Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (ปลอมแปลงโฉมหลอกคน)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

ปลอมแปลงโฉมหลอกคน

  • 15/08/2565

ตอนที่ 102

ปลอมแปลงโฉมหลอกคน

ฟ้ายังมิทันสาง แต่แผนการของเยี่ยนผิงได้เริ่มขึ้นแล้ว เอี้ยวเซียวใช้เวลาก่อนที่ฟ้าจะสว่างลอบมายังบ้านพักซึ่งจ่านจือและคนอื่น ๆ ใช้เป็นที่พักหลับนอน เมื่อทุกอย่างพรักพร้อม เยี่ยนผิงจึงเริ่มทำการปลอมแปลงโฉมให้แก่ทุกคนในทันที เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ทุกคนต่างต้องรับหน้าที่เป็นอีกคนตามที่ได้นัดหมายไว้

ไป่ชิงกับเอี้ยวเซียวทั้งสองสลับสับเปลี่ยนกัน เวลาแม้ไม่มากนักแต่เอี้ยวเซียวได้บอกรายละเอียดภายในตึกใหญ่ พร้อมกับสอนการสนทนากับบิดานางให้แนบเนียน เพื่อมิให้ถูกจับได้ก่อนที่แผนการทั้งหมดจะสำเร็จ ส่วนเอี้ยวเซียวนางเองเลียนบุคลิกภาพของไป่ชิงไม่ยากนัก

ส่วนจ่านจือเขาปลอมตัวเป็นมู่เหอ พี่รองของผาแห่งสายลม ดูแล้วฝีมือการแปลงโฉมของเยี่ยนผิงหาผู้เปรียบเทียบติด หากไม่บอกย่อมไม่อาจทราบได้ว่าเป็นจ่านจือ ส่วนเยี่ยนผิงนางปลอมโฉมตนเองเป็นเหมาต้า ศิษย์พี่ใหญ่ของผาแห่งสายลม เฉกเช่นเดียวกันยากมองออกว่าเป็นตัวปลอม จะยากอยู่ตรงที่นางมีร่างกายเตี้ยกว่าอยู่ส่วนหนึ่ง ดังนั้นจะต้องใช้ความสามารถส่วนตัวของนางในการอำพราง แต่คาดว่าในระยะเวลาอันสั้นคงสามารถตบตาเจ้าป่าเก้าหยกเอี้ยวค้วงได้

ทางด้านเหมาต้าซึ่งมีร่างกายเตี้ยกว่ามู่เหอ ดังนั้นเขาจึงต้องปลอมแปลงโฉมเป็นเยี่ยนผิง แม้จะดูเกะกะเก้งก้างอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าเยี่ยนผิงปลอมตัวให้ได้ไม่เลว ส่วนจ่านจือตัวปลอมเป็นมู่เหอรับหน้าที่ สำหรับมู่เหอไม่ค่อยเป็นปัญหามากนัก เนื่องด้วยสัดส่วนร่างกายใกล้เคียงกับจ่านจือ เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ ไป่ชิงในคราบเอี้ยวเซียวก็รีบรุดกลับเข้าไปยังตึกใหญ่ในทันที

ทุกคนต่างสรุปว่าเมื่อฟ้าสางจะออกเดินทางโดยไม่รับประทานอาหารเช้า คาดว่าเจ้าป่าเกาหยกเอี้ยวค้วงเอง คงไม่มีจิตใจหรือรักษามารยาทในเช้านี้ แผนการในครั้งนี้เจ้าป่าเก้าหยกเอี้ยวค้วงจะต้องทุ่มเทร่วมกับเอี้ยวเคี้ยงผู้น้อง ในการกำจัดศิษย์ของผาแห่งสายลม โดยที่ไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วศิษย์หนึ่งในสามเป็นบุตรีของตนเอง ส่วนอีกสองคนกลับเป็นจ่านจือกับเยี่ยนผิง ครั้งนี้มันผู้นี้คงต้องลำบากมากแล้ว จ่านจือเองจะไม่เกรงอกเกรงใจต่อมันเช่นกัน ซึ่งเอี้ยวเซียวนางได้บอกกล่าวต่อจ่านจือว่า ไม่ต้องออมมือให้แก่บิดานาง แต่ขอร้องเพียงอย่าถึงกับเอาชีวิตบิดานางเป็นพอ

เยี่ยนผิงในคราบของเหมาต้า มีความเห็นว่าให้กลุ่มของผาแห่งสายลมตัวจริงเร่งออกเดินทางก่อน เพื่อที่ไป่ชิงในคราบของเอี้ยวเซียวจะได้รีบรุดออกติดตาม เพื่อไม่เป็นที่สงสัยแก่เจ้าป่าเก้าหยกเอี้ยวค้วง และเอี้ยวเคี้ยกผู้น้องของมัน

"ท่านเหมาต้า ท่านมู่เหอ ท่านทั้งสองออกเดินทางก่อนล่วงหน้า อีกสักครู่แม่นางไป่ชิงคงใช้โอกาสนี้เร่งติดตามพวกท่านไป แม่นางเอี้ยวเซียวบอกว่าในเวลานี้เจ้าป่าเก้าหยกไม่มีเวลามาสนใจพวกท่าน และมอบหมายให้นางเป็นผู้นำคน คอยติดตามการเคลื่อนไหวของพวกท่าน เมื่อหลุดพ้นเขตป่าเก้าหยกแล้ว ท่านทั้งสองกับแม่นางไป่ชิงรีบเดินทางกลับผาแห่งสายลม เผื่อว่าท่านเจ้าผาแห่งสายลมกลับไปถึงผาแล้ว หากยังไม่เห็นพวกท่านกลับท่านอาจจะเป็นห่วง" เยี่ยนผิงในคราบของเหมาต้ากล่าวจบ จ่านจือส่งเสียงกล่าวตามว่า

"ท่านทั้งสองรักษาสุขภาพด้วย เมื่อพบแม่นางไป่ชิงแล้วรีบออกจากป่าเก้าหยกในทันที ด้านนี้ข้าพเจ้าสามารถรับมือได้มิต้องห่วง หากข้าพเจ้ากลับถึงเขาหมื่นเซียนแล้วจะส่งข่าวถึงพวกท่านอีกที อย่ามัวเสียเวลารีบแยกย้ายกันตรงนี้"

จ่านจือในคราบมู่เหอกล่าวจบ มู่เหอตัวจริงกับเหมาต้าตัวจริงต่างรีบออกเดินทางในทันที  ส่วนจ่านจือ เยี่ยนผิงและเอี้ยวเซียวต่างไม่รอช้ารีบก้าวเท้าติดตามมาไม่ห่าง เมื่อถึงทางแยกต่างแยกย้ายไปคนละทาง ด้านหน้าไม่ไกลมากนักเป็นตึกใหญ่ เมื่อเห็นแขกของป่าเก้าหยกแยกเป็นสองทาง ไป่ชิงในคราบของเอี้ยวเซียวดำเนินแผนการทันที นางรีบส่งเสียงตะโกนต่อบิดาพร้อมกับพุ่งร่างติดตามพี่ใหญ่กับพี่รองไปทันที

"บิดา แขกของเราหลบหนีแล้ว ดูแล้วพวกเขาแบ่งแยกออกเป็นสองทาง จ่านจือกับแม่นางเยี่ยนผิงไม่ทราบวิธีทำลายค่ายกล ดังนั้นด้านนี้ข้าพเจ้าเอี้ยวเซียวจะนำคนติดตามไปเอง บิดาท่านอย่าได้ประมาทเดี๋ยวงานที่อาวุโสฝ่านรับคำสั่งมาจะไม่สำเร็จ" ไป่ชิงนางกล่าววาจาต่อเจ้าป่าเก้าหยกได้แนบเนียนยิ่ง ในระยะเวลากระชั้นชิด เจ้าป่าเก้าหยกเอี้ยวค้วง กับเอี้ยวเคี้ยกไม่มีเวลาแยกแยะโดยละเอียด พอได้ยินเอี้ยวเซียวตัวปลอมส่งเสียงเช่นนั้น รีบคว้าสามง่ามแล้วออกคำสั่งต่อเอี้ยวเคี้ยกว่า

"เอี้ยวเคี้ยก ท่านกับข้าพเจ้าติดตามไปจัดการเข่นฆ่าศิษย์ทั้งสามของผาแห่งสายลม" กล่าวจบส่งเสียงตะโกนกล่าวกับเอี้ยวเซียวตัวปลอมว่า

"เอี้ยวเซียว ทางด้านนั้นบิดามอบให้เจ้าจัดการ หากพวกมันไม่มีปัญญาฝ่าค่ายกลไหมหยกออกไป เจ้าจงส่งตัวจ่านจือออกไปจากป่าได้เพียงผู้เดียว ส่วนแม่นางเยี่ยนผิงคร่ากุมตัวกลับมาอย่าได้ผิดพลาด"

ไป่ชิงซึ่งแสดงบทบาทเป็นเอี้ยวเซียว ชูดาบเสี้ยวพระจันทร์ซึ่งเอี้ยวเซียวมอบไว้ให้ แล้วส่งเสียงรับคำก่อนจะทะยานร่างพุ่งติดตามจ่านจือ กับเยี่ยนผิงตัวปลอมไป

"ข้าพเจ้าเอี้ยวเซียวจะทุ่มเทสุดความสามารถ บิดาท่านเองอย่าได้ประมาท พวกมันทั้งสามเมื่อมีปัญญาฝ่าค่ายกลเข้ามาได้ พวกมันคงมีความสามารถทำลายค่ายกลไหมหยกเก้าชั้นออกไปได้เช่นกัน"

เอี้ยวเซียวในคราบของไป่ชิง วิ่งนำหน้าเหมาต้า กับมู่เหอตัวปลอมเพื่อนำทาง พอเลี้ยวซ้ายผ่านดงไม้ข้างหน้า นางส่งเสียงกล่าวกับจ่านจือกับเยี่ยนผิงว่า

"การทำลายค่ายกลไหมหยกเก้าชั้น จะเริ่มจากด้านในเป็นชั้นที่หนึ่ง ด้านหน้าเมื่อผ่านดงไม้ทึบหนาไป จะเป็นไม้ใบอ่อนไม่สูงนัก ตรงนั้นจะเป็นชั้นที่หนึ่งเรียกว่า "กำเนิดไหมหยกอ่อนซ่อนร่าง" ตอนเข้ามาจะแตกต่างกับตอนออกไป ตอนเข้ามาเพียงแต่จะทำให้หลงทิศทางยากจำแนก แต่ตอนออกไปจะต้องตีฝ่าทำลายเท่านั้นจึงจะออกไปได้ ด้านหลังบิดากับอาเอี้ยวกำลังติดตามมา หากมัวชักช้าไม่รีบทำลายค่ายไหมหยกชั้นที่หนึ่ง พวกเราสามคนคงต้องประมือกับทั้งสองอย่างแน่นอน เพื่อเป็นการเก็บออมแรงเอาไว้ จ่านจือข้าพเจ้าจะสอนให้ท่านทำลายค่ายกลนี้"

"ทำลายค่ายกล? แม่นางเอี้ยวรีบบอกกล่าวมา ว่าข้าพเจ้าจะทำลายด้วยวิธีการใด?" จ่านจือรีบส่งเสียงกล่าวถามเอี้ยวเซียว ถึงวิธีการทำลายค่ายกลไหมหยกชั้นที่หนึ่ง

"ด้านหน้าเป็นดงไม้ใบอ่อนหนาแน่น และเราสามคนไม่มีทางจะใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามพ้น นอกจากนั้นหากวิ่งอ้อมไปก็จะไปเจอกับค่ายกลอาวุธลับที่วางเอาไว้ การทำลายค่ายนี้เสียจะง่ายต่อการหลบหนี ในดงไม้ไม่สูงนักหากไม่ทราบความนัย คงต้องพากันวิ่งฝ่าผ่านไปอย่างแน่นอน ในดงไม้ใบอ่อนเพาะเลี้ยงหนอนพิษเอาไว้ เพียงสัมผัสพิษก็จะแทรกซึมเข้าสู่ผิวหนัง ทำให้ปวดแสบปวดร้อนรุนแรง  ต่อจากนั้นผิวหนังก็จะเน่าเปื่อยและหลุดเละออกเป็นชิ้น"

จ่านจือกับเยี่ยนผิงรับฟังคำบอกเล่าจากเอี้ยวเซียวถึงกับหวาดเสียว หากไม่ได้ยินจากปากนางว่ามีหนอนพิษเช่นนี้อยู่ ตนกับเยี่ยนผิงคงต้องวิ่งฝ่าดงไม้ใบอ่อนแสนธรรมดาไปอย่างแน่นอน ผู้ใดจะคาดคิดว่าภายใต้ใบไม้เขียวสดงดงาม จะซ่อนซุกความตายเอาไว้ต้อนรับกับผู้ที่หลงฝ่าเข้าไป

"จ่านจือ แม่นางเยี่ยน ท่านทั้งสองสังเกตหรือไม่? ในดงไม้ใบอ่อนกับบริเวณด้านนอกมีความแตกต่างกันเช่นไร?" เอี้ยวเซียวส่งเสียงกล่าวถามจ่านจือกับเยี่ยนผิง

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเยี่ยนผิงกับจ่านจือจึงทดลองสำรวจดูด้วยสายตา มองผ่านไปคล้ายไม่มีสิ่งใดผิดสังเกต แต่พอมองบนพื้นด้านนอกเห็นเป็นเม็ดทรายสีหม่นละเอียด ส่วนบริเวณที่ต้นไม้ใบอ่อนเจริญงอกงาม กลับเป็นพื้นดินธรรมดาในป่าทั่วไป เมื่อเห็นเช่นนั้นจ่านจือ กับเยี่ยนผิงร้องออกมาโดยพร้อมเพรียง

"เป็นพื้นดินที่แตกต่างกันใช่หรือไม่?"

"ท่านทั้งสองสายตาไม่เลว สังเกตออกได้ด้วยเวลาอันสั้น ถูกแล้วพื้นดินธรรมดาใบไม้อ่อนเจริญงอกงามได้ดี ส่วนบริเวณเม็ดทรายเหล่านี้ไม่มีต้นไม้เหล่านั้นขึ้นแม้แต่เพียงต้นเดียว สาเหตุทรายเหล่านั้นมีสารบางอย่างที่เป็นคู่ปรับของต้นไม้นั่น มีต้นไม้บางต้นที่รากชอนไชออกมา แล้วซึมซับเอาสารที่ว่าในทรายเข้าไป พอหนอนพิษกัดกินใบไม้ได้รับสารเหล่านั้น พวกมันพากันหลั่งสารบางอย่างทำลายต้นไม้ตายไป ส่วนพวกมันเองเมื่อหลั่งสารบางอย่างออกมาก็ตกตายเช่นกัน ดังนั้นหนอนพิษเหล่านั้นจึงปรับตัวมีปฏิกิริยารวดเร็วยิ่ง  หากมันรู้ตัวว่าต้นไม้ต้นใดดูดซับสารจากทรายเข้าไป หรือเห็นว่าต้นไม้ต้นใดเข้าใกล้รัศมีของทรายแล้วละก็ จะมีพวกมันหนึ่งตัวเสียสละชีพเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ มันจะยอมกัดกินใบไม้มีสารพิษ และจะยอมกลืนกินเม็ดทรายเพื่อที่จะได้หลั่งสารบางอย่างมาทำลายต้นไม้ที่อยู่ใกล้ทรายมากที่สุด เพื่อให้ตัวอื่นหลบหนีไปได้พ้นรัศมีของเม็ดทรายอย่างน้อยครึ่งก้าว"

เอี้ยวเซียวกล่าววาจายืดยาว บ่งบอกถึงที่มาของพื้นดินที่แตกต่างกัน บอกถึงปฏิกิริยาของหนอนพิษที่มีต่อต้นไม้ที่ได้รับสารพิษจากเม็ดทราย พอได้ฟังจ่านจือกับเยี่ยนผิงต่างพากันแปลกประหลาดใจมิได้ หนอนพิษไฉนจึงมีการปรับตัวได้รวดเร็วเช่นนั้น และที่น่ายกย่องชมเชยกลับเป็นผู้ที่คิดค้นนำเอาสิ่งเหล่านี้มาทำเป็นค่ายกลฆ่าคนได้

"เช่นนั้นเพียงซัดเม็ดทรายเหล่านี้ลงจุดใด หนอนพิษก็จะรีบหลบหนีไปให้พ้นรัศมีครึ่งก้าวถูกต้องหรือไม่?" เยี่ยนผิงรีบส่งเสียงกล่าวถามต่อเอี้ยวเซียว

"ถูกต้อง แม่นางเยี่ยนกล่าวมิผิด" เอี้ยวเซียวกล่าวตอบ

"เช่นนั้นข้าพเจ้าขอซัดเม็ดทรายใส่ต้นไม้เหล่านั้น" เยี่ยนผิงรีบอาสาเป็นผู้ซัดเม็ดทรายใส่ต้นไม้เหล่านั้น

"ช้าก่อน" เอี้ยวเซียวรีบส่งเสียงปราบ

"มีอันใด?" จ่านจือส่งเสียงขึ้นบ้าง

"ไม่สามารถใช้มือเปล่าสัมผัสเม็ดทรายเหล่านั้นได้" เอี้ยวเซียวส่งเสียงกล่าวตอบ

"เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหา ข้าพเจ้าจัดการได้" จ่านจือรีบกล่าวขึ้น จากนั้นยกฝ่ามือด้านขวาขึ้น เกร็งลมปราณใส่ฝ่ามือด้วยเคล็ดวิชาดาวดึงส์ จากนั้นดึงดูดเม็ดทรายจำนวนหนึ่งขึ้นมา แล้วออกแรงผลักส่งเข้าสู่ดงไม้ใบอ่อนสามจุดด้วยกัน แล้วส่งเสียงกล่าวกับเอี้ยวเซียวว่า

"ต้องใช้เวลามากน้อยเท่าใด? เราจึงสามารถฝ่าเข้าไปได้"

"เพียงนับหนึ่งถึงสิบก็ใช้ได้แล้ว ท่านซัดเม็ดทรายลงไปเพียงสามจุด ซึ่งใช้เป็นที่หยั่งเท้าสำหรับกระโดดข้ามไป แสดงว่าท่านไม่ต้องการทำร้ายหนอนพิษเป็นจำนวนมากถูกต้องหรือไม่?" เอี้ยวเซียวส่งเสียงกล่าวถาม

"ถูกต้อง ข้าพเจ้าไม่ต้องการทำร้ายพวกมันเป็นจำนวนมาก ถึงแม้จะเป็นหนอนพิษ แต่พวกมันก็มีชีวิตย่อมต้องการดำรงชีวิตตามธรรมชาติ หากทำร้ายพวกมันข้าพเจ้าเกรงว่าออกจะอำมหิตเกินไป มนุษย์ยังรู้จักรักตัวกลัวตาย สัตว์เดรัจฉานก็เช่นเดียวกัน"

"จ่านจือ ท่านช่างมีจิตใจดีงามยิ่งนัก สัตว์เดรัจฉานท่านยังไม่อยากเข่นฆ่า แล้วคนเล่า? ท่านจะกล้าลงมือฆ่าได้หรือไม่?" เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวถามจ่านจือ เจตนาของนางเพียงต้องการทราบว่า ภายภาคหน้าหากพบพานคนชั่ว จ่านจือจะตัดใจกล้าลงมือเข่นฆ่าหรือไม่

"หากจำเป็นไม่มีทางเลือก ข้าพเจ้าก็ต้องลงมือไร้ไมตรี หากคนเหล่าเป็นคนชั่วช้าสามานย์ ท่านกล่าวถามข้าพเจ้าเช่นนี้ เกรงว่าข้าพเจ้าจะคุ้มครองท่านมิได้ใช่หรือไม่?" จ่านจือกล่าวตอบ แล้วถามเยี่ยนผิงกลับไป

"มิใช่ว่าท่านจะคุ้มครองข้าพเจ้ามิได้ แต่ภายภาคหน้าหากท่านต้องเผชิญหน้ากับคนร้าย แล้วท่านใจอ่อนไม่กล้าลงมือ เกรงว่าท่านเองจะเป็นคนที่ถูกทำร้ายเอาได้" เยี่ยนผิงกล่าวตอบ

“ท่านทั้งสองอย่ามัวแต่สนทนา ป่านนี้บิดากับอาเอี้ยวคงใกล้เข้ามาแล้ว พวกเรารีบไปจากที่นี้ให้เร็วที่สุด อย่างน้อยฝ่าค่ายกลไปได้สักห้าด่านก่อนบิดาติดตามมาทัน มิเช่นนั้นแล้วหากเกิดการต่อสู้ บิดาไม่ทราบว่าข้าพเจ้าเป็นบุตรีของท่าน อาจลงมือต่อข้าพเจ้าด้วยเข้าใจว่าเป็นแม่นางไป่ชิง พวกท่านทั้งสองแม้มีฝีมือ แต่ไม่อาจทำลายค่ายกลที่เหลือได้อย่างแน่นอน" เอี้ยวเซียวส่งเสียงกล่าวเตือนขึ้น

"เช่นนั้นอย่าได้ชักช้า รีบไปกันเถิด" จ่านจือส่งเสียงกล่าว แล้วกระโดดตีลังกาสามครั้ง พาร่างข้ามพ้นดงไม้ใบอ่อนที่เต็มไปด้วยหนอนพิษเหล่านั้นไป สตรีทั้งสองก็เช่นกัน ห่างไปไม่ไกลได้ยินเสียงชายเสื้อปะทะลมดังมา

"บิดากับอาเอี้ยวติดตามมาแล้ว รีบไปกันเร็วเข้า" เอี้ยวเซียวส่งเสียงเร่งเร้า แล้วออกวิ่งนำหน้าไปทันที จ่านจือกับเยี่ยนผิงรีบวิ่งติดตามไปไม่ห่าง

อีกเพียงไม่กี่อึดใจ เอี้ยวค้วงกับเอี้ยงเคี้ยกก็ติดตามมาถึงดงไม้นั้น มันทั้งสองเมื่อไม่เห็นร่างของทั้งสามคน อีกทั้งยังเห็นความผิดปกติของต้นไม้ซึ่งเอี้ยวค้วงได้เลี้ยงหมอนพิษเอาไว้ ทราบโดยทันทีว่าศิษย์สามคนของผาแห่งสายลมได้ฝ่าค่ายกลชั้นที่หนึ่งไปได้แล้ว

"พี่ใหญ่ มันสามคนฝ่าค่ายกลไหมหยกชั้นที่หนึ่งไปได้ เห็นทีท่านต้องประเมินฝีมือพวกมันใหม่แล้วกระมัง?" เอี้ยวเคี้ยกส่งเสียงกล่าวขึ้นต่อเอี้ยวค้วง

"เพียงชั้นแรก อาจเป็นความบังเอิญของพวกมันที่พบวิธีทำลายค่ายกล  ถึงเช่นไรพวกมันทั้งสามย่อมไม่มีทางหนีรอดค่ายกลไหมหยกไปได้ถึงชั้นที่เก้าอย่างเด็ดขาด ท่านกับข้าพเจ้ารีบติดตามไปดูสิว่า พวกมันทั้งสามจะมีความสามารถปานใด?" เอี้ยวค้วงกล่าวตอบ แล้วพุ่งร่างหยิบยืมพลังสามคราก้าวข้ามดงไม้หนอนพิษไป ซึ่งเป็นตำแหน่งที่จ่านจือได้ซัดเม็ดทรายไล่หนอนพิษไว้นั่นเอง เอี้ยวเคี้ยกไม่รอช้ารีบพุ่งร่างติดตามพี่ใหญ่ของมันไปไม่ห่าง

จ่านจือ เยี่ยนผิงและเอี้ยวเซียว ทั้งสามโลดแล่นมาได้อีกระยะทางหนึ่ง เอี้ยวเซียวส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า

"ท่านทั้งสองช้าก่อน"

"มีอันใด?” จ่านจือส่งเสียงกล่าวถาม

"ชั้นที่สองเรียกว่า "ไหมหยกจำศีล" ด้านหน้านี้ล้วนเต็มไปด้วยโคลนดูด ต่อให้มีพลังยุทธ์ล้ำเลิศ ก็ไม่อาจดิ้นหลุดพ้นแรงดูดอันมหาศาลไปได้" เอี้ยวเซียวรีบกล่าวตอบ

"เช่นนั้นมีวิธีการใดที่จะผ่านโคลนดูดเหล่านี้ไปได้?" เยี่ยนผิงกล่าวถามขึ้น

"ชั้นที่สองจะต้องใช้การคำนวณการก้าวย่าง เรียกว่า "เก้าตาข่ายฟ้าสี่สิบห้าก้าวย่าง" การที่จะผ่านค่ายกลไหมหยกจำศีลไปได้ จะต้องก้าวย่างแต่ละก้าวเท่า ๆ กัน รวมทั้งสิ้นสี่สิบห้าก้าวพอดิบพอดีห้ามขาดห้ามเกิน โดยใช้เคล็ดตารางเก้าจำนวน ซึ่งแบ่งช่องออกเป็นสี่เหลี่ยมด้านเท่าเก้าช่อง ในแต่ละช่องให้ใส่จำนวนหนึ่งถึงเก้า อีกทั้งในแต่ละช่องห้ามมิให้ใช้จำนวนซ้ำกันเด็ดขาด  ซึ่งเมื่อรวมจำนวนสามช่องจะต้องเท่ากับสิบห้า ไม่ว่าจะรวมจากด้านไหนก็ตาม การก้าวเท้าจะก้าวคราวละสามช่องรวมสิบห้าก้าว ทำเช่นนี้สามคราก็จะได้สี่สิบห้าก้าวพอดี ไม่ว่าจะก้าวไปทิศทางใดจะต้องให้ได้สี่สิบห้าก้าว แต่ความยากจะอยู่ตรงที่ก้าวที่สิบห้า หากก้าวที่สิบห้าครั้งแรกจบที่จำนวนใด ก้าวต่อไปของสิบห้าก้าวครั้งที่สองจะต้องเริ่มจากจำนวนนั้น เมื่อจบสิบห้าก้าวครั้งที่สองที่จำนวนใด ก้าวแรกของสิบห้าก้าวครั้งที่สามจะต้องเริ่มจากจำนวนนั้นห้ามผิดพลาด มิเช่นนั้นจะต้องฝังร่างไว้ใต้ค่ายกลไหมหยกจำศีล ถูกโคลนดินดูดกินเป็นอาหารย่อยกระดูกเป็นผุยผง"

"ช่างร้ายกาจยิ่งนัก หากไม่มีแม่นางเอี้ยวเซียวมาด้วย เห็นทีข้าพเจ้ากับแม่นางเยี่ยนผิงคงต้องย่ำแย่ไม่อาจเอาชีวิตรอดอย่างแน่นอน" จ่านจือกล่าวขึ้นเมื่อเอี้ยวเซียวอธิบายวิธีการฝ่าค่ายกลชั้นที่สองจบลง

"วิธีการลึกล้ำเช่นนี้ คงมิใช่บิดาท่านเป็นผู้คิดค้นเป็นแน่ แม่นางเอี้ยวพอจะบอกกล่าวได้หรือไม่? ว่าเป็นผู้ใดคิดค้นค่ายกลร้ายกาจนี้ขึ้นมา" เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวถามเอี้ยวเซียว

"ถูกต้องมิใช่มันสมองของบิดาข้าพเจ้า แต่เป็นยอดยุทธ์หญิงท่านนั้นทิ้งเอาไว้ เมื่อบิดาศึกษาทำความเข้าใจจึงจัดสร้างค่ายกลนี้ขึ้นมา ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองคิดจะลองฝ่าค่ายกลไหมหยกจำศีลดูด้วยตัวเองหรือไม่?" เอี้ยวเซียวกล่าวตอบ แล้วเอ่ยถามจ่านจือกับเยี่ยนผิงว่า คิดจะลองฝ่าค่ายกลไหมหยกจำศีลด้วยตัวเองหรือไม่

"จ่านจือ ท่านคิดว่าเช่นไร? จะลองคำนวณดูตามที่แม่นางเอี้ยวอธิบายดูหรือไม่?" เยี่ยนผิงหันมากล่าวถามต่อจ่านจือ

"ค่ายกลไหมหยกจำศีลร้ายกาจยิ่งนัก แต่กลับท้าทายต่อข้าพเจ้าไม่น้อย ดังนั้นขอข้าพเจ้าทดลองดูสักครั้งคงไม่สร้างความอับอายขายหน้าสักเท่าไหร่นัก" จ่านจือส่งเสียงตอบเยี่ยนผิง

"เช่นนั้นเชิญท่านทดลองดู" เอี้ยวเซียวผายมือต่อจ่านจือแล้วกล่าวคำให้เขาทดลองดู

จ่านจือไม่รอช้า ผลักสองฝ่ามือออก ก่อเกิดเป็นคลื่นลมพัดพาเศษใบไม้ตรงหน้าออก เหลือเป็นพื้นดินราบเรียบที่หนึ่ง จากนั้นเขาใช้เท้าขีดวาดเส้นขึ้น จากซ้ายไปขวา หน้าไปหลัง ล่างขึ้นบน บางครั้งกระโดดตีลังกาไปมาท่วงท่าสง่างดงามยิ่งนัก พริบตาเดียวพื้นดินตรงหน้าปรากฏช่องสี่เหลี่ยมเท่ากันรวมแปดสิบเอ็ดช่อง เมื่อทิ้งตัวลงด้านนอกช่องที่วาดเสร็จ เยี่ยนผิงส่งเสียงขึ้นว่า

จ่านจือ ท่านร้ายกาจยิ่งนัก ข้าพเจ้ายังไม่อาจขีดช่องแปดสิบเอ็ดช่องเท่ากันได้ภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ นับว่าท่านคำนวณได้แม่นยำยิ่งนัก ข้าพเจ้าเก็บก่อนหินให้แก่ท่านแล้ว รวมทั้งหมดสี่สิบห้าก้อน เชิญท่านทดลองดู"

"ขอบคุณเยี่ยนผิง แสดงว่าท่านก็คำนวณแม่นยำเช่นกัน จึงทราบว่าข้าพเจ้าจะต้องใช้ก้อนหินสี่สิบห้าก้อน เช่นนั้นข้าพเจ้าขอเริ่มเลยก็แล้วกัน"

กล่าวจบจ่านจือหยิบก้อนหินซึ่งเยี่ยนผิงเก็บไว้ให้แก่เขาขึ้นมา แล้วส่งเสียงกล่าวขึ้นกับตัวเองว่า

"สามช่องรวมแล้วต้องเท่ากับสิบห้า ใช้จำนวนหนึ่งถึงเก้าไม่ให้ซ้ำกัน  มีทั้งหมดเก้าจำนวน หากนับจากจำนวนหนึ่งขึ้นไป จำนวนตรงกลางคือห้า นับจากจำนวนเก้าลงมาจำนวนตรงกลางคือห้าเช่นกัน ดังนั้นข้าพเจ้าจะใช้จำนวนห้าในช่องตรงกลางก็แล้วกัน"

เมื่อกล่าวกับตัวเองจบ จ่านจือดีดก้อนหินออกไปห้าก้อนใส่ลงตรงกลางช่องของเก้าช่องแรกทันที จากนั้นใช้สมองครุ่นคิดคำนวณ แล้วส่งเสียงกล่าวขึ้นพร้อมกับดีดก้อนหินออกไปอีกหนึ่งก้อน

"ด้านหน้าเป็นทิศเหนือทดลองใส่จำนวนหนึ่งรวมเป็นหก ด้านหลังเป็นทิศใต้ขาดอีกเก้าครบสิบห้า" จ่านจือดีดก้อนหินออกไปอีกเก้าก้อน

"ขวามือเป็นทิศตะวันออกข้าพเจ้าจะทดลองใส่จำนวนเจ็ด เมื่อรวมกับจำนวนห้าได้สิบสองขาดอีกสาม ดังนั้นซ้ายมือเป็นทิศตะวันตกใส่จำนวนสาม" จ่านจือดีดก้อนหินออกไปอีกสิบก้อน ขวาเจ็ดซ้ายสาม”

"ยังขาดอีกสี่ช่อง จ่านจือท่านพยายามเข้า ข้าพเจ้ากับแม่นางเอี้ยวเอาใจช่วย" เยี่ยนผิงส่งเสียงสนับสนุนเอาใจ เอี้ยวเซียวนางเองก็แสดงท่าทีเอาใจช่วยจ่านจือด้วยเช่นกัน

"เหลืออีกเพียงสี่ช่อง ทิศตะวันตกเฉียงเหนือข้าพเจ้าใส่จำนวนแปด เมื่อรวมกับจำนวนห้าเท่ากับสิบสามยังขาดอยู่อีกสอง เช่นนั้นจำนวนสองใส่ทิศตะวันออกเฉียงใต้"

"เหลืออีกเพียงสองช่อง" เอี้ยวเซียวส่งเสียงกล่าวขึ้นบ้าง

"ทิศตะวันออกเฉียงเหนือข้าพเจ้าใส่จำนวนหก เมื่อบวกกับห้าจะเท่ากับสิบเอ็ด ดังนั้นยังขาดอีกสี่ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ใส่สี่ ครบเก้าจำนวนโดยไม่ซ้ำกัน ขอเชิญแม่นางเอี้ยวท่านด้วยเยี่ยนผิง ลองคำนวณดูสิว่าสามช่องรวมกันได้เท่ากับสิบห้าหรือไม่?"

จ่านจือเมื่อดีดก้อนหินใส่ช่องสี่เหลี่ยมครบทั้งเก้าช่องแล้ว ส่งเสียงให้เยี่ยนผิงกับเอี้ยวเซียวลองคำนวณดูว่าถูกต้องหรือไม่? เยี่ยนผิงรีบวิ่งเข้ามาแล้วนับนิ้วคำนวณในแต่ละช่อง ปรากฏว่าสามช่องรวมกันเท่ากับสิบห้าพอดี ไม่ว่าจะรวมจากด้านไหนสามช่องก็เท่ากับสิบห้าเหมือนกัน จึงส่งเสียงกล่าวด้วยความยินดีว่า

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป