Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (สตรีชราผมเงิน)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

สตรีชราผมเงิน

  • 16/08/2565

ตอนที่ 109

สตรีชราผมเงิน

จ่านจือเห็นเช่นนั้น เอี้ยวตัวเพียงเล็กน้อย รอดพ้นปลายกระบี่ที่ทิ่มแทงเข้ามา จากนั้นหมัดซ้ายกระทุ้งเข้าท้องน้อยด้วยพลังเพียงส่วนเดียว ในขณะเดียวกันคนที่อยู่ด้านหลัง เงื้อกระบี่ฟันฉับลงบนศีรษะของจ่านจือ

“สุนัขลอบกัด ทำร้ายคนด้านหลังช่างหน้าไม่อาย” จ่านจือส่งเสียงกล่าว แล้วหมุนกายเข้าหาคนผู้นั้น กระบี่ที่ฟันลงมาห่างจากศีรษะไม่ถึงสามนิ้ว คนผู้นั้นแสยะยิ้มอย่างลำพอง คิดว่าเช่นไรจ่านจือไม่มีทางหลบหนีกระบี่นี้พ้น แต่แล้วมันพลันต้องเบิกตาอ้าปากค้าง พริบตานั้นไม่ทราบว่าจ่านจือ ใช้วิชาท่าร่างใด?หายวับไปต่อหน้าต่อตามัน

ขณะที่มันแสดงท่าทางพิกลอยู่นั้น จ่านจือได้มายืนอยู่ด้านหลังของมันแล้ว พลางส่งเสียงกล่าวดังว่า

“สงสัยใช่หรือไม่? ว่าข้าพเจ้าหายตัวไปที่ใด? ข้าพเจ้าอยู่ตรงนี้”

“ตัวบัดซบ ท่านเป็นคนหรือผีกันแน่? ดูสิว่าจะรอดพ้นกระบี่ของข้าพเจ้าไปได้หรือไม่?”

คนผู้นั้นส่งเสียงกล่าว พร้อมกับหมุนตัว วกกระบี่เป็นวงคล้ายบุปผาเข้าใส่ยังทิศทางของเสียงด้วยความรวดเร็ว ในขณะที่อีกสองคนจู่โจมเข้ามาถึงก่อน แล้วกระบี่สองเล่มพร้อมใจกันประเคนใส่ร่างจ่านจือ

จ่านจือส่งเสียงหัวร่อฮึฮึในลำคอ จากนั้นผลักสองฝ่ามือออก ก่อเกิดเป็นคลื่นลมหอบหนึ่ง จากนั้นรั้งฝ่ามือเข้าหาตัว คลื่นลมที่ปรากฏพลันคล้ายแม่เหล็กดึงดูดร่างคนที่อยู่ไกลที่สุดเข้ามาหา ในช่วงจังหวะนั้นกระบี่ในมือของคนที่อยู่ใกล้จ่านจือ ชี้ตรงไปยังคนที่จ่านจือดึงดูดเข้ามาหาพอดิบพอดี

“สวบ!” เสียงปลายกระบี่แหลมคมจมหายเข้าไปยังร่างของคนผู้นั้น มันเบิกตาค้างโพลง อ้าปากพ่นโลหิตกระเซ็นซ่านเป็นม่านหมอก สายตาบ่งบอกถึงความเจ็บปวดสุดทรมาน แล้วปากของมันส่งเสียงกล่าวพึมพำว่า

“ท่าน...ท่านแทงข้าพเจ้า? เรา...อยู่ฝ่ายเดียวกันทำไมต้องแทงข้าพเจ้า?”

คนที่ถือกระบี่แทงเข้าใส่ ยังคงยืนตกตะลึงพรึงเพริดทำกระไรไม่ถูก มันเองไม่รู้ตัวว่าแทงกระบี่เข้าใส่พวกเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่? แต่ก่อนที่มันจะรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น คนที่ถูกกระบี่แทงเข้าใส่ส่งเสียงดังว่า

“ท่าน...ท่านอย่าอยู่เลย ตกตายพร้อมกับข้าพเจ้าเถอะ”

“สวบ!” เสียงคมกระบี่ทะลุผ่านผิวหนังจากด้านหน้า โผล่ออกมายังด้านหลัง พร้อมกับหยาดหยดโลหิตสีแดงสด ค่อยหยดไหลผ่านคมกระบี่ออกมา

“ท่าน...ท่านทำกระไร?”

คนที่ถูกแทงปากสั่นระริกตาค้าง แต่ยังมีเสียงเล็ดลอดผ่านริมฝีปากออกมา จากนั้นร่างของมันสองคนค่อย ๆ ทรุดฮวบลงกับพื้น โลหิตสีแดงไหลเนืองนองรวมกันบนพื้น จนยากจำแนกว่าเป็นโลหิตของผู้ใด? ร่างของมันทั้งสองสั่นกระตุกสองสามครา ก่อนที่จะล้มครืนหันด้านข้างลงสู่พื้น ดวงวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างในบัดดล

ยังเหลืออีกผู้หนึ่ง เมื่อเห็นเพื่อนสองคนเสียชีวิตต่อหน้าต่อตา ความกล้าทั้งหมดที่มีพลันหดหายมลายสิ้น มือไม้พาลอ่อนล้าสิ้นเรี่ยวแรง แทบจับด้ามกระบี่ไม่อยู่ จ่านจือก้าวย่างเข้าไปหามันห่างราวสามก้าว แล้วส่งเสียงกล่าวกับมันว่า

“ตอนนี้ท่านคงทราบแล้วสินะ? ว่าคนที่กำลังใกล้ตายมีความรู้สึกเช่นไร? เพื่อนของท่านสองคนล้วนตายไปแล้ว หากท่านไม่ต้องการให้ข้าพเจ้าลงมือ ท่านจงรีบเชือดคอตัวเองเสีย”

“นายท่าน โปรดไว้ชีวิตข้าพเจ้าเถิด ต่อจากนี้ข้าพเจ้าจะไม่ทำชั่วอีกแล้ว คิดเสียว่าไว้ชีวิตสุกรลูกสุนัขก็ได้ หรือจะให้ข้าพเจ้าเป็นทาสรับใช้จะไม่ปริปากบ่น ขอเพียงแต่อย่าเอาชีวิตของข้าพเจ้าเป็นพอ”

“ท่านรู้จักรักตัวกลัวตายด้วยเช่นนั้นรึ? ไฉนตอนที่ลงมือกับผู้อื่น ท่านจึงไม่คิดว่าผู้อื่นล้วนมีความรู้สึกเช่นเดียวกับท่าน พวกท่านฆ่ามารดาของข้าพเจ้า หนี้แค้นนี้หากไม่ชำระ ข้าพเจ้าคงไม่อาจตายตาหลับ ท่านจงเลือกเอาเถิดว่า จะลงมือปลิดชีวิตตัวเอง หรือจะให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ลงมือ”

จ่านจือไม่สนใจคำขอร้องอ้อนวอนของมัน หนี้แค้นที่มารดาถูกฆ่าตายโดยปราศจากความผิด หากไม่สะสางวิญญาณมารดาคงไม่สงบสุข ดังนั้นจึงส่งเสียงกล่าวถามว่า มันจะฆ่าตัวตายเองหรือจะให้เขาลงมือ

คนผู้นั้นมองซ้ายแลขวา เพื่อหาหนทางหลบหนี พลันเหลือบแลเห็นเด็กหญิงชาวบ้านผู้หนึ่ง มันไม่มัวรีรอชักช้า มันพุ่งร่างเข้าหาเด็กหญิงน้อยผู้นั้นทันที มันคิดจะจับตัวเด็กไว้เพื่อเป็นตัวประกัน

“สวบ!” เสียงอาวุธลับชนิดหนึ่งพุ่งฝ่าอากาศมาด้วยความรวดเร็ว อาวุธชิ้นนั้นพุ่งทะลุร่างของคนผู้นั้น ก่อนที่มันจะได้กระทำตามที่มันคิดการไว้ อาวุธลับนั้นร้ายกาจสุดบรรยาย พอทะลุร่าง คนผู้นั้นพลิกร่างกระเด็นไปราวสามสี่วา ก่อนที่ร่างจะแน่นิ่งเสียชีวิตไป

จ่านจือ กับเยี่ยนผิงหันสบตากัน ผู้ใดกันที่ซัดอาวุธลับทำร้ายคนผู้นั้น ดูจากความแรงที่พุ่งมา วรยุทธ์นับว่าไม่ธรรมดา ทั้งสองมองหาเจ้าของอาวุธกลับไม่พบเจอ ดังนั้นจ่านจือจึงส่งเสียงถามไถ่ว่า

“ข้าพเจ้าจ่านจือขอบคุณผู้อาวุโส มิทราบว่าอาวุโส สามารถแจ้งชื่อเสียงเรียงนามแก่ข้าพเจ้าได้หรือไม่?”

“ชื่อนั้นสำคัญมากมายถึงเพียงนั้นหรือ? หากต้องการทราบว่าเราเป็นใคร? เขาลูกถัดไปมีสถานที่หนึ่งเรียกว่า “เรือนดรุณี” ที่นั่นหากท่านเสาะหาเราพบ นับว่าเรามีวาสนาต่อกัน แต่หากเสาะหาไม่พบถือว่าไร้วาสนา คนผู้นั้นเป็นเราสังหารให้กับเจ้า ถือเป็นของขวัญก็แล้วกัน”

เสียงนั้นถูกส่งผ่านคลื่นเสียงไกลหมื่นลี้ จ่านจือทราบว่าเจ้าของเสียงจากไปไกลมากแล้ว เช่นนั้นเจ้าของเสียงนั้นเป็นผู้ใด? ไฉนจึงยื่นมือเข้ามาช่วยสังหารศัตรูเก่าให้กับเขา อีกทั้งยังบอกถึงสถานที่หนึ่งให้เขาเดินทางไปเสาะหา เรือนดรุณีที่แท้เป็นสถานที่ใดกันแน่

เหล่าชาวบ้านร้านถิ่นเมื่อเห็นคนชั่วทั้งสามตายอนาถ ต่างโห่ร้องด้วยความสะใจ และต่างกล่าวขอบคุณจ่านจือ กับเยี่ยนผิงที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือพวกเขา หลังจากช่วยชาวบ้านจัดการเรื่องศพของมันสามคนแล้ว จ่านจือ กับเยี่ยนผิงจึงออกเดินทางจากหมู่บ้านแห่งนั้นในทันที

เรือนดรุณีอยู่ตามคำบอกของเสียงปริศนา ตั้งอยู่เขาลูกถัดไป ดังนั้นจ่านจือ กับเยี่ยนผิงจึงเดินทางมุ่งตรงไปเพื่อชมดู ว่าเรือนดรุณีที่แท้เป็นสถานที่ใด? และเจ้าของเรือนดรุณีที่ยื่นมือช่วยเหลือเขาเป็นผู้ใด? เป็นคนดีหรือเป็นร้ายกันแน่

ทั้งสองเดินทางตัดป่าไม่หนาแน่นนัก บางช่วงเป็นเส้นทางที่ชาวบ้านใช้เดินทางเข้าป่าหาสัตว์ป่าและฟืน เมื่อเดินผ่านลำห้วยธรรมชาติ ด้านหน้าเป็นน้ำตกใสสะอาด ให้บรรยากาศที่ร่มรื่นยิ่งนัก สายน้ำที่ทิ้งตัวจากที่สูงลงสู่เบื้องล่าง เสียงซ่าซ่าผนวกกับสายลมผัดอ่อน ๆ ผสมผสานกับเสียงสกุณา และแมลงสัตว์ปีกช่างชวนเพลิดเพลินเคลิบเคลิ้มได้ไม่น้อย

เดินทางตรงมาอีกไม่กี่ลี้ เป็นเขาลูกที่เป็นเป้าหมาย ดูบรรยากาศของเขาลูกนี้แล้วไม่น่าจะมีผู้คนอยู่อาศัยได้ มองทอดตาออกไปเป็นป่าไม้เขียวครึ้ม และโขดหินขนาดใหญ่เรียงรายสลับซับซ้อน จ่านจือ กับเยี่ยนผิง จึงเดินสำรวจเขาลูกนั้นโดยไร้จุดหมาย

จวบจนเวลาเย็นย่ำสนธยา ป่าแทบนี้เริ่มปกคลุมด้วยความมืด ทั้งสองยังไร้ซึ่งเบาะแสของเรือนดรุณีที่ค้นหา ดังนั้นจึงตัดสินใจหาถ้ำหินแห่งหนึ่งพักอาศัยในค่ำคืนนี้ รอให้เช้าฟ้าสว่างค่อยออกค้นหาดูอีกครา

ทั้งสองมีอาหารแห้งพกพาติดตัว ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเรื่องปากท้อง หลังจากรับประทานอาหารแล้ว ทั้งสองนั่งพูดคุยปรึกษากันถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในยุทธภพ

“จ่านจือ ข้าพเจ้ากับท่าน เราต่างร่วมท่องเที่ยวเป็นเวลานานแล้ว มิทราบว่าอนาคตข้างหน้าท่านคิดจะกระทำสิ่งใด?” เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวถามต่อจ่านจือ

“อนาคตข้างหน้าของข้าพเจ้า ดูจากเหตุการณ์แล้ว คงยากที่จะเป็นตัวของตัวเอง เนื่องจากมีเรื่องราวต่าง ๆ มากมายให้สะสาง เรื่องสำคัญที่ข้าพเจ้าตั้งใจเอาไว้ คือฟื้นฟูสำนักตำหนักหมื่นเทพ และคลี่คลายปัญหาความบาดหมางในสำนักครั้งเก่าก่อน เรื่องที่สำนักแห่งนี้ล่มสลายไป คิดว่าจะต้องมีเบื้องหลังมากกว่าที่ได้ทราบมา อนาคตของข้าพเจ้ามองไม่เห็นฝั่ง เยี่ยนผิงท่านจะสามารถร่วมทุกข์สุขกับข้าพเจ้าได้หรือไม่? เรื่องนี้ความจริงข้าพเจ้าเก็บมาขบคิดอยู่ไม่น้อย บุรุษที่ไร้ซึ่งอนาคตอันแน่นอน จะให้สตรีที่งดงามเช่นท่านมาร่วมลำบากด้วย จึงสร้างความลำบากใจให้แก่ข้าพเจ้าไม่น้อย”

เยี่ยนผิงเมื่อได้ยินจ่านจือกล่าวเช่นนั้น ทราบว่าภายในใจของจ่านจือ มีเรื่องราวมากมายต้องให้ขบคิด ดังนั้นจึงไม่อยากให้นำเรื่องของตัวเองมาทำให้ไม่สบายใจ ดังนั้นคว้าจับสองมือจ่านจือเอาไว้ แล้วส่งเสียงเอื้อนเอ่ยว่า

“จ่านจือ ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนั้น อนาคตไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ข้าพเจ้าเยี่ยนผิง จะอยู่เคียงข้างท่าน จะทุกข์หรือสุขเราจะร่วมแบ่งปัน ไม่ว่าอนาคตภายหน้าจะต้องลำบาก หรือพบเจอกับอุปสรรคร้ายแรงปานใด? ท่านจงจดจำไว้ว่า จะมีข้าพเจ้าเยี่ยนผิงผู้นี้ อยู่เคียงข้างท่านตลอดเวลา”

จ่านจือกุมมือเยี่ยนผิงเอาไว้ สายตาจ้องมองใบหน้าของนางด้วยความรัก ดวงตาทั้งคู่ของนางยังคงสร้างความประทับใจให้แก่เขาไม่ลืมเลือน จ่านจือส่งเสียงแผ่วเบาแต่ชัดเจนต่อเยี่ยนผิงว่า

“ข้าพเจ้าจ่านจือหลงรักท่านตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน ตั้งแต่วันนั้นจนบัดนี้ ความรู้สึกที่มีต่อท่านยิ่งเพิ่มพูน หากภายหน้าเราต้องมีอันต้องพลัดพรากจากกัน ข้าพเจ้ายังคิดไม่ออกว่า จะมีชีวิตอยู่ได้เช่นไร? หากท่านมิรังเกียจข้าพเจ้า ค่ำคืนนี้เรามาร่วมกล่าวคำสัตย์สัญญาต่อถ้ำ และป่าเขาแห่งนี้ ว่าภายภาคหน้าเราจะไม่แยกจากพรากกัน เยี่ยนผิงท่านจะว่าเช่นไร?”

“จ่านจือ ข้าพเจ้าเยี่ยนผิงเป็นอิสตรี ความจริงนับเป็นเรื่องน่าละอายที่จะบอกกล่าวความรู้สึกต่อท่าน แต่อนาคตภายหน้าเป็นสิ่งไม่แน่นอน เช่นนั้นค่ำคืนนี้ ข้าพเจ้าจะร่วมกล่าวคำสัตย์สัญญาต่อท่าน ให้ถ้ำและหุบเขาแห่งนี้ร่วมเป็นสักขีพยานแก่เราทั้งสอง เช่นนั้นเราทั้งสองใช้กิ่งไม้นี้ต่างธูป ใช้น้ำดื่มแทนน้ำชา จ่านจือ ท่านกับข้าพเจ้ากล่าวพร้อมกัน”

เยี่ยนผิงหักกิ่งไม้เล็ก ๆ บริเวณนั้นปักพื้นดินต่างธูป แล้วราดรดน้ำดื่มลงยังพื้นเบื้องหน้า ทั้งสองคุกเข่าแนบชิดติดกัน สองมือประสานแล้วส่งเสียงกล่าวพร้อมเพรียงกันว่า

“ข้าพเจ้าจ่านจือ”

“ข้าพเจ้าเยี่ยนผิง”

“เราทั้งสองขอกล่าวคำสัตย์สัญญา ขอเทพยาดาอารักษ์ ขุนเขาและป่าใหญ่ร่วมเป็นสักขีพยาน ภายภาคหน้าเราทั้งสองจะร่วมทุกข์สุข ต่อให้มีอุปสรรคยิ่งใหญ่ดั่งภูผามหาสมุทร เราทั้งสองจะร่วมฝ่าฟัน และจะยึดมั่นในรักอันมั่นคงมิเสื่อมคลาย ถึงแม้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องมีอันเป็นไป อีกฝ่ายจะไม่มองหาผู้ใดเป็นอันขาด เราทั้งสองจะยึดมั่นในรักต่อกันนิรันดร แม้ชีวิตมอดดับ ขอเถ้ากระดูกอยู่ร่วมหลุมเดียวกันตลอดไป”

ทั้งสองเมื่อกล่าวสัตย์วาจาต่อป่าเขาแล้ว เยี่ยนผิงใช้หัวไหล่อันเข้มแข็งของจ่านจือ อิงแอบแนบชิดเป็นที่หลับนอน ในตอนนี้เยี่ยนผิงรู้สึกถึงความสุขที่ได้อยู่ร่วมกับจ่านจือ จ่านจือเองรู้สึกไม่แตกต่างจากเยี่ยนผิง แล้วในค่ำคืนนั้นทั้งสองต่างหลับใหลไปด้วยความสุข

ไกลออกไปไม่มากนัก สายตาคู่หนึ่งจับจ้องมองทั้งสองด้วยความชื่นชม คำกล่าวของทั้งสองล้วนได้ยินทุกถ้อยคำ เจ้าของสายตาคู่นั้นเอื้อนเอ่ยเบา ๆ กับตัวเองว่า

“เด็กน้อยทั้งสองช่างน่าอิจฉานัก ความรักของพวกเจ้าช่างบริสุทธิ์ และกล้าหาญ ต่างจากเราซึ่งมีความรักอันบริสุทธิ์ มิต่างจากพวกเจ้าทั้งสอง แต่ไฉนในตอนนั้น ข้าพเจ้ากับเขาจึงไม่มีความกล้าเช่นพวกเจ้า สุดท้ายปล่อยเวลาผ่านไปดั่งสายน้ำไม่หวนคืนกลับ สุดท้ายเราต่างต้องแยกจากกันสุดแสนทรมาน เพียงคำกล่าวอำลา ก่อนจากลาสักคำยังไม่มีโอกาสได้กล่าว จวบจนบัดนี้ความรักที่เรามีต่อเขาไม่เคยเสื่อมคลายสลายไป ขอพวกเจ้าทั้งสองอย่าได้เป็นเช่นเดียวกับเรา ที่ต้องทนทุกข์ทรมานคิดถึงคนรักแสนสาหัส”

น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นสั่นเครือปนความข่มขื่นวิโยคโศกศัลย์ ในดวงตาทั้งคู่ปรากฏหยดหยาดน้ำตาเอ่อล้นก่อนที่จะไหลผ่านใบหน้าอันเหี่ยวย่นลงมา บ่งบอกถึงวัยชราของเจ้าของดวงตาคู่นั้น ในความมืดสลัวแลเห็นเส้นผม และคิ้วเป็นสีขาวนวล เสื้อผ้าอาภรณ์ตลอดร่างล้วนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ คนผู้นั้นยืนมองจ่านจือ กับเยี่ยนผิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพลิ้วร่างดังสายลมล่องลอยแผ่วเบาออกจากถ้ำไป

รุ่งสางฟ้าสว่างลอดแสงผ่านเข้ามายังปากถ้ำ เสียงวิหคนกกาออกหากินดังเซ็งแซ่  จ่านจือ และเยี่ยนผิงเมื่อล้างหน้าล้างตา ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจึงออกเดินทางจากถ้ำแห่งนั้นทันที ระหว่างทางพบเจอผลไม้ป่า จึงเด็ดรับประทานเป็นอาหารเช้า

ทั้งสองเดินสำรวจเขาลูกนั้นอยู่ครึ่งค่อนวันยังไม่เห็นมีสิ่งใด? นอกจากป่าเขาลำธารและหินผา สัตว์ป่าตามธรรมชาติแล้วไม่พบเจอสถานที่ใดพอจะเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนได้ แล้วเรือนดรุณีที่คนผู้นั้นกล่าวถึงเป็นสถานที่ใดกันแน่? หรือว่าทั้งสองจะถูกผู้คนหลอกลวงให้เดินทางมาเสียเวลาแล้ว

“จ่านจือ เราทั้งสองสำรวจจนเกือบทั่วทั้งหุบเขาแล้ว ไม่พบเห็นสิ่งใดบ่งบอกว่าเป็นที่อาศัยของผู้คนแม้แต่น้อย เห็นทีเราทั้งสองจะถูกหลอกให้เดินทางมาเสียเวลาแล้ว”

เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวต่อจ่านจือ ในตอนแรกจ่านจือเองคล้อยตามคำกล่าวของนาง แต่เมื่อขบคิดใคร่ครวญดู คนผู้นั้นยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขา น้ำเสียงที่กล่าวบอก ไม่มีท่าทีว่าเป็นการหลอกลวงแต่อย่างใด? ดังนั้นจึงชักชวนเยี่ยนผิงนั่งพักผ่อนยังหน้าผาสูงชัน สายลมพัดเย็นสบาย หน้าผาแห่งนี้ยื่นตัวออกมาจากบริเวณหุบเขา อีกด้านหนึ่งของผาถูกบดบังด้วยหน้าผาอีกด้านหนึ่ง จึงมองไม่เห็นว่าฝั่งตรงนั้นสูงชันเพียงใด? และไม่มีเส้นทางที่จะก้าวเดินเข้าไปสำรวจตรวจดูอีกด้วย

เมื่อหายเหน็ดเหนื่อย จ่านจือส่งเสียงกล่าวต่อเยี่ยนผิงว่า

“เยี่ยนผิง ข้าพเจ้าไม่คิดว่าอาวุโสท่านนั้นจะกล่าวเท็จหลอกลวงเรา เพียงแต่ท่านและข้าพเจ้าไร้วาสนาได้พบเจอกับท่าน ในเมื่อเราทั้งสองเดินทางมาถึงแล้ว ไฉนไม่แสดงการคารวะต่ออาวุโสสักครั้ง แม้ว่าจะไม่พบเจอท่าน แต่เราควรแสดงความเคารพในฐานะที่เราอ่อนเยาว์กว่า ดังนั้นจึงไม่ควรเสียมารยาทไม่ว่าอาวุโสท่านนั้นจะเป็นผู้ใดก็ตาม”

จ่านจือเมื่อกล่าวจบ ชักชวนเยี่ยนผิงคุกเข่าลงยังหน้าผา ประสานมือทั้งสองแล้วกล่าวว่า

“อาวุโส ข้าพเจ้าจ่านจือ กับแม่นางเยี่ยนผิง แม้จะไม่ทราบนามสูงส่งของท่าน แต่เราทั้งสองได้เดินทางมาตามคำกล่าวของท่านแล้ว คงเป็นเราทั้งสองไร้วาสนาได้คารวะท่านต่อหน้า ดังนั้นจึงขอเสียมารยาท แสดงความเคารพหน้าผาแห่งนี้ฝากถึงท่านด้วยจริงใจ”

จากนั้นจ่านจือ และเยี่ยนผิงต่างโขกศีรษะแสดงความเคารพ แล้วลุกขึ้นพากันเดินจากหน้าผาแห่งนั้นมา แต่ก่อนที่ทั้งสองจะก้าวพ้นบริเวณนั้น ฉับพลันเสียงเป่าใบไม้เป็นบทเพลงอันไพเราะดังขึ้น เสียงบทเพลงนั้นแม้จะไพเราะจับจิตจับใจ แต่ในบทเพลงแฝงความโศกเศร้าข่มขื่น ทั้งสองยืนซึมเซาฟังบทเพลงนั้นด้วยความเคลิบเคลิ้มหลงใหล

เมื่อบทเพลงนั้นจบลง น้ำเสียงหนึ่งกล่าวเล็ดลอดผ่านริมผาดังมาว่า

“เรือนดรุณีไม่เคยต้อนรับแขกมาก่อน ในเมื่อเจ้าทั้งสองเดินทางมาถึงแล้ว เราจึงต้อนรับพวกเจ้าทั้งสองด้วยบทเพลง “ดรุณีหวนไห้” แม้บทเพลงนี้จะฟังดูรันทดหดหู่อยู่บ้าง ในบทเพลงบ่งบอกถึงความโศกเศร้า ของดรุณีผู้หนึ่งที่ต้องพลัดพรากจากคนรัก แต่ทุกครั้งที่เราได้บรรเลงกลับรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก”

สิ้นเสียงกล่าว ปรากฏแถบผ้าแพรสีขาวนวลเบาบาง พุ่งออกมาจากริมผาอีกด้านหนึ่ง ปลายผ้าด้านที่พุ่งมาคล้ายมีชีวิต ตวัดรัดกับโขดหินก้อนหนึ่ง จากนั้นเสียงที่กล่าวเมื่อครู่ส่งเสียงกล่าวดังว่า

“เรือนดรุณีแท้จริงมิใช่ไม่ต้อนรับแขก แต่สถานที่แห่งนี้มิมีผู้ใดสามารถผ่านเข้ามาได้เท่านั้นเอง เว้นเสียแต่บุคคลผู้นั้นจะมีวิชาตัวเบาสูงล้ำ จึงจะเหินผ่านเข้ามาได้ ในยุทธภพนี้คงมีแต่วิชาดรุณีกำสรวล ที่มีเคล็ดวิชาตัวเบาพิสดาร คิดค้นได้จากความรันทดหดหู่ ดังนั้นพวกเจ้าทั้งสองใช้แพรขาวนั่น เป็นเส้นทางเข้ามาเถิด”

จ่านจือกับเยี่ยนผิงเมื่อได้ยินเช่นนั้น รวบรวมลมปราณใช้ออกด้วยวิชาตัวเบา กระโดดโลดแล่นขึ้นบนแพรขาวแถบนั้น จากนั้นวิ่งด้วยวิชาตัวเบาอย่างนุ่มนวล เห็นริมขอบผาล้วนเต็มไปด้วยชะง่อนหินแหลมคม อีกทั้งเส้นทางยังหักมุมอันตราย หากไม่มีแพรขาวเป็นที่หยั่งเท้าแล้วละก็ ต่อให้ใช้กำลังภายในจนสุดกำลัง ยังไม่อาจเข้ามายังผาอีกด้านหนึ่งได้

เมื่อสุดแถบแพรขาวยืนอยู่ด้วยสตรีผู้หนึ่ง นางอยู่ในชุดอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ตลอดทั้งร่าง ศีรษะของนางล้วนปกคลุมด้วยเส้นไหมเงินยาวจรดกลางหลัง  สองมือเหยียดตรงอยู่ด้านหน้าบังคับแพรขาวให้แก่จ่านจือ กับเยี่ยนผิงใช้เป็นเส้นทางเข้ามา เมื่อทั้งสองทิ้งร่างลงสู่พื้น สตรีนางนั้นไม่ทันขยับมือ แต่แพรขาวแถบนั้นพลันหดวูบ กลับเข้าสู่แขนเสื้อของนางด้วยความรวดเร็วและนุ่มนวล

“ข้าพเจ้าจ่านจือคารวะอาวุโส”

“ข้าพเจ้าเยี่ยนผิงคารวะอาวุโส”

จ่านจือกับเยี่ยนผิงประสานมือ แล้วกล่าวคารวะต่อสตรีนางนั้น มองไปเบื้องหลังของนางเป็นเรือนไม้ ปลูกสร้างอยู่บนหินผาขนาดใหญ่ รอบบริเวณปลูกไม้ดอกสีขาวหลากหลายพันธุ์ ทุกต้นล้วนออกดอกบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมหวนรันจวนใจ

สตรีนางนั้นส่งเสียงกล่าวต่อทั้งสองว่า

“เรือนดรุณีต้อนรับแขกครั้งแรก ไม่นึกว่าจะเป็นหนุ่มสาวคู่หนึ่ง แต่นับว่าเราคงมีวาสนาต่อกัน จึงได้มีโอกาสได้พบเจอ วันก่อนเจ้ากล่าวถามนามของเรา เช่นนั้นเราจะบอกกล่าวต่อเจ้าว่า เรามีชื่อแซ่ว่ากระไร? เราแซ่เซียว นามบ้อซัว ส่วนเจ้าทั้งสองเราทราบนามแล้ว จากการแนะนำของพวกเจ้า พวกเจ้าเดินทางมาคงเหน็ดเหนื่อย เช่นนั้นเชิญขึ้นไปพักผ่อนบนเรือนชานก่อน แล้วค่อยสนทนากัน”

สตรีชรานางนั้นแนะนำตัวว่า นางมีนามว่าเซียวบ้อซัว จากนั้นนางเดินนำหน้าไปยังเรือนไม้ การก้าวย่างของนางแต่ละก้าว คล้ายเท้าไม่สัมผัสพื้น นับว่าวิชาตัวเบาของนางบรรลุถึงขึ้นไร้ขอบเขตแล้ว

จ่านจือ กับเยี่ยนผิงไม่กล้ารีรอชักช้า รีบก้าวเท้าตามสตรีนางนั้นไปยังเรือนไม้ในทันที ความจริงทั้งสองมีวิชาตัวเบามิใช่ชั่ว แต่ไม่กล้าแสดงต่อหน้านาง เกรงว่าจะเป็นการอวดโอ่ไม่เจียมตน ดังนั้นจึงรีบวิ่งติดตามนางไป ส่วนสตรีนางนั้นนางเองย่อมดูออกเช่นกันว่า ทั้งสองมีวิชาตัวเบาที่ไม่ธรรมดา แต่เมื่อเห็นทั้งสองไม่ใช้ออก ยิ่งสร้างความพึงพอใจให้แก่นาง

เมื่อบรรลุถึงพื้นเรือนชาน เป็นไม้แผ่นสร้างเป็นพื้นเรือน ด้านหลังเป็นห้องหับราวสามห้อง ด้านซ้ายมือเป็นสถานที่สำหรับนั่งพักผ่อน วางตั้งโต๊ะไม้ไผ่ และแคร่สำหรับนั่งพักผ่อน ด้านขวาเป็นพื้นลานโล่งสบายทอดยาวจรดริมขอบผา บรรยากาศร่มรื่นเย็นสบาย อีกทั้งยังมีดอกไม้นานาพันธุ์ ส่งกลิ่นหอมจรุงสร้างบรรยากาศให้น่าลุ่มหลง ที่นี่เองที่เรียกว่าเรือนดรุณี ในที่สุดจ่านจือ กับเยี่ยนผิงได้มีวาสนามาเหยียบย่าง

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป