Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (ลำนำเทพธิดา)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

ลำนำเทพธิดา

  • 13/08/2565

ตอนที่ 32

ลำนำเทพธิดา

จ่านจือปฏิบัติตามความต้องการของสตรีผู้นั้นโดยมิกล้าขัดขืน ตั้งใจฟังคำสนทนาของสี่คนในสุสานร้างต่อว่าทั้งหมดจะกล่าววาจาใดต่อไป            

 "เรื่องราวเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าเล่าเมื่อครู่ เกี่ยวกับพรรคไผ่หลิวถูกมารน้อยถล่มย่อยยับ มิทราบว่าท่านทั้งสองได้ข่าวนี้แล้วหรือไม่?"            

ผู้กล่าววาจาคือยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว ในคำกล่าวมีชื่อพรรคไผ่หลิวซึ่งเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าเดินทางไปนั่นเอง แม้จ่านจือจะรู้สึกตกใจกับข่าวที่ได้ฟังจากคำสนทนาของคนทั้งสี่ แต่พยายามสำรวมกิริยาอาการมิแสดงปฏิกิริยาใด ๆออกไป จากนั้นหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ยกล่าวต่อว่า           

"ข้าเองได้ข่าวเช่นนี้มาเหมือนกัน ทราบว่าผู้ที่ลงมือเป็นมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง คาดไม่ถึงมารน้อยผู้นี้อายุยังเยาว์กลับลงมือทำร้ายเจ้าสำนักฝ่ายธัมมะได้รวดเดียวสามสำนักด้วยกัน" พอกล่าวจบอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงกล่าวขึ้นบ้างว่า            

"ถูกต้องสามเจ้าสำนักฝ่ายธัมมะได้แก่ ประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กง เจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่ สุดท้ายเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า เท่าที่ข้าพเจ้ากับทุกท่านทราบมามารน้อยผู้นี้พลังฝีมือร้ายกาจสูงส่ง แต่ไม่ถึงกับสามารถสยบเจ้าสำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะคราวเดียวสามสำนักได้ ส่วนเจ้าสำนักทั้งสามนับว่ามีพลังฝีมือร้ายกาจล้ำลึกมิเป็นรองผู้ใด เหตุไฉนจึงถูกทำร้ายโดยมารน้อยรุ่นเยาว์เพียงผู้เดียวได้?"            

"เรื่องนี้ข้าพเจ้าตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินมิอาจทราบได้ แต่ที่ทราบศิษย์ของพรรคไผ่หลิวรวมร้อยสิบชีวิตตายภายใต้บทเพลงอสูรคร่าวิญญาณอย่างอนาถ ที่ยังคงหลงเหลือมีเพียงศิษย์เอกสามคนเท่านั้น ยังนับว่าพวกมันยังโชคดีที่ขอทานเฒ่าหวงเกาฉือเร่งรุดไปช่วยเหลือไว้ได้ทันท่วงที มิเช่นนั้นคนทั้งหมดคงตายสิ้นภายใต้ฝีมือของมารน้อยผู้นี้"            

ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินจำแนกเหตุการณ์ที่รับทราบให้กับทุกคนได้ฟัง สี่คนในสุสานร้างต่างกล่าวว่าข่าวที่ได้รับล้วนตรงกัน หลังจากนั้นหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ยกล่าวต่อว่า           

"แต่ที่แปลกประหลาดผู้ที่ออกคำสั่งต่อมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณ ให้ไปเอาชีวิตเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าคือหลิวซุ่นกงกงแห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้า มิทราบว่ามารน้อยผู้นี้มีส่วนเกี่ยวข้องใด?กับหมู่ตึกกระเรียนฟ้ากันแน่? ที่ผ่านมาสามสำนักใหญ่กับหมู่ตึกกระเรียนฟ้าล้วนให้ความร่วมมือช่วยเหลือกันมาโดยตลอด ไม่ทราบว่าด้วยสาเหตุใด? หลิวกงกงกับเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าจึงแตกคอกัน มารน้อยผู้นี้คล้ายทราบว่าเจ้าหุบเขามู่ชิวป้าเดินทางไปยังพรรคไผ่หลิว ดังนั้นจึงจัดขบวนด้วยเกี้ยวอันวิจิตรสวยงามเดินทางไปยังพรรคไผ่หลิว พอดีในเวลานั้นเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่อยู่ที่พรรคไผ่หลิวด้วย มารน้อยผู้นี้เลยคิดลงมือคราวเดียวเพื่อสร้างชื่อเสียงให้เลื่องลือ หรือว่าครั้งนี้สามสำนักใหญ่แตกคอกับหมู่ตึกกระเรียนฟ้า สาเหตุมาจากต้องการช่วงชิงเป็นผู้นำชาวยุทธ์ที่กำลังจะจัดขึ้นที่เส้าหลิน หากเป็นเช่นนี้จริงแสดงว่าครั้งนี้ราชสำนักต้องการมีส่วนปกครองบู๊ลิ้มด้วยเช่นกัน"            

ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วเมื่อได้ฟัง รีบกล่าวต่อทันทีว่า           

"หากเป็นเช่นนั้นย่อมประเสริฐ หากว่าราชสำนักแตกคอกับสามสำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะ เท่ากับว่าหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเป็นพวกเดียวกับฝ่ายเราแล้ว เท่ากับเพิ่มยอดฝีมือของราชสำนักมาอีกหลายคน เรื่องที่ฝ่ายมารอธรรมจะปกครองบู๊ลิ้มคงมิใช่เรื่องยากอีกต่อไป"            

จ่านจือเมื่อได้ฟังรู้สึกตกใจไม่น้อย มิทราบว่าป่านนี้พี่สาวทั้งสองของเขาได้ข่าวเรื่องนี้แล้วหรือไม่? หากนางทั้งสองทราบเรื่องที่อาจารย์ของนางถูกทำร้ายอาการสาหัส พี่สาวทั้งสองจะรู้สึกเช่นไร? แต่ยังโชคดีที่ท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือไปช่วยเหลือคนที่เหลือไว้ได้ทันเวลา หากได้ยาถอนพิษแล้วเขาจะรีบเดินทางกลับดอยตะวันโดยเร็ว เพื่อแจ้งข่าวเรื่องนี้ให้พี่สาวทั้งสองของเขาได้รับทราบ           

เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามจะถึงเวลานัดหมายกับเหยาจิ้งเฟย จ่านจือจึงนึกหาวิธีที่จะจากไปโดยไม่ทำให้คนด้านในและสตรีผู้ซึ่งเป็นปริศนารู้ตัว  แต่การที่จะจากไปนั้นในตอนนี้คิดว่าไม่ง่ายดาย แต่ทว่าชีวิตของขอทานนับพันชีวิตฝากไว้กับเขา ถึงเช่นไรต้องหาวิธีสลัดจากคนเหล่านี้ไปให้จงได้            

จ่านจือเมื่อตัดสินใจไม่คิดให้มากความ ลอบโคจรพลังลมปราณโดยไร้เสียง ใช้ท่าที่เก้าในวิชาดาวดึงส์นามย้ายเดือนดับตะวันผันจักรวาล เป้าหมายคือก้อนหินก้อนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆกับสี่คนภายในสุสานร้าง เมื่อแผ่พุ่งพลังไปยังก้อนหินแล้วเหนี่ยวนำหินก้อนนั้น ทิศทางพุ่งตรงไปยังตำแหน่งที่คนชุดขาวซุ่มกายอยู่ด้วยระดับความเร็วสุดบรรยาย            

สี่คนภายในสุสานร้างกำลังสนทนากันคิดว่าด้านนอกมิมีผู้ใด เมื่อได้ยินเสียงและเห็นก้อนหินก้อนหนึ่งพุ่งผ่านรอยแตกของผนังสุสานออกไป ด้วยประสบการณ์โชกโชนคนทั้งสี่ทราบได้ทันทีว่าถูกผู้หนึ่งผู้ใดใช้พลังรั้งดึงก้อนหินนั้นออกไป นั่นย่อมแสดงว่าผู้ที่ลงมือต้องเป็นยอดคนวิทยายุทธ์บรรลุขอบขั้นอันน่ากลัวแล้ว คนทั้งสี่มิรอช้ารีบพุ่งร่างติดตามหินก้อนนั้นออกมาโดยพร้อมเพรียง ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วซึ่งอยู่ตำแหน่งด้านหน้าสุดยกฝ่ามือกดกระแทกเข้าใส่ผนังศิลาตรงหน้าเต็มแรง ส่งผลให้ผนังสุสานแตกกระจายพังทลายลงมาทั้งแถบ            

ด้านคนชุดขาวซึ่งแอบซุ่มอยู่เห็นก้อนหินพุ่งเข้าใส่อย่างเร่งร้อน อีกทั้งยังเห็นสี่คนด้านในพุ่งตรงเข้ามายังตำแหน่งที่ตนใช้ซ่อนกาย รีบสะบัดฝ่ามือคล้ายมิมีเรื่องราวใดเกิดขึ้น ผลปรากฏว่าหินก้อนนั้นแตกละเอียดไม่เหลือเศษชิ้น ชุดขาวผู้นั้นหันขวับมาทางด้านจ่านจือพร้อมกับร่ำร้องในใจว่า            

"เด็กน้อยอันร้ายกาจเก็บงำซ่อนประกายได้มิดชิดนัก นึกไม่ถึงว่าจะใช้ลูกไม้นี้มาเล่นงานข้าพเจ้า ฝากเอาไว้ก่อนเถิดแล้วข้าพเจ้านางชีเทวราชชิ้วโส่ว จะติดตามไปคิดบัญชีครั้งนี้ต่อท่านในภายหลัง"            

ทางด้านจ่านจือมิมีเวลาใส่ใจต่อสิ่งใด รีบฉกฉวยโอกาสทะยานร่างทิ้งห่างจากสุสานร้างมาไกลโขจึงหยุดร่างลง จากนั้นใช้วิชาส่งคลื่นเสียงไกลหมื่นลี้ส่งเสียงกลับไปยังคนชุดขาวว่า            

"ข้าพเจ้าจ่านจือขออภัยต่อท่านอาวุโสที่ต้องใช้วิธีการสกปรกเช่นนี้ แม้ข้าพเจ้าจะยังมิทราบว่าท่านอาวุโสเป็นผู้ใด? แต่ข้าพเจ้าสัญญาว่าวันหน้าจะต้องไปขอขมาต่อหน้าท่านอย่างแน่นอน ค่ำคืนนี้ข้าพเจ้ามีธุระจำเป็นต้องไปช่วยเหลือคนนับพันชีวิต จึงมิอาจชักช้าเสียเวลาอยู่ขอขมาต่อท่านอาวุโสได้ ดังนั้นข้าพเจ้าจ่านจือขออำลา"           

กล่าวจบรีบพุ่งร่างจากไปจุดหมายคือศาลาชมจันทร์ทางทิศตะวันตก หลังจากใช้เวลาเดินทางอีกราวครึ่งชั่วยาม จ่านจือบรรลุใกล้ถึงศาลาชมจันทร์อันเป็นสถานที่นัดหมายไว้กับเหยาจิ้งเฟย เวลานี้ยังไม่สว่างมองเห็นศาลาชมจันทร์อยู่ห่างเลือนลางออกไปราวห้าสิบวา            

เมื่อเห็นว่าระยะทางจวนเข้าใกล้จ่านจือรีบหยุดเท้าลง พอมองออกไปภายในศาลาชมจันทร์จุดโคมไฟสีเหลืองนวลตาส่องแสงเรืองรองสว่างไสว ภายในศาลาตั้งโต๊ะเตี้ยหนึ่งตัวบนโต๊ะเตี้ยจัดวางป้านสุราพร้อมถ้วยสำหรับรินสุรา กลางโต๊ะเตี้ยจัดวางจานอาหารสี่ห้าอย่าง พร้อมกันนั้นสองฟากข้างยังจัดวางเก้าอี้อีกสองตัวด้วยกัน            

จ่านจือเร่งฝีเท้าเข้าไปใกล้ ๆห่างจากตัวศาลาราวสิบวา ภายในศาลาชมจันทร์นอกจากโต๊ะเก้าอี้อาหารและสุราแล้ว บนเก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งหันหลังให้กับเขานั่งอยู่ด้วยดรุณีปล่อยผมยาวสลวยผู้หนึ่งสวมชุดยาวสีขาวบริสุทธิ์ ภายใต้แสงโคมไฟสีเหลืองนวลยิ่งขับเน้นชุดขาวให้สว่างเจิดจ้า มองจากด้านหลังคล้ายดั่งเทพธิดาพลัดหลงลงมาจากสรวงสวรรค์มิปาน            

จ่านจือตะลึงงันต่อความงามของดรุณีผู้นั้นอย่างลืมตัวแม้ว่าจะเห็นเพียงด้านหลังก็ตามที ไหล่สองข้างของดรุณีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยกเชิดขึ้นเล็กน้อย แขนสองข้างวางแนบชิดติดกับลำตัวสองมือวางอยู่บนตักด้านหน้าซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ จ่านจือเอียงตัวมองตรงไปด้านข้างเห็นลำคอยาวระหงเนียนขาวราวกับหยวก เส้นผมยาวสลวยดำขลับเป็นเงางาม เส้นผมบางส่วนถูกเกล้ารวบปักแซมด้วยดอกไม้ส่งกลิ่นหอมระรื่นชื่นใจ บางส่วนถักเป็นเปียน้อย ๆหลายเส้นจัดแต่งด้วยริบบิ้นสีสดใส แม้จะยังมิทันได้เห็นใบหน้าของดรุณีนางนั้น แต่เขาบอกกับตัวเองว่าดรุณีตรงหน้าช่างงดงามเสียเหลือเกิน            

จ่านจือเผลอลืมตัวอย่างหลงใหลสูดหายใจเอากลิ่นหอมยวนใจอ่อน ๆเข้าไป โดยที่เขาเองมิเคยได้กลิ่นหอมชนิดนี้จากที่ไหนมาก่อน พอดีดรุณีผู้นั้นส่งเสียงเอื้อนเอ่ยบทกลอนขึ้นมาเบา ๆเขาจึงได้สติกลับคืนมา ดรุณีนางนั้นเอื้อนเอ่ยว่า             

"พบกันเพียงครั้งยากนักหักห้ามจิต วันคืนเฝ้าคิดติดตามหามิเว้นว่าง มีบางครั้งอ้างว้างโดดเดี่ยวลำพัง ได้เพียงหวังพบหน้าท่าน..."            

เสียงเอื้อนเอ่ยบทกลอนหยุดชะงักลงกลางคัน เมื่อจ่านจือเดินเข้าใกล้ห่างราวสามสี่ก้าว เขาเมื่อรู้ตัวว่ารบกวนดรุณีนางนั้นเข้าให้แล้ว พอได้ยินนางชะงักเสียงลงในใจต้องการให้นางเอื้อนเอ่ยบทกลอนต่อ จ่านจือมีความรู้สึกว่าน้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยช่างเสนาะไพเราะยิ่งนักยากหาสิ่งใดเปรียบเปรย เมื่อเห็นดรุณีนางนั้นเงียบเสียงลงทราบว่านางคงรู้ตัวแล้วว่ามีคนเข้ามาในศาลา เวลานี้ยังไม่ถึงเวลานัดหมายอีกทั้งยังไม่เห็นเหยาจิ้งเฟยผู้นั้น เขาจึงส่งเสียงด้วยความนอบน้อมกล่าวถามขึ้นว่า            

"ขออภัยที่ข้าพเจ้าเข้ามาขัดจังหวะการลำนำบทกลอนของแม่นาง ข้าพเจ้ามีนามว่าจ่านจือขอชมจากใจจริง บทกลอนและน้ำเสียงของแม่นางช่างไพเราะนัก ข้าพเจ้าเพียงต้องการสอบถามสักสองสามประโยค มิทราบว่าจะเป็นการรบกวนแม่นางหรือไม่?"            

"ท่านคิดจะสอบถามสิ่งใด? จงรีบกล่าวมาข้าพเจ้าไม่มีเวลาสนทนากับผู้ใดนัก" ดรุณีนางนั้นตอบกลับมาโดยมิได้หันมามองแต่อย่างใด            

"ข้าพเจ้านัดหมายกับบุรุษผู้หนึ่งนามเหยาจิ้งเฟยที่ศาลาชมจันทร์แห่งนี้ นี่จวนใกล้เวลานัดหมายแล้ว มิทราบว่าแม่นางอยู่ที่นี่พบเห็นบุรุษใดหรือไม่?" จ่านจือกล่าวถามว่าพบเห็นบุรุษใดผ่านมาบริเวณนี้บ้างหรือไม่? ดรุณีนางนั้นส่งเสียงตอบกลับมาว่า            

"ข้าพเจ้ามิพบเห็นบุรุษที่ท่านกล่าวถึงมาก่อน ข้าพเจ้าเองนัดหมายกับบุรุษผู้หนึ่งที่ศาลาชมจันทร์แห่งนี้เช่นกัน นี่จวนได้เวลาที่ได้นัดหมายเอาไว้แล้ว เห็นทีคนที่ท่านนัดหมายคงไม่มาตามที่ตกลงไว้แล้วกระมัง? และที่สำคัญสถานที่แห่งนี้ข้าพเจ้าได้จับจองเอาไว้ก่อนแล้ว เห็นทีท่านคงมาผิดสถานที่แล้วกระมัง?"            

ดรุณีนางนั้นส่งเสียงราบเรียบในน้ำเสียงแฝงความนุ่มนวลอยู่เจ็ดแปดส่วน หาได้มีอารมณ์ฉุนเฉียวดั่งวาจาไม่? จ่านจือพอรับฟังถึงกับอับจนคำพูดแต่ยังมั่นใจว่าอาผิงผู้นั้นคงมิได้หลวงลวงตน ดังนั้นส่งเสียงยืนยันต่อดรุณีนางนั้นว่า            

"ข้าพเจ้ามั่นใจว่าคนผู้นั้นมิได้หลอกลวงข้าพเจ้า ถึงแม้พฤติกรรมของเขาจะดูชั่วร้ายไม่ถูกต้องอยู่บ้าง แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าแท้จริงคนผู้นั้นมิได้มีจิตใจอำมหิตเช่นการกระทำ ศาลาชมจันทร์แห่งนี้คือสถานที่นัดหมายข้าพเจ้ามาไม่ผิดอย่างแน่นอน อาจเป็นเพราะข้าพเจ้าเดินทางมาเร็วไป ในเมื่อแม่นางไม่พบเห็นผู้ใดข้าพเจ้าไม่รบกวนแล้ว ขอบคุณแม่นางที่สละเวลาตอบคำถาม เช่นนั้นข้าพเจ้าขอตัวไปเดินเล่นบริเวณนี้ หากบุรุษผู้นั้นมาถามหาข้าพเจ้ารบกวนแม่นางช่วยบอกกับเขาที ว่าข้าพเจ้าจ่านจือมาถึงแล้วและรอคอยอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ เชิญแม่นางใช้สถานที่เถอะข้าพเจ้าไม่รบกวนแล้ว"            

จ่านจือกล่าวจบหันหลังทำท่าจะก้าวเท้าจากไป ดรุณีนางรีบส่งเสียงกล่าวถามเขาขึ้นก่อนว่า            

"ท่านบอกว่าคนผู้นั้นมิได้อำมหิตชั่วร้ายท่านทราบได้เช่นไร? บางทีคนผู้นั้นอาจเล่นละครหลอกลวงท่านอาจเป็นได้ ท่านจงรีบบอกกล่าวออกมาให้ข้าพเจ้าได้รับทราบ ว่าไฉนท่านจึงคิดว่าบุรุษผู้นั้นแท้จริงมิได้ชั่วร้ายอำมหิต มิเช่นนั้นข้าพเจ้าจะไม่เป็นธุระบอกกล่าววาจากับคนผู้นั้นให้กับท่าน"            

จ่านจือพอฟังนางถามจบกล่าวตอบไปตามความรู้สึกจากใจจริง ดรุณีนางนั้นรับฟังคำตอบของเขาโดยมิได้หันมามองแม้แต่น้อย            

"ข้าพเจ้าเองอธิบายไม่ถูกเช่นกันว่าเพราะเหตุใด? แต่ข้าพเจ้ามั่นใจว่าคนผู้นั้นมิได้อำมหิตเช่นพฤติกรรม เอาเป็นว่าข้าพเจ้ารู้สึกเช่นนั้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเจอกับเขา ข้าพเจ้าเคยได้รับความช่วยเหลือจากคนผู้นั้นหนหนึ่ง นับว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณต่อข้าพเจ้ามิอาจลืมเลือน ตั้งแต่วันนั้นกระทั่งบัดนี้ข้าพเจ้ายังจดจำดวงตาคู่นั้นไว้มิเสื่อมคลาย ข้าพเจ้าบอกกล่าวต่อแม่นางได้เพียงเท่านี้"            

พอจ่านจือกล่าวจบดรุณีนางนั้นเงียบเสียงไปชั่วขณะ คล้ายกับกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ในใจกระนั้น? จากนั้นจึงเอื้อนเอ่ยวาจาต่อเขาว่า            

"หากเป็นเช่นนั้นข้าอนุญาตให้เจ้าอยู่ที่นี่ได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องนั่งดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าพเจ้า ท่านจะว่าเช่นไร?"            

ตั้งแต่เกิดมาจ่านจือไม่เคยดื่มสุรามาก่อน พอได้ยินข้อแม้ของนางจึงรีบกล่าวตอบไปว่า            

"ข้าพเจ้าต้องขออภัยต่อแม่นางยิ่งนัก ข้าพเจ้าจ่านจือเรียนบอกตามตรงต่อแม่นางโดยไม่กลัวอับอายขายหน้า ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งบัดนี้ข้าพเจ้ามิเคยแตะต้องสัมผัสแม้แต่คราเดียว หากจะให้นั่งเป็นเพื่อนแม่นางข้าพเจ้าย่อมกระทำได้ไม่ยากนัก แต่ถ้าจะให้ร่วมดื่มสุราเป็นเพื่อนเห็นทีข้าพเจ้าคงไม่มีความสามารถ"            

เมื่อจ่านจือกล่าววาจาจบลงดรุณีนางนั้นปล่อยเสียงหัวร่อคิกคักออกมาโดยระงับไว้ไม่อยู่ พร้อมกับกล่าววาจาปนเสียงหัวร่อต่อเขาว่า            

"เชิญท่านนั่งลงก่อนเถิด สนทนากันมาตั้งนานท่านไม่คิดจะให้ข้าพเจ้าได้เห็นหน้าท่านบ้างเชียวรึ? และท่านไม่คิดที่จะดูว่าข้าพเจ้ามีหน้าตาเช่นไรกระนั้นหรือ? รีบมานั่งลงเร็วเข้าเดี๋ยวข้าพเจ้าจะเป็นผู้สอนให้ท่านดื่มสุราเอง ข้าพเจ้าเตรียมสุราชั้นดีอายุหลายร้อยปีเอาไว้รสชาตินุ่มลิ้นชุ่มคอยิ่งนัก ท่านเป็นบุรุษคนแรกที่ข้าพเจ้ารินสุราให้ดื่มทราบหรือไม่?"            

จ่านจือกระทำสิ่งใดมิถูกรู้สึกประหม่าใบหน้าร้อนผ่าวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ในเวลานี้ร่างเขาอยู่ห่างจากดรุณีนางนั้นไม่ถึงสองก้าว ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งได้กลิ่นหอมระรื่นชื่นใจโชยมาจากกายของดรุณีนางนั้น ยิ่งเพิ่มความประหม่าให้กับเขาเพิ่มขึ้นทวีคูณ เมื่อเห็นเช่นนั้นดรุณีตรงหน้าซึ่งหันหลังให้กับเขากระชากเสียงว่า            

"เจ้าทึ่มข้าพเจ้าเรียกให้มานั่งท่านจงรีบมานั่ง มัวแต่ยืนทื่อเป็นท่อนไม้ไม่ขยับ หรือว่าท่านมิได้นำก้นติดตัวมาด้วย? หรือต้องให้ข้าพเจ้าลงไม้ลงมือเสียก่อนท่านจึงจะยอมมานั่ง เร็วเข้าอย่ามัวชักช้ารีบนั่งลงเดี๋ยวนี้"            

วาจาที่เรียกออกมาว่าเจ้าทึ่มที่ดรุณีนางนั้นตะคอกออกมา เหมือนเสียงสวรรค์สำหรับจ่านจือ คำนี้มิใช่บุรุษชื่ออาผิงผู้นั้นใช้เรียกหาตนหรอกรึ? หรือว่าค่ำคืนนี้บุรุษผู้นี้คิดจะเล่นลูกไม้กระไรอีก?  ในความคิดของจ่านจือขณะนี้กลับคิดว่าอาผิงผู้นี้หรืออีกชื่อหนึ่งคือเหยาจิ้งเฟยคิดจะเล่นลวดลายกระไรอีก? ถึงกับแต่งกายเป็นสตรีมาก่อกวนตนให้สับสนวุ่นวายใจเล่น จ่านจือผู้เฉลียวฉลาดปราดเปรื่องบัดนี้คิดสิ่งใดมิออก ได้แต่เคลื่อนกายเข้าไปแล้วค่อย ๆนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับดรุณีนางนั้น            

เมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้วจ่านจือมิกล้าแม้แต่จะสบตาหรือมองหน้าดรุณีนางนั้น ได้แต่นั่งก้มหน้ามิกล้ากล่าววาจาใด? ดรุณีนางนั้นรีบรินสุราจากป้านทองเหลืองลงถ้วย พร้อมกับยื่นส่งมาตรงหน้าของเขา จ่านจือมองดูน้ำสุราใสบริสุทธิ์ภายในถ้วยซึ่งแกะวาดลวดลายสวยงามหาดูได้ยากยิ่ง เขาเห็นมือน้อย ๆอันขาวเนียนผุดผ่องนิ้วมืออันเรียวสวยผุดผาดบรรจงประคองถ้วยสุรายื่นส่งให้ จ่านจืออดที่จะรู้สึกประหม่าขึ้นมาอีกมิได้ ปกติเขาเองที่ผ่านมาคลุกคลีกับสตรีซึ่งเป็นพี่สาวทั้งสอง ยังมิเคยรู้สึกขวยเขินประหม่าเช่นนี้มาก่อน กระทั่งดรุณีนางนั้นส่งเสียงเอื้อนเอ่ยขึ้นว่า            

"เจ้าทึ่มสุราในถ้วยมีอันใดน่ามอง? ตั้งแต่ท่านนั่งลงยังไม่เห็นมองหน้าหรือสบตาข้าพเจ้าสักคราเดียว หรือว่าท่านนอกจากทึ่มโง่เง่าแล้วยังขี้อายเป็นอิสตรีอีกด้วย? หากท่านยังไม่มองหน้าข้าพเจ้าแล้วท่านจะทราบได้เช่นไร? ว่าแท้จริงแล้วข้าพเจ้าคือผู้ใด?"             

จ่านจือรวบรวมความกล้าค่อย ๆเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของดรุณีตรงหน้านางนั้น สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของทำเอาใจสั่นสะท้านปานสายฟ้าฟาดใส่ จ่านจือบรรยายความรู้สึกของเขาในขณะนี้ออกมามิได้ ใบหน้าของดรุณีนางนั้นที่นั่งอยู่ตรงหน้า จ่านจือน้ำเสียงสั่นระรัวส่งเสียงทักทายว่า            

"ทะ...ท่าน...ท่านเหยาจิ้งเฟย...อาผิง...เป็น... เป็นท่าน?"            

"เป็นข้าพเจ้าแล้วเป็นเช่นไร? มีสิ่งใดน่าตระหนกตกใจถึงเพียงนั้น? ดูท่านสิมองข้าพเจ้าเหมือนพบเห็นภูติผีปีศาจกระนั้น? ข้าพเจ้ามีสิ่งใดแปลกประหลาดมิเหมือนคนทั่วไปเช่นนั้นรึ?"            

จ่านจือรวบรวมสติแล้วกล่าวตอบไปว่า            

"มิมีสิ่งใดแปลกประหลาดแม้แต่น้อย เพียงแต่ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจเสียมากกว่า ที่แท้อาผิงท่านเป็นสตรีไฉนที่ผ่านมาท่านจึง?..."            

"เจ้าทึ่มหรือว่าที่ผ่านมาท่านดูไม่ออกจริง ๆว่าแท้จริงข้าพเจ้าเป็นสตรีหาใช่บุรุษไม่? หากท่านดูไม่ออกเช่นนั้นจริง ข้าพเจ้าเรียกชื่อท่านว่าเจ้าทึ่มนับว่าสมควรแล้ว"            

จ่านจือพูดกระไรไม่ออกบอกความรู้สึกตนเองมิได้ ดรุณีที่นั่งอยู่ตรงหน้าคืออาผิงหรือเหยาจิ้งเฟยมิผิดตัว แต่ทว่าหาใช่บุรุษที่จ่านจือเคยรู้จักไม่? บัดนี้อาผิงตรงหน้าคือดรุณีสะคราญโฉมงดงามปานเทพธิดาลงมาจากสรวงสวรรค์ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิมมิเปลี่ยนไปแต่กลับทวีความเจ้าเล่ห์เพิ่มขึ้นอย่างร้ายกาจ นั่นคือดวงตากลมโตแวววาวเจ้าเล่ห์คู่นั้นนั่นเอง"            

"เจ้าทึ่มสุราถ้วยนี้ข้าพเจ้ารินให้กับท่าน รีบดื่มลงไปเดี๋ยวจะจืดชืดเสียรสชาติหมด ดื่มสุราถ้วยนี้หมดแล้วค่อยสนทนากันต่อ ท่านจะว่าเช่นไร?"            

จ่านจือแม้ใจไม่กล้าเท่าใดนัก แต่รีบเอื้อมรับถ้วยสุราจากมือขาวผุดผ่องของนาง โดยมิได้ตั้งใจจ่านจือสัมผัสถูกผิวหนังของนางบริเวณนิ้วมือ รู้สึกถึงความนุ่มนิ่มเรียบลื่นอยากบอกไม่ถูก กลิ่นของสุราหอมโชยแตะจมูกของจ่านจือนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ลิ้มลองรสชาติของสุรา จ่านจือยกถ้วยสุราขึ้นจ่อริมฝีปากแล้วค่อย ๆประคองถ้วยส่งน้ำสุราเข้าปาก พอน้ำสุราแตะปลายลิ้นรู้สึกคล้ายดั่งก้อนถ่านแดง ๆถูกคีบมาวางไว้บนลิ้น ความร้อนรุนแรงแทบเผาไหม้ไปทั้งปากไหลวูบผ่านปลายลิ้นมายังโคนลิ้นอย่างรวดเร็ว แล้วไหลผ่านลำคอลงไปอย่างทรมานถึงที่สุด รู้สึกขมอย่างบอกไม่ถูกความร้อนคล้ายดั่งจะเผาไหม้ลำไส้ให้ละลายหายไปมิปาน            

ดรุณีนางนั้นยกมือป้องปากหัวร่อคิกเมื่อเห็นใบหน้าของจ่านจือบิดเบี้ยวไปมายามกลืนน้ำสุราลงไป ซึ่งอาการทั้งหมดล้วนมิได้เสแสร้งแกล้งทำแต่ประการใด เมื่อเงียบเสียงหัวร่อแล้วนางกล่าวขึ้นว่า           

"ถ้วยแรกที่ท่านดื่มกินมันลงไป ท่านจะมีความรู้สึกร้อนดุจถูกนาบด้วยถ่านแดง ๆและรสชาติขมดั่งอมบอระเพ็ดไว้ใต้ลิ้น แต่หากท่านได้ดื่มถ้วยต่อไปจะรู้สึกอุ่นลงและรสชาติหวานนุ่มชุ่มลิ้นยิ่งนัก ส่งถ้วยมาเร็วเข้าข้าพเจ้าจะรินสุราให้กับท่าน"            

จ่านจือรีบส่งถ้วยสุราให้กับนาง ดรุณีสะคราญโฉมนางนั้นบรรจงรินสุราซึ่งบรรจุอยู่ในป้านทองเหลืองลงถ้วยพร้อมกับยื่นส่งให้กับเขา จ่านจือรับถ้วยสุรามาพร้อมกับดื่มลงไปเป็นถ้วยที่สองแต่คราวนี้กลับไม่รู้สึกร้อนเหมือนในตอนแรก แถมรสชาติยังหวานนุ่มชุ่มลิ้นอย่างที่อาผิงกล่าวเมื่อครู่ เมื่อดื่มสุราหมดถ้วยที่สองแล้วเขาวางถ้วยสุราลง พร้อมกับกล่าวว่า          

"ขอบคุณท่านสำหรับสุราที่รินให้ ข้าพเจ้าจ่านจือมาตามนัดหมายที่ท่านได้กล่าวเอาไว้ที่ดอยตะวัน มิทราบว่า..." ก่อนที่จ่านจือจะกล่าววาจาจบดรุณีนางนั้นชิงกล่าวสอดขึ้นมาก่อนว่า            

"ท่าน ท่านอะไรกัน? ข้าพเจ้ามิได้อาวุโสจนต้องถูกเรียกหาเช่นนั้น ต่อไปท่านจงเรียกข้าพเจ้าว่าเยี่ยนผิง แท้จริงแล้วข้าพเจ้าแซ่เหยาชื่อเยี่ยนผิง ข้าพเจ้าเป็นบุตรีของนางมารเยือกเย็นเจ้าสำนักมารสวรรค์  ตอนนี้ท่านนั่งดื่มกินเป็นเพื่อนข้าพเจ้าส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากล่าวในภายหลัง เหลือเวลาอีกหลายชั่วยามท่านมิต้องกลัวว่าพวกขอทานเหล่านั้นจะชิงลาโลกไปก่อน ถึงเช่นไรพวกเขาคงอดทนรอท่านนำยาถอนพิษกลับไปช่วยเหลืออย่างแน่นอน"           

อาผิงผู้นั้นกล่าวแนะนำตัวต่อจ่านจือว่านางมีชื่อว่าเยี่ยนผิง และสั่งว่าต่อไปให้เขาเรียกชื่อนางเช่นนี้ จ่านจือเมื่อทราบชื่อแซ่ของดรุณีสะคราญโฉมว่าแท้จริงเป็นบุตรีของเจ้าสำนักมารสวรรค์ ซึ่งเขาได้ยินชื่อตอนที่เหยาจิ้งเฟยเอ่ยกล่าวตอนที่อยู่ดอยตะวัน จ่านจือเมื่อทราบว่านางเป็นคนของพรรคมาร ความรู้สึกของเขาย่อมเสียใจอยู่ไม่น้อยหากภายภาคหน้าเขาและนางจะต้องกลายมาเป็นศัตรูกัน ดังนั้นจึงส่งเสียงกล่าวตอบกลับไปว่า

"ข้าพเจ้าเพียงแต่เป็นห่วงพวกเขาเหล่านั้น แค่พวกเขาหมดสิ้นเรี่ยวแรงนับว่าทรมานมากแล้ว หากว่าข้าพเจ้าไม่ได้ยาถอนพิษกลับไปช่วยเหลือทันท่วงที ข้าพเจ้ามิกล้ามีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขสืบไป และคิดว่าจะต้องจมปลักอยู่ในความผิดพลาดครั้งนี้ไปตลอดชีวิต หากเป็นเช่นนั้นจริงข้าพเจ้าขอตายเสียจะประเสริฐกว่า"            

เยี่ยนผิงนั่งนิ่งเงียบงันเมื่อได้รับฟังคำพูดของจ่านจือ ความรู้สึกของนางรับรู้ได้ว่าบุรุษที่นั่งอยู่ตรงหน้าล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำใจโดยแท้ ตั้งแต่ออกท่องเที่ยวยุทธจักรมา ยากนักที่จะได้เจอะเจอบุรุษเยี่ยงเขา ถึงแม้ในใจจะยอมรับนับถือแต่ถึงเช่นไรนางยังคงเป็นบุตรีของนางมารเยือกเย็นโดยมิอาจปฏิเสธได้ ดังนั้นจึงกล่าววาจาขึ้นว่า            

"เอาเถอะ ข้าพเจ้าเยี่ยนผิงขอรับปากต่อท่านว่า ขอทานเหล่านั้นมิมีผู้ใดต้องเสียชีวิตอย่างแน่นอน แม้กระทั่งผู้เฒ่ารักษากฎทั้งสองข้าพเจ้าเองมิได้ตั้งใจทำร้ายหมายเอาชีวิต แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าสงสัยใคร่รู้คือ ท่านเดินทางมาด้วยวิธีใด? ถึงได้มาถึงรวดเร็วนักทั้งที่ท่านเองไม่มีวิทยายุทธ์ติดตัว หรือว่าที่ผ่านมาท่านแอบไปร่ำเรียนวิชากำลังภายในมาจากที่ใด?"            

เยี่ยนผิงกล่าววาจามาถึงตรงนี้พอดีจ่านจือฟุบหน้าลงกับโต๊ะหมดสติไป เยี่ยนผิงปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ เพ่งมองใบหน้าของเขาที่ฟุบตะแคงอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับส่งเสียงร้องเรียกขึ้นว่า            

"ท่านทั้งสามออกมาได้แล้ว"            

กล่าวจบสองมารฟ้าดินหม่าจิ้งเถากับต้าเอ่อคาและเฉาลู่ฟาง ต่างเดินออกมาจากมุมหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนักจากศาลาชมจันทร์ ทั้งสามเดินเข้ามาอย่างนอบน้อมพร้อมชำเลืองมองร่างของจ่านจือวูบหนึ่งซึ่งนอนฟุบหมดสติอยู่ พร้อมกับเฉาลู่ฟางส่งเสียงกล่าวถามเยี่ยนผิงขึ้นว่า            

"นายน้อย ท่านคิดจะกระทำเช่นไรต่อไป?"            

"ต้าเอ่อคา หม่าจิ้งเถาท่านทั้งสองเร่งรุดไปยังดอยตะวัน พร้อมกับนำยาถอนพิษไปช่วยถอนพิษให้กับพวกขอทานเหล่านั้น จำเอาไว้ว่าท่านทั้งสองต้องรักษาอาการให้ทุกคนหายสนิทก่อนแล้วค่อยเดินทางกลับมา แล้วอย่าลืมแจ้งต่อพวกเขาเหล่านั้นด้วยว่า ข้าพเจ้ามีงานที่ต้องให้เจ้าทึ่มไปกระทำเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับยาถอนพิษ เมื่อเสร็จสิ้นธุระแล้วจะส่งตัวกลับไปโดยไว แล้วเรื่องนี้ท่านทั้งสองโปรดปิดปากให้มิดชิด อย่าให้เรื่องนี้ทราบถึงหูมารดาของข้าพเจ้าเป็นอันขาด ท่านทั้งสองรวมทั้งเจ้าด้วยเฉาลู่ฟางเข้าใจหรือไม่?"            

ทั้งสามส่งเสียงรับคำโดยพร้อมเพรียงกันว่า            

"รับทราบแล้วนายน้อย พวกเราทั้งสามจะปิดปากมิดชิด ขอเพียงนายน้อยเอ่ยปากพวกเราทั้งสามจะปฏิบัติตามคำสั่งโดยเคร่งครัด"            

แล้วมารนภาหม่าจิ้งเถากับมารธุลีต้าเอ่อคา พากันประสานมือต่อเยี่ยนผิงแล้วกล่าวขึ้นพร้อมกันว่า            

"เช่นนั้นข้าพเจ้าทั้งสองจะออกเดินทางไปดอยตะวันเดี๋ยวนี้เลย เมื่อเสร็จสิ้นธุระแล้วข้าพเจ้าทั้งสองจะรีบเดินทางกลับมา ด้านนี้นายน้อยมีเฉาลู่ฟางอยู่ช่วยงานข้าพเจ้าทั้งสองย่อมเบาใจ นายน้อยโปรดถนอมตัวด้วย"            

กล่าวจบสองมารฟ้าดินพุ่งร่างจากไปอย่างรวดเร็ว คงเหลือไว้เพียงเยี่ยนผิงกับเฉาลู่ฟางและร่างที่หมดสติของจ่านจือ  เยี่ยนผิงออกคำสั่งต่อเฉาลู่ฟางว่า            

"เฉาลู่ฟางเจ้านำร่างของคนผู้นี้ไปแล้วค่อยดูแลปรนนิบัติเขาให้ดี หลังจากเขาได้สติฟื้นขึ้นมาให้พาเขาไปอาบน้ำชำระความสะอาดร่างกาย แล้วหาชุดใหม่ที่สะอาดมาให้เขาแต่งเนื้อแต่งตัวเสียด้วย หลังจากนั้นนำตัวเขาไปพบข้าในสวนเข้าใจหรือไม่?"            

"ข้าพเจ้าเฉาลู่ฟางรับทราบแล้ว จะรีบไปจัดการตามคำสั่งของนายน้อยทุกประการ" หลังจากนั้นเฉาลู่ฟางแบกร่างของจ่านจือจากไปก่อนที่ฟ้าจะสาง พร้อมกับเยี่ยนผิงพลิ้วร่างจากไปในความมืดมิดเฉกเช่นเดียวกัน

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป