Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (เรือนดรุณีกับสตรีชรานามเซียวบ้อซัว)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

เรือนดรุณีกับสตรีชรานามเซียวบ้อซัว

  • 16/08/2565

ตอนที่ 110

เรือนดรุณีกับสตรีชรานามเซียวบ้อซัว

สตรีชรานามเซียวบ้อซัวในชุดสีขาวตลอดทั่วร่าง ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกคาดเดาอายุไม่น่าจะต่ำกว่าหนึ่งร้อยปี ใบหน้าที่เหี่ยวย่นซุกซ่อนดวงตาคมกริบ อีกทั้งซ่อนเร้นความหมองเศร้าขมขื่นบางประการแต่กระนั้นในดวงตาคู่นั้น ยังแฝงประกายเย็นเยือกลึกลับประเภทหนึ่ง อาจเป็นคิ้วเรียวสีขาวซึ่งประดับอยู่เหนือดวงตาทั้งสอง ที่ช่วยบดบังประกายสายตาเหล่านั้นเอาไว้ได้ จมูกเรียวเป็นสันรับกับริมฝีปากบางได้รูป เส้นผมตลอดทั้งศีรษะล้วนขาวโพลนประหนึ่งเส้นไหมเงินมิปาน แม้นางจะดูชราวัยมากแล้วแต่ยังพอคาดคะเนได้ว่า นางเป็นสตรีที่งดงามล่มเมืองนางหนึ่งมาก่อน

เมื่อหนุ่มสาวทั้งคู่เห็นนางยืนสงบเงียบงัน จึงเดินตรงเข้าไปหานาง จ่านจือส่งเสียงกล่าวถามต่อนางว่า

“อาวุโส ข้าพเจ้าจ่านจือ ขอเสียมารยาทถามไถ่ เรือนดรุณีงดงามกว้างขวาง ไฉนอาวุโสเช่นท่านจึงได้เก็บตัวอยู่เพียงลำพังเดียวดาย ข้าพเจ้าแม้เพียงพบหน้าท่านเพียงครั้งแรก กลับสามารถรับรู้ได้ถึงความเดียวดายของท่าน  ความรู้สึกของข้าพเจ้ารับรู้ได้ถึงพลังวิชาของท่าน ยิ่งไม่สามารถคาดเดาได้ถึงความร้ายกาจสูงส่ง ความจริงแล้วท่านน่าจะมีศิษย์เก่งกาจคอยปรนนิบัติยามแก่เฒ่า หากคำถามเหล่านี้ของข้าพเจ้าเป็นการล่วงเกินท่าน ข้าพเจ้าจ่านจือต้องขออภัยต่อท่านแล้ว”

สตรีชรานามเซียวบ้อซัว ได้ยินจ่านจือเอ่ยถาม นางขยับร่างเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าเดินเข้าไปยังโต๊ะไม้ไผ่ พร้อมกับส่งเสียงกล่าวต่อจ่านจือกับเยี่ยนผิงว่า

“เรื่องราวยืดยาวหากจะยืนเล่าให้เจ้าทั้งสองฟังคงไม่สะดวกนัก เช่นนั้นเชิญพวกเจ้านั่งลงแล้วค่อยสนทนากัน วันนี้เรือนดรุณีมีโอกาสต้อนรับแขกเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เรื่องราวหนักหนาสาหัสหรือเบาบางปานใด? หากเราสามารถบอกเล่าออกมาได้ เรายินดีจะบอกเล่าต่อพวกเจ้าได้รับรู้ ในตอนแรกเราคิดว่าชั่วชีวิตนี้จะต้องนอนตายลำพัง โดยมิได้บอกเล่าเรื่องราวของเราให้ผู้ใดได้รับรู้ เจ้าทั้งสองนับว่ามีวาสนาได้พบพาน อีกทั้งเราเองยังชื่นชมในบุคลิกภาพของพวกเจ้า รวมทั้งเรื่องราวของพวกเจ้านับว่าน่าสนใจไม่น้อย”

เมื่อกล่าวจบสตรีชรานั่งลงยังเก้าอี้ไม้ไผ่ จ่านจือ กับเยี่ยนผิงรีบก้าวเท้าเข้าไป แล้วหย่อนก้นนั่งลงตรงข้ามกับนาง

“ขอบคุณอาวุโสเซียวที่กล่าวชมเราทั้งสอง ความจริงเราทั้งคู่มิมีสิ่งใดให้อาวุโสชื่นชมยินดี หากจะมีคงเป็นเรื่องราวในยุทธภพ ที่อาจจะทำให้ท่านเกิดความรำคาญนั้นเป็นได้” เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวขึ้นหลังจากนั่งลงเรียบร้อยแล้ว

“เรื่องราวในยุทธภพเช่นนั้นรึ? นานจนกระทั่งเราเองแทบลืมเลือนไปด้วยซ้ำ ว่ายุทธภพคือสถานที่ใดกันแน่? หากได้เจ้าทั้งสองช่วยบอกเล่าออกมา บางทีอาจทำให้เรายายเฒ่าชรานึกสิ่งใดขึ้นมาได้บ้าง” สตรีนามเซียวบ้อซัวส่งเสียงกล่าว

“อาวุโสท่านกล่าวคล้ายกับมีเรื่องราวฝังใจไม่ดีเกี่ยวกับยุทธภพ หรือว่าเป็นเพราะเรื่องราวเหล่านั้นที่ทำให้ท่านเก็บตัวสันโดษลำพังยังสถานที่แห่งนี้” จ่านจือส่งเสียงกล่าวถาม

“ถูกต้อง เจ้ากล่าวมิผิดแต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งกลับเป็นเรื่องราวที่เราจดจำมิลืมเลือน ไม่ต้องให้พวกเจ้าคาดเดาคงทราบว่าเป็นเรื่องดีที่เราประทับใจ ต่อให้มอดม้วยร่างสลาย วิญญาณของเราคงมิอาจเลอะเลือนลืมได้” เซียวบ้อซัวกล่าวตอบ จากนั้นนางเอ่ยต่อจ่านจือ กับเยี่ยนผิงว่า

“พวกเจ้าทั้งสองไม่ต้องบอกกล่าว เรานั้นคาดเดาได้ว่าเจ้าทั้งสองเป็นคู่รักกัน ดูจากพฤติกรรมล้วนคล้ายคลึงกับเราตอนแรกรุ่นยิ่ง ความรักเป็นสิ่งที่ทำให้คนเรามีความสุข ดุจได้ท่องเที่ยวแดนสรวงสวรรค์ แต่ความรักนั้นอาจทำให้เราทุกข์ทรมานข่มขืนแสนสาหัส ดั่งตกนรกหมกไหม้ได้เช่นกัน ดังนั้นหากเจ้าทั้งสองได้ฟังเรื่องราวของเราแล้ว ขอให้พวกเจ้าทั้งสองอย่าได้เป็นเฉกเช่นเราเลย”

“ขอบคุณอาวุโสเซียว ข้าพเจ้าเยี่ยนผิงจะถือเอาคำพูดของท่านเป็นคำอวยพรแก่เราทั้งสอง อนาคตภายภาคหน้าไม่ทราบว่าจะเกิดเรื่องราวใดกับเราบ้าง แต่เมื่อตอนนี้เราทั้งคู่ได้อยู่ร่วมกัน จึงขอใช้เวลาที่ที่มีอยู่กระทำทุกเรื่องราวให้ดีที่สุด” เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวต่อเซียวบ้อซัว

“ก่อนที่จะสนทนาเรื่องราว เราขอถามเจ้าทั้งสองก่อนว่า พวกเจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร? บิดามารดาของพวกเจ้าเป็นใครกัน? สถานที่พวกเจ้าพักอาศัยอยู่ที่ใด?” เซียวบ้อซัว กล่าวถามจ่านจือ กับเยี่ยนผิง

“ข้าพเจ้าเยี่ยนผิง เมื่อจำความได้มีเพียงมารดากับท่านน้า ส่วนบิดานั้นจนบัดนี้ยังไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด? มารดาของข้าพเจ้าแซ่เหยานามเยี๊ยะเหยียน ส่วนสถานที่พักพิงนั้นชาวยุทธ์เรียกหาว่าสำนักมารสวรรค์ ไม่ทราบว่าอาวุโสเซียว พอจะรู้จักมารดาของข้าพเจ้าบ้างหรือไม่?” เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวตอบ พร้อมกับกล่าวถาม

“มารดาเจ้าแซ่เหยานามเยี๊ยะเหยียน ชื่อนี้คุ้น ๆ หูเราอยู่บ้าง แต่ไม่แน่ใจนักว่าจะเคยรู้จักหรือไม่? ขอให้เราได้ฟังเรื่องราวของพวกเจ้าให้มากกว่านี้ บางที่เราอาจจะพอนึกออกมาได้บ้างอาจเป็นไปได้ ส่วนบิดาของเจ้าไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด? แต่ยังนับว่ายังโชคดีที่มีมารดาและท่านน้าอยู่ด้วย ต่างจากเรานอกจากไม่ทราบว่าบิดาเป็นผู้ใดแล้ว มารดานางยังจากไปไม่หวนกลับคืนมา แม้แต่เถ้ากระดูกของนางเราเองยังไม่อาจได้ทำหน้าที่ฝังกลบให้กับท่าน แล้วเจ้าละบิดามารดาของเจ้าเป็นใคร?” เซียวบ้อซัวกล่าวถามจ่านจือ หลังจากกล่าวต่อเยี่ยนผิงแล้ว

จ่านจือเองเขาไม่ทราบว่าแท้จริงแล้ว เขามีชาติกำเนิดเช่นไร? บิดามารดาที่แท้จริงเป็นผู้ใด? เขาเองป่านนี้ยังไม่อาจสืบทราบเบาะแส ดังนั้นแสดงสีหน้าโศกเศร้าแล้วกล่าวตอบออกไปว่า

“เรียนอาวุโส ข้าพเจ้าไร้วาสนา หรืออาจเป็นเพราะมีกรรมหนักหนาสาหัส ตั้งแต่จดจำความได้ข้าพเจ้าอยู่ตัวคนเดียว ในวัยเด็กต้องตกระเหเร่ร่อนเพียงลำพัง แต่นับว่ายังโชคดีที่ได้มารดาบุญธรรมนำมาเลี้ยงดู สุดท้ายท่านเองทิ้งข้าพเจ้าลาจากโลกนี้ไป คนที่ทำร้ายมารดาคือคนชั่วสามคน หนึ่งในนั้นคือคนที่ท่านลงมือต่อมันช่วยเหลือข้าพเจ้า ส่วนบิดามารดาอันแท้จริง ป่านนี้ข้าพเจ้ายังไร้ปัญญาสืบสาว จึงยังไม่ทราบว่าท่านทั้งสองเป็นผู้ใด?”

เซียวบ้อซัวทอดถอนใจคำหนึ่ง แล้วส่งเสียงกล่าวว่า

“ชีวิตของพวกเจ้าทั้งสอง ช่างคล้ายกับชีวิตของเราอยู่หลายส่วน แต่ยังนับว่าเรายังโชคดีกว่าที่ในวัยเด็ก แม้บิดามารดาจะทอดทิ้งเราไป แต่เรายังมีท่านอาจารย์ช่วยดูแลและอบรมสั่งสอน แล้วไม่ทราบว่าเจ้าหนุ่ม เจ้ามีวิชากำลังภายในแข็งแกร่ง ผู้ที่เป็นอาจารย์ของเจ้ามีชื่อเรียกหาว่ากระไร?”

“อาจารย์ผู้มีพระคุณของข้าพเจ้า ท่านมีฉายาว่าเจ้าโอสถสายรุ้งนามเส้าเยี๊ยะเทียน นอกจากนั้นข้าพเจ้ามีวาสนา ได้อาวุโสหลายท่านช่วยชี้แนะพลังฝีมือให้ แต่ในยุทธภพมียอดฝีมือมากมาย ข้าพเจ้าไม่กล้าอวดอ้างฝีมือ สาเหตุที่ออกเดินทางเพื่อติดตามหาร่องรอยของคนร้าย ที่เคลื่อนไหวเข่นฆ่าผู้คนอยู่ในขณะนี้”

จ่านจือกล่าวตอบ เซียวบ้อซัวพยักหน้ารับทราบ แล้วกล่าวชมจ่านจือ กับเยี่ยนผิงว่า

“ประเสริฐนัก พวกเจ้ายังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่รู้จักทำคุณประโยชน์ให้กับส่วนรวม นับว่าน่าชื่นชมยินดีนัก เราเองแก่ชรามากแล้ว อีกทั้งไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องราวยุทธภพเนิ่นนานเช่นกัน ดังนั้นอาจจะไม่รู้จักอาจารย์ของเจ้า ที่เราออกจากเรือนดรุณี ด้วยเห็นดวงดาวแปลกประหลาดดวงหนึ่ง มันส่องแสงจรัสเจิดจ้าจู่ ๆ พลันร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า เราจึงได้ติดตามไปยังทิศทางนั้น จนได้พบกับพวกเจ้าทั้งสอง”

“ดวงดาวประหลาดเช่นนั้นรึ? ข้าพเจ้าเคยได้ยินอาวุโสในยุทธภพเล่าให้ฟังว่า หากปรากฏดวงดาวประหลาดร่วงหล่นจากฟากฟ้ายามใด? บัดนั้นยุทธภพจะต้องเกิดเรื่องราวสาหัส อาจจะมีบุคคลสำคัญในยุทธภพ ต้องพบกับคราวเคราะห์บางประการ?  หรือว่าดวงดาวที่อาวุโสพบเห็น จะเป็นดวงดาวประหลาดที่ว่านั้น”

เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวแสดงความคิดเห็น และบอกเล่าเรื่องราวที่เคยได้ยินมา เกี่ยวกับดวงดาวประหลาด

“เราเองเคยทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเช่นเดียวกัน ว่ากันว่าผู้ที่จะพบกับคราวเคราะห์ในครั้งนี้จะต้องเป็นบุคคลสำคัญใหญ่หลวงต่อยุทธภพ น่าเสียดายที่เราไม่ข้องแวะกับยุทธภพ จึงไม่อาจคาดเดาว่าผู้ใด? จะพบพานเภทภัยในครานี้”

“ในเมื่ออาวุโสไม่ยุ่งเกี่ยวกับบู๊ลิ้ม เช่นนั้นอย่าได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้จะดีหรือไม่? เราทั้งสองได้พบพานกับอาวุโส นับเป็นวาสนายิ่งใหญ่ อีกทั้งยังได้มีโอกาสเหยียบย่างยังเรือนดรุณีของท่าน ดังนั้นข้าพเจ้าใคร่สดับรับฟังเรื่องราวของท่านมากกว่า ไม่ทราบว่าอาวุโส จะบอกเล่าความเป็นมาของท่าน ให้เราทั้งสองรับทราบได้หรือไม่?”

จ่านจือส่งเสียงกล่าวต่อเซียวบ้อซัว สตรีชราแม้ซุกซ่อนความรันทดหดหู่ไว้ในดวงตา แต่ทว่าวูบหนึ่ง ยังปรากฏประกายสายตายินดีปรีดาเกิดขึ้น นางขยับร่างกายแล้วเริ่มบอกเล่าเรื่องราวของนางต่อจ่านจือกับเยี่ยนผิงว่า

“ย้อนอดีตกลับไปเมื่อครั้งเรามีอายุราวสิบขวบปี ในตอนนั้นมารดาได้นำตัวไปฝากฝังไว้กับนักพรตหญิงท่านหนึ่งเลี้ยงดู ส่วนมารดาได้แต่เพียงบอกกล่าวต่อเราว่า ท่านจะกลับมารับเราภายหลัง สั่งให้เราตั้งใจศึกษาเล่าเรียน หมั่นฝึกฝนซ้อมวิทยายุทธ์ อย่าได้สร้างความผิดหวังให้แก่อาจารย์ ตั้งแต่บัดนั้นเราอาศัยอยู่กับนักพรตหญิงท่านนั้น และท่านเป็นอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาให้กับเรา ต่อมาเมื่อเราเจริญวัยเป็นดรุณีแรกรุ่น อาจารย์คิดเดินทางจากภาคเหนือมาจงหยวน เพื่อเสาะหาสถานที่ก่อตั้งสำนัก ในช่วงเวลานั้นจงหยวนชุมนุมไปด้วยยอดฝีมือมากมาย แบ่งออกเป็นหลายฝ่ายทั้งมารและธัมมะ เพียงไม่กี่ก้าวที่เหยียบย่างเท้าเข้าสู่จงหยวน เราถูกคนชั่วช้าสามานย์คร่ากุมจับตัวไป”

เซียวบ้อซัวเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนี้ นางรินน้ำชาลงสู่ถ้วยกระเบื้องสีขาวตรงหน้า ควันร้อนกรุ่นลอยปะทะจมูกได้กลิ่นชาหอมหวนยิ่งนัก นางเมื่อวางกาน้ำชาลงที่แล้ว กลับไม่ยกถ้วยชาขึ้นดื่มกินดั่งเช่นคนปกติทั่วไป แต่นางกลับใช้มือขวาพัดโบกเบา ๆ เหนือปากถ้วยชาเพียงคราเดียว น้ำชาที่ควันร้อนกรุ่นไหลย้อนเป็นเส้นสาย ขึ้นสู่ด้านบนตำแหน่งริมฝีปากของนางพอดิบพอดี นางเพียงขยับริมฝีปากเล็กน้อย กลืนกินน้ำชาเหล่านั้นลงสู่กระเพาะจนหมดสิ้น ภาพที่เห็นสร้างความตื่นเต้นตะลึงลานแก่จ่านจือ กับเยี่ยนผิงยิ่งนัก นับว่าการมาในครั้งนี้ นอกจากได้สนทนากับเจ้าของเรือนดรุณีแล้ว ทั้งสองยังได้เปิดหูเปิดตาอีกด้วย

จากนั้นนางจึงเริ่มบอกเล่าเรื่องราวต่อทันทีว่า หลังจากนางถูกจับตัวไป ตอนนั้นนางเองความจริงแล้ว ได้ออกบวชเป็นนักพรตตามผู้เป็นอาจารย์เรียบร้อยแล้ว ผู้ที่จับตัวนางไปเป็นเจ้าสำนักพิษฝ่ายมารอันดับหนึ่งนามว่า สำนักอสรพิษดำ

เซียวบ้อซัวเล่าว่าในตอนนั้น แม้นางจะอยู่ในฐานะนักพรตหญิง แต่นางเองยังมิได้ปลงผมออกบวชโดยเคร่งครัดเฉกเช่นแม่ชีผู้ทรงศีล ด้วยเป็นดรุณีแรกรุ่นมิหนำซ้ำหน้าตาผิวพรรณของนาง ยิ่งงดงามหาผู้ใดเปรียบเทียบติด จึงเป็นที่หมายตาต้องใจของเหล่าบุรุษทั่วหล้า ที่ได้พบเห็นนาง ไม่เว้นแม้แต่เจ้าสำนักอสรพิษดำชั่วโฉด มันมีนามเรียกหาว่า เล่อผาง

หลังจากถูกจับตัว มันผู้นั้นนำนางคุมขังยังสำนักอสรพิษดำ ในตอนนั้นนางคิดสิ่งใดไม่ออก ด้วยต้องการเอาตัวรอด นางจึงได้ปลงผมตนเอง เพื่อป้องกันมิให้เจ้าสำนักอสรพิษดำกระทำย่ำยีนาง เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น ยิ่งสร้างความโมโหโกรธาแก่เจ้าสำนักมารชั่วเล่อผางยิ่งนัก แม้แต่นักพรตมันยังไม่คิดละเว้น หมายใช้กำลังเข้าปลุกปล้ำย่ำยีนาง

ในตอนนั้น วรยุทธ์ของนางไม่อาจเทียบได้กับเจ้าสำนักอสรพิษดำ ดังนั้นจึงออกอุบายว่าหากใช้กำลัง นางจะกัดลิ้นสิ้นชีพตนเองเสีย  แต่หากมันยินยอมปฏิบัติต่อนางอย่างสุภาพ ไม่กระทำการบัดสีให้นางอับอายขายหน้า ภายในหนึ่งปี หากมารดาไม่มาปรากฏกาย นางจะยอมเชื่อฟังและยินยอมตามใจมันแต่โดยดี

ด้วยความงดงามเฉิดฉันของนาง ทำให้เจ้าสำนักอสรพิษดำ ยินยอมรักษาผืนป่า เพื่อเก็บเกี่ยวไม้งามในภายหน้า หากพลาดท่ายังได้ฟืนถ่านไว้ใช้สอย แต่กระนั้นมันได้จัดยอดฝีมือ คอยสอดส่องควบคุมนางตลอดเวลา เซียวบ้อซัวนับว่าเป็นคนเฉลียวฉลาด ใช้เวลาที่ถูกคร่ากุมตัวกักขังอยู่ในสำนักอสรพิษดำ แอบศึกษาวิชาพิษ ของสำนักอสรพิษดำ บางครั้งแสร้งใช้มารยาจริตลวงถาม โดยที่เจ้าสำนักอสรพิษดำมิได้สะกิดสงสัยแต่ประการใด

จวบจนเวลาล่วงผ่านไปหนึ่งปี มารดายังไม่ปรากฏตัว อีกทั้งอาจารย์หญิงของนางได้บุกเข้ามาช่วยเหลือหลายครั้งครา แต่ถูกเจ้าสำนักอสรพิษดำ และเหล่ามารอีกหลายคนช่วยกันทำร้ายอาจารย์ของนาง จึงไม่สามารถที่จะช่วยเหลือนางออกจากสำนักอสรพิษดำได้ หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ วิชาพิษที่สำนักอสรพิษดำหวงแหน ล้วนถูกเซียวบ้อซัวศึกษาจนหมดไส้หมดพุง เมื่อครบกำหนดตามที่นางได้ตกลงไว้ เจ้าสำนักอสรพิษดำ จึงทวงถามเรื่องราวที่นางรับปากเอาไว้ต่อนาง

เมื่อเป็นเช่นนั้น นางจึงได้ออกอุบายว่า เพื่อมิให้เป็นการผิดศีลจรรยาและข้อปฏิบัติ นางจะต้องทำการสึกจากพรตเสียก่อน แต่ผู้ที่จะทำการสึกให้นางนั้น จะต้องเป็นเจ้าสำนักแห่งวัดเส้าหลินเท่านั้น หากไม่เช่นนั้นแล้ว นางจะมิยอมสึกโดยเด็ดขาด และหากนางไม่สึกจากพรต นางมิยอมให้ผู้ใดสัมผัสแตะต้องเนื้อตัวแม้แต่ปลายก้อย

สำนักอสรพิษดำ กับวัดเส้าหลินอยู่คนละฟากฝั่งกัน สำนักอสรพิษดำอยู่ฝ่ายมารอธรรม กระทำเรื่องราวต่ำช้าสารพัด ส่วนวัดเส้าหลินเป็นฝ่ายธัมมะ ยึดถือความเมตตา เรื่องที่จะให้เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินสึกให้นั้นคงมิต้องคิด  แต่เซียวบ้อซัวได้กล่าวว่า นางมีวิธีที่จะทำให้เจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน ทำการสึกให้ต่อนางได้

เจ้าสำนักอสรพิษดำ ล่วงรู้ว่าอาจเป็นอุบายของเซียวบ้อซัว จึงให้นางรับประทานยาพิษใจสลายเสียก่อน หากว่าภายในครึ่งเดือนต่อจากนี้ หากนางไม่อาจทำให้เจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน ทำการสึกให้กับนางได้ หากนางไม่รีบมารับยาแก้พิษใจสลาย ถึงตอนนั้นนางจะต้องตายอนาถแสนทรมาน

เมื่อนางเดินทางขึ้นสู่วัดเส้าหลิน แท้จริงวัดเส้าหลินไม่ต้อนรับอิสตรี ไม่ยกเว้นแม้แต่นักบวชให้พักอาศัยอยู่ภายในวัด ในขณะนั้นอาจารย์หญิงของนางนามไท่จื้อเซียนโกว บังเอิญเดินทางขึ้นเส้าหลิน ด้วยธุระบางประการ? กับหลวงจีนหนุ่มรูปหนึ่ง เมื่อได้พบเจอศิษย์ของตนโดยบังเอิญ นางจึงยินดีปรีดาได้ออกปากขอร้อง ให้เจ้าอาวาสเส้าหลินช่วยสึกให้กับศิษย์ตน

ในตอนแรก เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินมิยินยอมสึกให้ตามคำขอ แต่พอทราบว่านางรับประทานยาพิษใจสลาย ของสำนักอสรพิษดำลงไป หากครบครึ่งเดือนมิได้ยาถอนพิษ นางต้องจบชีวิตลง

ในขณะเดียวกัน เชิงเขาด้านล่าง เหล่ามารอธรรมได้รวมตัวปิดล้อมวัดเส้าหลินเอาไว้ เพื่อป้องกันมิให้นางหลบหนี อีกทั้งคิดจะบุกขึ้นไปชิงตัว หากนางไม่ยอมทำตามคำมั่นที่ลั่นไว้ เมื่อจวนครบกำหนดครึ่งเดือน เจ้าอาวาสยังมิยอมทำการสึกให้กับนาง แท้จริงไท่จื้อเซียนโกว ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ของนาง สามารถทำการสึกให้กับนาง แต่ในตอนนั้นเซียวบ้อซัว คิดใช้เส้าหลินช่วยเหลือนางนั่นเอง

เมื่อเป็นเช่นนั้น หลวงจีนหนุ่มรูปหนึ่ง อดทนเห็นนางต้องตายมิได้ จึงได้คุกเข่าอ้อนวอนต่อเจ้าอาวาส ให้ช่วยเหลือนาง ครั้งแรกที่นางได้พบพานกับหลวงจีนหนุ่มรูปนี้ ล้วนรู้สึกว่าต้องชะตา อีกทั้งยังซาบซึ้งในน้ำใจ ที่หลวงจีนหนุ่มรูปนี้ตั้งใจคิดช่วยเหลือนาง

พอครบกำหนดครึ่งเดือน เหล่ามารอธรรมเคลื่อนกำลังบุกขึ้นเส้าหลิน หลวงจีนหนุ่มรูปนั้นจึงตัดสินใจ ขอให้เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินทำการสึกให้กับตนเอง แล้วเขาจะพานางหลบหนีเหล่ามารอธรรมจากเส้าหลินเอง เจ้าอาวาสแท้จริงมิใช่ไม่คิดช่วยเหลือนาง แต่ท่านคิดว่าแม้ช่วยเหลือ ทำการสึกให้กับนางแล้ว เซียวบ้อซัวนางเองคงไม่คิดหวนกลับสำนักอสรพิษดำอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นวัดเส้าหลินคงต้องหนีไม่พ้น ต้องถูกเหล่ามารอธรรมบุกทำลาย

อีกเหตุผลหนึ่งที่ท่านยังไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เป็นเพราะทราบว่าในร่างของนางมีพิษใจสลายแทรกซึม สาเหตุที่เหล่ามารอธรรมปิดล้อมเส้าหลิน ความจริงเป็นแผนสองชั้นของเจ้าสำนักอสรพิษดำ นอกจากใช้พิษต่อเซียวบ้อซัวแล้ว ยังคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่า เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินจะต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ใช้กำลังภายในรีดพิษออกจากร่างของนางอย่างแน่นอน

ดังนั้นจึงปิดล้อม เพื่อรอให้เจ้าอาวาสใช้กำลังภายในรักษาพิษเสียก่อน เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าอาวาสย่อมสิ้นเปลืองพละกำลัง อีกทั้งพลังวัตรถดถอย หากใช้จังหวะนั้นบุกเส้าหลิน คงสามารถทำลายเส้าหลินได้ไม่ลำบากยากเย็นนัก

เมื่อไม่มีหนทางอื่น เจ้าอาวาสทนเห็นชีวิตคนต้องตกตายมิได้ จึงยินยอมทำการสึกให้แก่นาง พร้อมกับหลวงจีนหนุ่มรูปนั้น และไม่มีทางหลีกเลี่ยง เจ้าอาวาสใช้พลังวัตรขับพิษใจสลายให้แก่นาง ความจริงเซียวบ้อซัวทราบตัวยาถอนพิษใจสลาย แต่ด้วยระยะเวลาอันสั้น จึงไม่สามารถเสาะหาตัวยาได้ครบ จึงไม่สามารถถอนพิษให้กับตนเองได้นั่นเอง

เมื่อต้องสูญเสียพลังวัตรมหาศาล  การที่จะต้องรับมือกับเหล่ามารอธรรม คงต้องเหน็ดเหนื่อยและยากจะรับมือได้ไหว ดังนั้นเจ้าอาวาสได้เรียกศิษย์นามเกี้ยบฉิก ให้ระดมพระเณรทั้งหมด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือเหล่ามาร และให้หลวงจีนหนุ่มรูปซึ่งเพิ่งสึกออกมา พาเซียวบ้อซัวหลบหนีลงเขาอย่าได้ชักช้า

เหตุการณ์ในครั้งนั้น หากบอกเล่าโดยละเอียดเกรงว่าต้องใช้เวลานาน ดังนั้นเซียวบ้อซัว จึงกล่าวกับจ่านจือ และเยี่ยนผิงว่า

“เหตุการณ์ในครั้งนั้น หากมีโอกาสเราค่อยบอกเล่าให้พวกเจ้าฟังโดยละเอียดในภายหลัง รับรู้แต่เพียงว่า ในครั้งนั้นเส้าหลินมิได้ถูกทำลาย อีกทั้งยังสามารถขับไล่เหล่ามารอธรรมลงเขาไปได้ จากวันนั้นเราได้รู้จักกับเขาผู้นั้น ผู้ซึ่งเป็นบุรุษหนึ่งเดียวในใจ ที่เรามอบความไว้วางใจให้จนหมดสิ้น ผู้ใดจะคาดคิดว่าผ่านไปไม่นานเท่าใด? บุรุษผู้นั้นกลับกลายเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของบู๊ลิ้ม”

เซียวบ้อซัวทอดถอนใจคำหนึ่ง แล้วกล่าววาจาต่อว่า

“แท้จริงเขากับเราต่างมอบความรักให้แก่กันจนหมดใจ ก่อนที่เขาจะสำเร็จวิชาเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งนั้น เราได้สัญญากันไว้ว่า จะแต่งงานใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจนมอดม้วย เขาก่อตั้งสำนักบนยอดเขาสูงเสียดฟ้า อีกทั้งยังรับศิษย์พร้อมกันถึงห้าคน”

เซียวบ้อซัวหยุดวาจาลง จ่านจือ กับเยี่ยนผิงต่างหันสบตากัน ทั้งสองย่อมทราบแล้วว่า บุรุษที่นางเฝ้าคอยนั้นเป็นผู้ใด? เมื่อเห็นนางเงียบเสียงลง จ่านจือจึงเอ่ยกล่าวถามว่า

“แล้วเรื่องราวต่อมาละอาวุโส เป็นเช่นไร?”

“เราและเขา ต่างมีภาระหน้าที่ต้องกระทำ ถูกต้อง ย่อมเป็นเรื่องราวของยุทธภพ แต่เราทั้งสองยังได้มีโอกาสท่องเที่ยวด้วยกันบ่อยครั้ง ช่วงหลังในยุทธจักรวุ่นวายไม่สงบ เราจึงคิดว่าจะเสาะหาสถานที่สักแห่งเพื่อเก็บตัวหลบหนีจากความวุ่นวายเหล่านั้น ในที่สุดได้สถานที่ซึ่งพวกเจ้าทั้งสองนั่งอยู่ในขณะนี้ เรารอคอยเขาอยู่ว่าง ๆ จึงบัญญัติวิชาขึ้นมาใหม่สี่ชุด อันได้แก่ฝ่ามือดรุณี ต่อมาเราเรียกว่าฝ่ามือดรุณีหวนไห้ หมัดดรุณีเด็ดบุปผา เพลงเตะดรุณีสยบมาร และกระบี่ดรุณีสยบแปดทิศ เวลาผ่านไป เราและเขาต่างก้าวเข้าสู่วัยกลางคน ในตอนนั้นเรากับเขา ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนวิทยายุทธ์กันหลายครั้ง เรียกได้ว่าหากเขามีฝีมือเป็นอันดับหนึ่ง เราเองย่อมเป็นอันดับสองรองจากเขาเช่นกัน หรือไม่เรานับว่าอยู่ในระดับเดียวกัน นับว่าไม่ผิดนัก สุดท้ายชะตาเราทั้งสองเล่นตลก”

เซียวบ้อซัวหยุดเสียงลงอีกครั้ง จ่านจือ และเยี่ยนผิงทั้งสองมิกล้าจะเอ่ยถามต่อ ได้แต่รอให้นางนึกทบทวนเหตุการณ์ แล้วค่อยบอกเล่าออกมาเอง มาตรว่านางจะบอกเล่าไม่ละเอียดนัก แต่ทั้งสองสามารถรับทราบได้ ถึงความรักที่นางมีต่อบุรุษ ที่นางกล่าวถึงอย่างท่วมท้นหมดใจ

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า