไม่ หลังจากพวกท่านเดินทางกลับไป ใช่ถามจากปากมันเองไม่นับว่าประเสริฐกว่าดอกรึ?”

หลวงจีนเต้าจื่อได้ยินเช่นนั้นกล่าวสวนว่า

“ถามจากปากมันเช่นนั้นรึ? ก่อนที่จะสอบถามจากปากมัน ประการแรกมันควรมีความสามารถ ก้าวเท้าเหยียบย่างเข้าไปภายในวัดเส้าหลินให้ได้ก่อนเถิด”

แต่ก่อนที่นางและหลวงจีนวัดเส้าหลิน จะได้กล่าววาจากระไรสืบต่อ ในลานกว้างขบวนของเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์เดินทางมาถึงพอดี ทั้งนางและหลวงจีนวัดเส้าหลินจึงหยุดวาจาไว้เพียงนั้น แต่ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ท่านมีประสบการณ์ผาดโผนยุทธภพโชกโชน ท่านพอคาดเดาได้ทันทีว่า ที่นางมารเยือกเย็นเหยากล่าวเมื่อครู่ จะต้องมีเค้ามูลความจริงอยู่บ้าง

อีกประการหนึ่ง ตั้งแต่ท่านเดินทางมา ยังมิพบหน้าเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ที่สำคัญเทียนเกาหรือเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อก็หายหน้าไปด้วย นอกจากนั้นเหล่ายอดฝีมืออีกหลายคน ล้วนพากันหายหน้าไปด้วยเช่นกัน

เมื่อเห็นเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์เดินทางมาถึง ขอทานพเนจรหวงเกาฉือรีบลุกขึ้นพุ่งร่างออกไปทันที นางมารเยือกเย็นเหยารีบพุ่งร่างออกตามติด ขอทานพเนจรหวงเกาฉือส่งเสียงกล่าวทักทายว่า

“ฮา ๆในที่สุดพวกเจ้าก็มา เราเฒ่าชรามารอพวกเจ้าเนิ่นนานแล้ว เราคาดเดาไว้ไม่ผิดพลาด เช่นไรพวกเจ้าต้องเดินทางมา ดังนั้นเราจึงล่วงหน้ามาคอยต้อนรับ ด้วยเกรงว่าเจ้าภาพในวันนี้จะต้อนรับพวกเจ้าได้ไม่ดีนัก ที่สำคัญในงานวันนี้เราตาเฒ่าได้กลิ่นไม่ค่อยดีเท่าใดนัก อยู่ใกล้ ๆตาเฒ่าเอาไว้ แล้วมิทราบว่าจ่านจือเล่า? ไฉนเขาไม่เดินทางมาด้วยกับพวกเจ้า”

นางมารเยือกเย็นเหยารีบพุ่งร่างออกมาขวางหน้า ส่งเสียงกล่าวว่า

ท่านอาวุโสหวง ท่านกล่าววาจาเมื่อครู่ออกจะรุนแรงเกินไปหรือไม่? หรือท่านได้กลิ่นกระไรไม่ดีเช่นนั้นรึ? คงมิใช่กลิ่นขอทานของพวกท่านกระมัง?”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือสวนคำกลับมาว่า

“ย่อมแน่นอน ต้องมิใช่กลิ่นขอทานเป็นเด็ดขาด พวกเราเหล่าขอทาน แม้ผ่านการอาบน้ำน้อยครั้ง แต่กระนั้นแต่ละครั้งล้วนขัดถูเนิ่นนานยิ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์หากมองว่าเก่าซีด แต่ล้วนผ่านการซักจนสะอาดอยู่บ้าง หรือว่าท่านจะให้ขอทานสวมใส่เสื้อผ้าสวยหรูดุจกงจื้อสูงศักดิ์ เช่นนั้นคงมิอาจเรียกเป็นขอทานแล้วกระมัง?”

เฟิ่นไป่ชิงเห็นสบโอกาส รีบส่งเสียงกล่าวเสริมขึ้นบ้างว่า

“ถูกต้องของท่านผู้เฒ่าหวง”

เฟิ่นไป่ชิงเมื่อนางกล่าวจบ ยื่นหน้าเข้ามาทำจมูกฟุดฟิดอยู่เบื้องหน้าเฒ่าขอทาน แล้วกระทำเช่นเดียวกันกับนางมารเยือกเย็นเหยา พร้อมกับลอยหน้าลอยตากล่าวว่า

“ท่านอาวุโสหวงกลิ่นของท่านสาบเหม็นยิ่ง ส่วนของท่านอาวุโสเหยา กลิ่นของท่านหอมรุนแรงเกินไปไม่ปกติคล้ายเติมแต่งจงใจเกินไป แต่ทว่ากลิ่นสาบเหม็นเป็นเช่นปกติหาได้จงใจแต่งเติมไม่? มาตรว่าน่ารังเกียจอยู่บ้าง แต่หากได้ชำระล้างซักทำความสะอาดก็อาจสลายหายไปได้ ซึ่งมิได้มีสิ่งใดแปลก”

กล่าวจบเฟิ่นไป่ชิงลอยหน้าลอยตาไปมาอีกครั้ง แล้วกล่าววาจาสืบต่อว่า

“แต่หากเป็นกลิ่นหอมรุนแรง นั่นอาจทำอันตรายต่อเยื่ออ่อนในโพรงจมูกได้ นอกจากนั้นกลิ่นหอมรุนแรงที่ท่านใช้แต่งเติม อาจต้องการใช้เพื่อปกปิดกลิ่นเน่าเหม็นกระไรไว้ก็เป็นได้ เช่นนั้นย่อมหมายความว่า ต่อให้ท่านชำระล้างเท่าใดก็ไม่อาจสลายหายไป จึงต้องใช้กลิ่นหอมรุนแรงเพื่อกลบปกปิดกลิ่นเน่าเหม็นเอาไว้ใช่ถูกต้องหรือไม่?”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือส่งเสียงหัวร่อฮา ๆอย่างชอบอกชอบใจ แล้วส่งเสียงกล่าวว่า

“โกวเนี้ยน้อยนางนี้ กล่าววาจาได้ไม่เลวเลยจริง ๆท่านเล่า? นางมารเหยา เห็นด้วยต่อคำพูดของโกวเนี้ยน้อยนางนี้หรือไม่?”

นางมารเยือกเย็นเหยาเริ่มไม่พอใจเท่าใดนัก แต่มิกล้าแสดงออกนอกหน้าชัดเจนเกินไป ได้แต่ส่งเสียงราบเรียบว่า

“คำพูดของเด็กทารกเพิ่งหย่านมมารดา ข้าพเจ้าหาได้ใส่ใจกระไรไม่? ในเมื่อเดินทางมาถึงแล้วเข้ามาจับจองที่นั่งกันก่อนเถิด”

เหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ประสานมือคารวะนางมารเยือกเย็นเหยา หลังจากคารวะขอทานพเนจรหวงเกาฉือเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดเดินตามนางมารเยือกเย็นเหยาเข้าไปในงาน เมื่อเดินผ่านโต๊ะใด เหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ต่างประสานมือคารวะทักทาย นับว่าทั้งหมดมีบุคลิกภาพงดงามน่าชื่นชมยิ่ง

เมื่อทั้งหมดนั่งลงเรียบร้อยแล้ว นางมารเยือกเย็นเหยาเอ่ยกล่าวว่า

“เชิญทุกท่านตามสบาย น่าเสียดายงานสำคัญวันนี้ ประมุขน้อยจ่านจือมันคงมิอาจเดินทางมาร่วมงานด้วยได้ ข้าพเจ้าทราบมาว่า สำนักอสูรโลกันตร์พลันต้อนรับแขกอายุเยาว์ผู้หนึ่งเมื่อหลายวันก่อน คล้ายกับใช่ประมุขน้อยจ่านจืออยู่กระนั้น มิทราบว่าพวกเจ้า มีผู้ใดทราบหรือไม่? ประมุขน้อยจ่านจือ มันเดินทางไปสำนักอสูรโลกันตร์กระไรกัน หรือมันมีธุระสำคัญเร่งด่วนประการใด?”

ทุกคนเมื่อได้ฟังนางมารเยือกเย็นเหยา ต่างคาดเดาไม่เข้าใจ ว่านางมารเยือกเย็นเหยา นางนำข่าวที่กล่าวนั้นมาจากที่ใด? กุ้ยโส่วจึงส่งเสียงกล่าวขึ้นด้วยไม่เกรงอกเกรงใจว่า

“นางมารเหยา ท่านทราบมาได้เช่นไร? ข้าพเจ้ากับศิษย์พี่หนานตี้หลังจากแยกทางกับเขา เราทั้งสองเดินทางไปสถานที่นัดหมายที่หนึ่ง ส่วนจ่านจือเขามีธุระสำคัญประการหนึ่งต้องรีบเดินทางไปคลี่คลาย แต่ในวันนี้เป็นวันสำคัญของแม่นางเยี่ยนผิง จ่านจือเขาไม่น่าจะไม่เดินทางมา”

นางมารเยือกเย็นเหยากล่าวสวนว่า

“เจ้ามั่นใจถึงเพียงนั้น”

“ข้าพเจ้าย่อมต้องมั่นใจ” กุ้ยโส่วส่งเสียงกล่าวตอบ

กุ้ยโส่วแสดงสีหน้าชิงชังเคียดแค้นต่อนางมารเยือกเย็นเหยา ความแค้นที่สำนักเมฆฟ้าพิรุณได้รัย ซึ่งนางและคนของนางสังหารหมดสิ้น เหลือเพียงนางกับศิษย์พี่หนานตี้สองคนเท่านั้นเอง หากมิได้จ่านจือกับเยี่ยนผิงอีกทั้งอาวุโสเซียวบ้อซัวเดินทางไปช่วยเหลือ คาดว่านางและศิษย์พี่หนานตี้ยังไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้

บุญคุณความแค้นสิบปียังมิสาย ถึงเช่นไรจะต้องทวงคืนหนี้เลือดนี้กลับคืนมาให้จงได้ หากมิใช่เห็นแก่แม่นางเยี่ยนผิง นางกับศิษย์พี่หนานตี้ไม่คิดจะเหยียบเท้าก้าวเข้าสำนักมารสวรรค์แม้แต่ก้าวเดียว

“วานรเหินอั้งเซี๊ยะเปาเล่า? นางหลบหน้าไปที่ไหน? หรือไม่กล้าเสนอหน้าต่อพวกเรา จิตใจนางช่างอำมหิตนัก สักวันข้าพเจ้ากับศิษย์น้อง ต้องทวงคืนจากนางให้จงได้”

หนานตี้กล่าวขึ้นต่อนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน นางใช้สำเนียงเย้ยหยันกล่าวตอบออกมาว่า

“หากพวกเจ้ามีน้ำยาเพียงพอ สามารถถามไถ่ได้ทุกเมื่อ สำหรับเราแล้วชีวิตของพวกเจ้าหาได้สำคัญกระไรไม่ เรากลับเห็นเป็นเช่นผักปลา คล้ายดั่งเนื้อที่วางอยู่บนเขียง หากยอมสยบต่อเรายังสามารถหายใจต่อไปได้ หากต่อต้านหนทางสายเดียวที่เรามอบให้ คล้ายกับหนทางไปสู่ปรภพเท่านั้นเอง พวกเจ้าลองตรองแล้วเลือกดูเถิด”

นางมารเยือกเย็นเหยากล่าววาจา คล้ายกับว่านางมิเห็นผู้ใดอยู่ในสายตากระนั้น จากนั้นพลันกล่าวต่อว่า

“วานรเหินอั้งเซี๊ยะเปา นางมิมีเหตุผลใดให้ต้องหลบหน้าพวกเจ้า เพียงแต่นางยังมิอยากออกมาปรากฏตัว เกรงว่าจะคันไม้คันมือ ถือเอาวันมงคลของเราก่อเรื่องราวให้กลิ่นคาวโลหิต ติดเปื้อนสถานที่แห่งนี้ไป”

“กลิ่นคาวโลหิต เหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกท่านกระทำได้โดยปลอดโปร่งอยู่แล้วมิใช่ดอกรึ?”

ซื่อเหมี่ยนส่งเสียงกล่าวถาม

“ถูกต้องข้าพเจ้าเห็นด้วย เรื่องราวเหล่านั้นพวกท่านกระทำได้ง่ายดายยิ่ง คล้ายกับว่าพวกท่านไม่รู้สึกสำนึกเลยกระนั้น ในหัวสมองของพวกท่านชื่นชอบการเข่นฆ่า พวกท่านก่อกรรมทำเข็ญ สักวันหนึ่งเถิดกรรมจะต้องตามทวงพวกท่าน ให้กระบี่แก่ท่านกระบี่นั้นคืนสนอง ประโยคนี้ไม่เคยผิดพลาดมาเลย ไม่ผิดพลาดเลยแม้แต่น้อยนิด สักวันพวกท่านต้องตายอนาถไร้ดินกลบฝัง”

เป็นเอวี้ยอี้เซินส่งเสียงกล่าวสนับสนุนต่อศิษย์พี่ของนาง

นางมารเยือกเย็นเหยากล่าวสวนว่า

“รอคอยให้ถึงวันนั้นก่อนเถิด ไม่แน่นักบางทีพวกเจ้าไม่อาจรออยู่จนถึงวันนั้น”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือส่งเสียงกล่าวบ้างว่า

“นางมารเหยาท่าน สักวันกรรมต้องคืนสนองท่าน ท่านกับพวกของท่านก่อกรรมทำเข็ญ มิว่าผู้ใดใช่ต้องการฆ่าท่าน สักวันเมื่อท่านสำนึกเสียใจ คล้ายกับสายเกินไปแล้วกระมัง?”

นางมารเยือกเย็นเหยา กล่าวด้วยน้ำเสียงมิได้สะทกสะท้านว่า

“รู้สึกสำนึกเสียใจเช่นนั้นรึ? คนเช่นนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ไม่มีคำว่าสำนึกเสียใจให้เห็นเป็นเด็ดขาด พวกท่านจะกล่าววาจากระไร ล้วนแล้วแต่พวกท่านเถิด”

จากนั้นนางมารเยือกเย็นเหยาผุดลุกขึ้น แล้วส่งเสียงกล่าวกับทุกคนว่า

“เชิญพวกท่านตามสบาย ข้าพเจ้าขอตัวไปดูความเรียบร้อยสักประเดี๋ยว ขาดเหลือสิ่งใดบอกกล่าวต่อคนของข้าพเจ้าก็แล้วกัน มิต้องเกรงใจ”

จากนั้นนางมารเยือกเย็นเหยาหันหลังเดินจากไป เมื่อลับหลังนางไปแล้ว ทั้งหมดมองหน้ากัน แล้วเทียนจิ้งออกความเห็นว่า

“ข้าพเจ้าว่าท่าทางนางดูออกจะแปลก ๆพิสดารไปบ้าง งานในวันนี้คล้ายกับไม่ธรรมดา มีอยู่หลายคนหายหน้าไป ไม่แน่นักอาจมีกระไรแอบแฝงซ่อนเร้น ทุกท่านเห็นด้วยกับข้าพเจ้าหรือไม่?”

“ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับท่าน ในวันนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน พวกเราต้องระมัดระวังตัวกันให้มาก อย่าได้แยกจากกันเกาะกลุ่มกันเอาไว้เพื่อความปลอดภัย” เฟิ่นไป่ชิงส่งเสียงกล่าวสนับสนุน

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นสุราอาหารถูกยกออกมา แขกเหรื่อภายในงานต่างลงมือคีบอาหารเข้าปาก กรอกสุราลงลำคอจนเหือดแห้ง ส่วนโต๊ะของหลวงจีนแห่งเส้าหลิน เป็นอาหารเจพร้อมกับน้ำชาถูกจัดวางเอาไว้แตกต่างจากโต๊ะอื่น ๆ

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือกล่าวขึ้นว่า

“พวกเราอย่าได้ไว้วางใจในอาหารและเครื่องดื่ม ควรตรวจสอบดูให้แน่ใจก่อนรับประทานลงไป”

เฟิ่นไป่ชิงได้ยินเช่นนั้น ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ ล้วงเข็มเงินออกมาเล่มหนึ่ง จากนั้นแทงเข็มเงินลงไปในอาหารทุกจาน อีกทั้งในสุราด้วยเมื่อตรวจสอบแล้ว นางส่งเสียงกล่าวว่า

“อาหารและสุราล้วนปลอดภัยมิมีพิษ พวกเราล้วนรับประทานได้ นางยังคงมิกล้ากระทำการในงานมงคลของนางได้”

จากนั้นทุกคนต่างค่อย ๆรับประทานอาหารดื่มสุรา รอเวลาให้แขกเหรื่อที่เหลือเดินทางมาเท่านั้นเอง

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

 

           

                                                                                                                                                                                                                                       

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป