Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (เผชิญหน้าโฉมสะคราญ)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

เผชิญหน้าโฉมสะคราญ

  • 13/08/2565

ตอนที่ 31

เผชิญหน้าโฉมสะคราญ

เมื่อสี่คนร้ายจากไปแล้วผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อ จ่านจือกับซื่อเหมี่ยนพร้อมทั้งอี้เซินทั้งหมดต่างกล่าวคำขอบคุณต่อเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย เมื่อทุกคนกล่าวแนะนำตัวทำความรู้จักกันทั่วถึงแล้วจึงพากันรีบลงมาดูผู้เฒ่ารักษากฎทั้งสอง ซึ่งในตอนนี้ผู้เฒ่าทั้งสองยังไม่ฟื้นคืนสติ ดังนั้นเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยใช้นิ้วจี้สำรวจตรวจจุดชีพจรของสองผู้เฒ่ารักษากฎทั้งสอง ผ่านไปครู่ใหญ่สองผู้เฒ่ารักษากฎทั้งสองเริ่มรู้สึกตัวและค่อย ๆ ลืมตาขึ้น            

เมื่อผู้เฒ่าโอ่วกับผู้เฒ่าลู่ลืมตาขึ้นเห็นเบื้องหน้ายืนอยู่ด้วยผู้เฒ่าลำดับดับเก้าทิกว่อ อีกทั้งยังมีคนที่ผู้เฒ่าทั้งสองมิรู้จักอีกหลายคน นอกจากนั้นเมื่อมองออกไปเห็นบรรดาขอทานนั่งหมดสิ้นเรี่ยวแรงอยู่กับพื้น บุคคลอื่นผู้รักษากฎทั้งสองยังมิยินดีเท่ากับได้เห็นหน้าผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อ ทั้งสองส่งเสียงเรียกเบา ๆ พร้อมกับสอดส่ายสายตาไปมา สุดท้ายสายตาหยุดนิ่งบนที่ว่างกลางเวที เมื่อมองมิเห็นผู้ใดผู้เฒ่าโอ่วจึงกล่าวถามขึ้นว่า            

"พวกมันทั้งสามเล่า?"            

ผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อจึงตอบกลับไปว่า            

"พวกมันมิใช่มีเพียงสามคนแต่มีถึงสี่คน ตอนนี้พวกมันทั้งหมดจากไปไกลแล้ว ท่านผู้เฒ่าทั้งสองรู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง? ข้าพเจ้าเองต้องขอโทษท่านทั้งสองรวมทั้งพี่น้องทั้งหลาย หากมิใช่เพราะข้าพเจ้าประมาทมิได้ระแวงสงสัยว่าภัยจะมาถึงตัว พวกท่านรวมถึงพี่น้องทุกคนคงมิต้องมาประสบชะตากรรมเช่นนี้ หากมิได้จอมยุทธ์น้อยทั้งสามรวมทั้งท่านเจ้าผากับศิษย์ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เห็นทีค่ำคืนนี้เหตุการณ์คงมิจบง่ายดายถึงเพียงนี้"            

เมื่อผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อกล่าวจบ สองผู้เฒ่ารักษากฎต่างสำรวจมองมายังทุกคน ที่ผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อกล่าวถึง สายตาสองผู้เฒ่ารักษากฎแสดงถึงความขอบคุณแก่บุคคลทั้งหมด แล้วผู้เฒ่าลู่จึงกล่าวขึ้นว่า            

"ความจริงแล้วข้าพเจ้าผู้เฒ่าลู่คงมิอาจมีชีวิตรอด หากมิใช่คนผู้ที่ลงมือต่อข้าพเจ้ารั้งดึงพลังบางส่วนเปลี่ยนทิศทางไป นึกแล้วไม่เข้าใจเช่นกันเพราะเหตุใด? ตอนซัดฝ่ามือใส่ข้าพเจ้าจู่ ๆ คนผู้นั้นพลันดึงพลังเปลี่ยนทิศทางไปส่วนหนึ่ง มิเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้ากับผู้เฒ่าโอ่วคงตายตั้งแต่ร่างยังไม่ตกถึงพื้นด้วยซ้ำ"            

"ถูกต้อง ข้าพเจ้าผู้เฒ่าโอ่วรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน คล้ายกับว่าในตอนแรกคนผู้นั้นคิดจะฆ่าเราให้ตายภายในฝ่ามือนั้น แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจรั้งดึงพลังกลับไปส่วนหนึ่ง เหมือนกับว่าคนผู้นั้นมิได้ต้องการจะทำร้ายเราสองผู้เฒ่าให้ถึงตายหมายชีวิต"            

ผู้เฒ่าโอ่วกล่าวสนับสนุนคำพูดของผู้เฒ่าลู่ เมื่อผู้เฒ่าโอ่วกล่าวจบผู้เฒ่าลู่จึงกล่าวต่อทันทีว่า           

"หากมิเช่นนั้นแล้ว คิดว่าป่านนี้กระดูกและอวัยวะภายในของเราทั้งสอง คงถูกพลังฝ่ามือทำร้ายจนยากที่จะมีลมหายใจมาถึงตอนนี้  แล้วพี่น้องของเราดูเหมือนหมดสิ้นเรี่ยวแรง เกิดสิ่งใดขึ้นกับพี่น้องเหล่านั้น?"

จ่านจือเมื่อฟังวาจาของผู้เฒ่าทั้งสองกล่าวจบ จึงได้กล่าวตอบผู้เฒ่ารักษากฎทั้งสองไปว่า             

"พวกเขาทั้งหมดล้วนถูกพิษของผงหอมหวนสิบทิศ ตอนนี้ทุกคนหมดสิ้นเรี่ยวแรงสูญเสียวรยุทธ์ชั่วคราว ภายในสิบสองชั่วยามหากมิได้ยาถอนพิษ ทุกคนที่ถูกพิษเหล่านั้นล้วนต้องตาย"            

พอจ่านจือกล่าวจบ ซื่อเหมี่ยนจึงกล่าวกับเขาว่า            

"เซี่ยวจือ เจ้าพอมีหนทางรักษาพวกเขาเหล่านั้นหรือไม่?"            

"พี่สาวใหญ่ขอข้าพเจ้าหาหนทางดูก่อนว่าพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่? เท่าที่ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาผงหอมหวนสิบทิศเป็นยาพิษที่มีความพิเศษเฉพาะตัว การถอนพิษมิได้แน่นอนตายตัวหรือใช้ตัวยาทั่วไปได้ ตามบันทึกที่ข้าพเจ้าเคยอ่านผ่านตามา มีเพียงผู้ใช้พิษเท่านั่นจึงจะรู้วิธีถอนพิษชนิดนี้ได้ถูกต้องและตรงจุด หากใช้ยาหรือรักษาผิดวิธีนอกจากถอนพิษมิได้แล้ว จะยิ่งทำให้พิษทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น"            

เมื่อจ่านจือกล่าวจบอี้เซินจึงกล่าวถามขึ้นบ้างว่า            

"หากเป็นเช่นนั้นผู้ที่รู้วิธีถอนพิษคงมีแต่เหยาจิ้งเฟยผู้นั้น หรือว่าจะต้องให้เซี่ยวจือเดินทางไปรับยาถอนพิษจากเหยาจิ้งเฟยตามความต้องการของมัน แต่ทว่าทำไมคนผู้นั้นจึงเจาะจงเซี่ยวจือด้วย อีกทั้งยังกำชับว่าห้ามส่งผู้อื่นไปรับยาถอนพิษนอกจากเซี่ยวจือ คิดแล้วเรื่องนี้น่าสงสัยพิกลมิทราบว่าเหยาจิ้งเฟยผู้นี้มีจุดประสงค์ใดกันแน่?"            

จ่านจือครุ่นคิดในใจนึกถึงคำพูดของผู้เฒ่ารักษากฎทั้งสอง หากเหยาจิ้งเฟยหรืออีกชื่อหนึ่งคืออาผิงผู้นั้นมิได้ยั้งมือและคิดจะทำร้ายผู้เฒ่าทั้งสองถึงแก่ชีวิต ป่านนี้ผู้เฒ่าทั้งสองคงจบชีวิตตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว อีกประการหนึ่งฟังจากอาผิงผู้นั้นกล่าววาจาตอนอยู่บนเวที ว่าผู้ที่ลงมือต่อผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อคือมารนภาหม่าจิ้งเถากับมารธุลีต้าเอ่อคา จากประเด็นนี้ทำให้เขามีความรู้สึกว่า อาผิงผู้นี้แท้จริงมิได้อำมหิตโหดเหี้ยมเท่าใดนัก ที่สำคัญอาผิงผู้นี้ยังเคยช่วยเหลือชีวิตเขาเอาไว้ครั้งหนึ่ง            

ตอนนี้ล่วงเลยเวลายามสาม(ประมาณเที่ยงคืน)มาครึ่งชั่วยามแล้ว จ่านจือยังคงคิดวิธีรักษาพิษช่วยเหลือเหล่าขอทานมิได้ หากว่าเป็นพิษชนิดอื่น ๆคงไม่เกินความสามารถของเขาไปได้ แต่ทว่าพิษของผงหอมหวนสิบทิศมีเพียงผู้ใช้พิษเท่านั้นจึงจะรู้วิธีการถอนพิษที่ได้ผล            

บรรดาขอทานทั้งหลายในเวลานี้ต่างนั่งหมดสิ้นเรี่ยวแรงเคลื่อนไหวมิได้อยู่กับพื้น ฝ่ายผู้เฒ่ารักษากฎทั้งสองตอนนี้สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้บ้างแล้ว อาการบาดเจ็บภายในที่เหลืออาจต้องใช้เวลารักษาอีกหลายวัน แต่นับว่าเหยาจิ้งเฟยผู้นี้ยังมิได้อำมหิตมากมายเท่าใดนัก มิเช่นนั้นคงไม่ยั้งมือไว้ไมตรีกับผู้เฒ่าทั้งสองอย่างแน่นอน            

คนทั้งหมดซึ่งมิได้รับพิษต่างปรึกษากันแล้วว่า หากหาหนทางรักษาไม่ได้จริง ๆ คงต้องยอมทำตามที่เหยาจิ้งเฟยผู้นั้นต้องการ คือให้จ่านจือเดินทางไปศาลาชมจันทร์เพื่อขอยาถอนพิษกลับมารักษาบรรดาขอทานทั้งหลาย เมื่อได้ข้อสรุปเช่นนั้นจ่านจือจึงกล่าวต่อทุกคนขึ้นว่า  

"ข้าพเจ้าไตร่ตรองดูแล้วเห็นว่าผู้ที่สามารถถอนพิษของผงหอมหวนสิบทิศได้ คงมีแต่เหยาจิ้งเฟยผู้นั้นเพียงผู้เดียว ดังนั้นข้าพเจ้าจะเดินทางไปศาลาชมจันทร์เพื่อขอรับยาถอนพิษ ส่วนทางนี้รบกวนพี่สาวทั้งสองคอยดูแลพวกเขาด้วย มีท่านเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยกับศิษย์ของท่านอยู่ด้วยคงมิมีผู้ใดกล้ามาก่อกวน เมื่อได้ยาถอนพิษแล้วข้าพเจ้าจะรีบรุดกลับมาโดยทันที"            

เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยจึงกล่าวกับจ่านจือว่า            

"รบกวนเจ้าแล้วหากมิใช่คนผู้นั้นต้องการให้เจ้าเดินทางไปผู้เดียว ข้าพเจ้าคงให้ศิษย์ของข้าพเจ้าเดินทางไปเป็นเพื่อนเจ้า แต่ข้าพเจ้าคิดว่าเหยาจิ้งเฟยผู้นั้นคงมิกล้าตระบัดสัตย์ ชีวิตของขอทานเหล่านี้ฝากไว้ที่เจ้าแต่เพียงผู้เดียว"

เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยท่านทราบแต่แรกแล้วว่า จ่านจือเป็นศิษย์ของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ซึ่งศิษย์อีกสองคนของท่านคือมู่เหอกับไป่ชิงได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเขาให้ท่านฟังหมดสิ้นแล้ว ซึ่งท่านเองทราบดีว่าจ่านจือยังต้องการปกปิดฐานะอันแท้จริงของเขาไว้ ดังนั้นท่านจึงมิได้แพร่งพรายเรื่องราวของเขาออกไป            

พอเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยกล่าวต่อจ่านจือจบ ผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อรีบกล่าวกับเขาต่อว่า            

"บุญคุณของท่านในคราวนี้ข้าพเจ้าผู้เฒ่าจะจดจำมิลืมเลือน แม้แต่ขอทานทั้งแผ่นดินคงติดค้างในน้ำใจของท่านครั้งนี้ หากว่าวันหน้ามีสิ่งใดให้ผู้เฒ่าและเหล่าขอทานช่วยเหลือ ขอท่านรีบกล่าวอย่าได้เกรงใจ"            

จ่านจือกล่าวตอบไปว่า            

"ท่านผู้เฒ่ากล่าวหนักไปแล้ว อย่าได้เกรงใจข้าพเจ้ายินดียิ่งนักที่ได้ช่วยเหลือทุกท่านในค่ำคืนนี้ อีกอย่างหนึ่งท่านอาวุโสขอทานพเนจรหวงเกาฉือท่านเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงต่อข้าพเจ้า ได้ช่วยเหลือพวกท่านเหมือนเป็นการตอบแทนท่านอาวุโสขอทานพเนจรหวงเกาฉือด้วยเช่นกัน"            

ซื่อเหมี่ยนจึงกล่าวกับจ่านจือว่า            

"เซี่ยวจือ เจ้ามิต้องกังวลไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ พี่ใหญ่กับพี่รองของเจ้าจะคอยดูแลพวกเขาแทนเจ้าเอง เช่นนั้นก่อนออกเดินทางเจ้านอนพักผ่อนสักงีบหนึ่ง หลังจากนั้นค่อยออกเดินทางวันนี้เจ้าเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว"            

จ่านจือกล่าวตอบพี่สาวทั้งสองกลับไปว่า           

"ไม่เป็นไรข้าพเจ้าคิดว่าจะออกเดินทางตอนนี้เลย หากชักช้าเกิดผิดพลาดประการใดจะได้มีเวลาหาทางแก้ไขได้ทัน เช่นนั้นข้าพเจ้าจ่านจือขออำลาทุกท่าน เมื่อได้ยาถอนพิษแล้วข้าพเจ้าจะรีบรุดกลับมาในทันที"            

กล่าวจบจ่านจือประสานมือต่อทุกท่านในที่นั้น แล้วเร่งเร้าพลังลมปราณทะยานร่างด้วยวิชาตัวเบา ซึ่งในตอนนี้รุดหน้าไปอีกหลายเท่าตัวด้วยความช่วยเหลือของท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือ หากมิได้ท่านช่วยกรุยจุดชีพจรและเปลี่ยนเส้นทางเดินลมปราณให้ อีกทั้งยังถ่ายพลังวัตรของท่านให้กับเขา ป่านนี้วิชาตัวเบาและกำลังภายในคงไม่รุดหน้าน่ากลัวถึงเพียงนี้ แม้แต่เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยยังอดชื่นชมต่อความสามารถของจ่านจือออกมามิได้            

จ่านจือพุ่งร่างฝ่าความมืดสลัวทุกก้าวย่างรวดเร็วและแผ่วเบาไร้น้ำหนัก แทบไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของตนเองเลยนับว่าได้  จุดหมายปลายทางคือศาลาชมจันทร์ทางทิศตะวันตกอีกร้อยลี้ จ่านจือพุ่งร่างห่างดอยตะวันมาไกลโขเพียงใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เมื่อผ่านระยะทางมาราวห้าสิบลี้ ยังคงเหลือเวลาอีกสองชั่วยามกว่าจะถึงเวลาที่นัดหมายไว้กับเหยาจิ้งเฟย            

จ่านจือจึงชะลอฝีเท้าลงรู้สึกว่ามิมีอาการเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อยนิด ขณะที่กำลังจะหยุดฝีเท้าฉับพลันทันใดนั้น ริมโสตของจ่านจือได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของกลุ่มคนจำนวนหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปราวร้อยวาทางทิศใต้ นี่เป็นความก้าวหน้าอีกขั้นของการรับรู้ทางโสตสัมผัสของเขา จ่านจือคิดว่ายังเหลือเวลาอีกสองชั่วยามดังนั้นจึงเกิดความสงสัยขึ้นว่า เป็นผู้ใดไฉนในเวลาค่ำคืนกลับเคลื่อนไหวอย่างรีบร้อน คล้ายกับว่ากำลังจะไปก่อเรื่องราวต่ำช้าบางประการ            

มิรอช้าจ่านจือรีบพุ่งร่างติดตามเสียงคนเหล่านั้นไปอย่างรวดเร็ว ด้านหน้าเมื่อผ่านดงป่าทึบแล้วเป็นสุสานร้างแห่งหนึ่ง แม้ยังไม่เห็นร่างของผู้คนกลุ่มนั้นแต่เขาสามารถรับรู้ได้ว่า คนกลุ่มนั้นหยุดฝีเท้าลงหน้าสุสานร้างแห่งนั้น             

จ่านจือมิรีรอชักช้าแฝงกายภายใต้ความมืดคืบคลานแผ่วเบาเข้าใกล้สถานที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อใกล้บรรลุถึงสุสานร้างข้างหน้าเขาอ้อมร่างมาทางด้านหลังของสุสานร้างแห่งนั้น เมื่อมองผ่านรอยแตกของผนังศิลาเข้าไปภายใน แม้ไม่สว่างเท่าใดแต่ทว่าจ่านจือพอมองเห็นเงาร่างคนเคลื่อนไหววูบวาบไปมาอยู่ด้านใน            

จ่านจือจึงเคลื่อนกายเข้าไปใกล้ ๆ จนแน่ใจว่า สามารถมองเห็นกลุ่มคนภายในได้ชัดเจน แต่ก่อนที่เขาจะได้เห็นว่าผู้ใดกันที่อยู่ด้านใน? ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าแผ่วเบาจนแทบไม่สามารถรับรู้ได้ เคลื่อนร่างรวดเร็วดุจสายฟ้าพุ่งมาทางด้านที่เขาซ่อนกายอยู่ จ่านจือจึงรีบปิดกั้นลมหายใจรอคอยว่าผู้ที่เร่งรุดมาเป็นผู้ใด            

ไม่นานนักเพียงชั่วพริบตาเงาร่างสีขาวเจิดจ้าเคลื่อนย้ายวูบวาบดั่งวิญญาณภูตผีในยามค่ำคืน แล้วทิ้งร่างลงห่างจากจุดที่จ่านจือซ่อนกายอยู่ราวสิบวา ดูจากท่าร่างวิชาตัวเบานับว่าบรรลุถึงระดับขั้นสูงสุดยอดแล้ว เมื่อทิ้งร่างลงรีบเคลื่อนย้ายเข้ามาใกล้อีกราวห้าวา ในความมืดสลัวมองเห็นเพียงจุดแต้มสีขาวเคลื่อนย้ายคล้ายหมอกควันสีขาวกลุ่มหนึ่ง            

ร่างนั้นเมื่อเคลื่อนย้ายเข้ามาแนบร่างสงบนิ่งมิเคลื่อนไหว ร่างแนบชิดติดกับผนังสุสานร้างที่มีรอยแตกมุมหนึ่ง คาดเดาจากพฤติกรรมคล้ายติดตามกลุ่มคนซึ่งอยู่ในสุสานร้างมาปานฉะนั้น จ่านจือยืนสงบนิ่งมิเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน นับว่าโชคดีที่มีเสาศิลาขนาดใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งพังทลายลงมา พอที่จะยึดเป็นที่กำบังอำพรางร่างเขามิให้คนผู้นั้นพบเห็น            

ทันใดนั้นภายในสุสานร้างมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น จ่านจือสงบจิตใจรวบรวมสมาธิเพ่งมองเข้าไปในรอยแตกของผนังสุสานร้าง ภายในสุสานมองเห็นเงาร่างผู้คนสี่คนแต่มองไม่เห็นใบหน้า คนทั้งสี่แยกย้ายยืนอยู่ภายในห้องโถงของสุสานร้าง จากนั้นมีเสียงสนทนาดังเล็ดลอดผ่านรอยแยกออกมาว่า            

"พั้วเนี้ย(ยายแก่ หมายถึงภรรยาตัวเอง) ยาพิษที่ท่านกำลังคิดค้นขึ้นมาใหม่ ไม่ทราบว่าสำเร็จไปถึงขั้นไหนแล้ว?"            

ผู้ที่กล่าววาจาออกมาฟังจากน้ำเสียงแหบพร่า คาดว่าน่าจะอยู่ในวัยชราภาพมากแล้ว            

"ตาเฒ่า ฟังจากที่ท่านเอ่ยถามข้าพเจ้าหลายครั้ง คงเป็นเพราะท่านกระหายต้องการที่จะแก้พิษของข้าพเจ้ากระมัง? เอาไว้ให้ล่วงเลยงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินไปก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะพิสูจน์ให้ท่านเห็นว่ายาพิษที่ข้าพเจ้าคิดค้นขึ้นมาใหม่พิษสงร้ายกาจเพียงใด ท่านเองเตรียมตัวหาทางแก้พิษตัวใหม่ของข้าพเจ้าเอาไว้ล่วงหน้าอย่าได้ชะล่าใจ"            

ผู้ที่กล่าววาจาตอบเป็นเสียงสตรีวัยชราเฉกเช่นเดียวกัน ฟังจากน้ำเสียงที่กล่าวตอบออกมาคล้ายกับทั้งสองกำลังประลองแข่งขันหรือพนันขันต่อกระไรกันสักอย่างหนึ่ง ต่อจากนั้นเป็นเสียงหัวร่อของชายอีกผู้หนึ่งดังขึ้นพร้อมกับส่งเสียงกล่าวว่า            

"ฮาฮา ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วดูท่านทั้งสองสิป่านนี้แล้ว ตั้งแต่หนุ่มสาวจนกระทั่งบัดนี้วัยของพวกท่านทั้งสองล่วงเลยจนใกล้จะปาเข้าเก้าสิบปีแล้ว จนกระทั่งบัดนี้แล้วยังมิยอมแพ้หรืออ่อนข้อต่อกันอีกรึ? ข้าพเจ้าเห็นท่านทั้งสองประลองแข่งขันกันมายาวนานเหลือเกิน ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วท่านคิดค้นพิษ ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินท่านหาทางแก้พิษ มิทราบว่าท่านทั้งสองไม่รู้สึกเบื่อหน่ายบ้างหรืออย่างไร?"            

จากนั้นเป็นเสียงของชายอีกผู้หนึ่งกล่าวดังขึ้นว่า            

"หัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ยมิใช่ท่านเองดอกรึ? เป็นผู้ริเริ่มตั้งรางวัลขันต่อให้ตาเฒ่ากับยายเฒ่าทั้งสองแข่งขันกัน ไม่ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายชนะท่านเองจะเชื้อเชิญเหล่ามารทั้งหลายมาร่วมดื่มสุราเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน แต่น่าเสียดายจนป่านนี้แล้วยังหาผู้ชนะมิได้สักที เห็นทีในชีวิตนี้กระเพาะอาหารของข้าพเจ้าคงมิมีวาสนาที่จะได้รองรับน้ำสุราจากสำนักท่านกระมัง?" จากนั้นเสียงชายผู้ซึ่งถูกเรียกหาว่าหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ยกล่าววาจาตอบว่า   

"ข้าพเจ้าฉายาหัตถ์อมตะนามหลี่ปู้เหว่ย เป็นถึงเจ้าสำนักฝ่ามือโลหิตกล่าววาจาออกมาย่อมจำได้มิลืมเลือน ท่านเองสนับสนุนให้ตาเฒ่ากับยายเฒ่าทั้งสองประลองกันมิใช่หรอกรึ?"            

"ถูกต้องที่ท่านกล่าวมานับว่ามิผิด ข้าพเจ้าฉายาอินทรีกลางฟ้านามหว่าเกาเฉิง เป็นถึงเจ้าสำนักอินทรีขาวเช่นกัน เมื่อกล่าววาจาสนับสนุนย่อมจดจำได้ไม่ลืมเลือน บัดนี้วัยของเราทั้งสี่ใกล้ครบร้อยปีไปทุกขณะยังมิอาจหาผู้ชนะได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคิดว่าสุราของท่านคงเน่าบูดเป็นแน่แท้"            

จากนั้นสตรีชราน้ำเสียงแหบพร่ากล่าวขึ้นต่อว่า            

"ท่านทั้งสองล้างท้องเพาะเลี้ยงพยาธิในลำไส้ล่วงหน้าไว้รอคอยเถิด หากครั้งนี้ตาเฒ่าเข็มวิเศษยังสามารถแก้พิษของข้าพเจ้ายายเฒ่าหมื่นพิษได้อีก ข้าพเจ้าจะขอยอมแพ้ด้วยตัวของข้าพเจ้าเอง อีกเรื่องหนึ่งนี่ใกล้วันชุมนุมชาวยุทธ์เข้ามาทุกขณะ ข้าพเจ้ากับตาเฒ่าคงเอาเวลาที่เหลือทุ่มเทให้กับงานสำคัญก่อน ท่านทั้งสองเองมิทราบว่ามีข่าวใดคืบหน้ามาบ้างหรือไม่?"            

ผู้กล่าววาจาคือยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว ส่วนอีกผู้หนึ่งคือตาเฒ่าเข็มวิเศษนามฝ่านอี้เฉิน คนทั้งสองเป็นเจ้าสำนักอสรพิษดำและเป็นสามีภรรยากัน ตั้งแต่วัยหนุ่มสาวคนทั้งสองต่างประลองแข่งขันพิษกันมาโดยตลอด            

ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วนางชำนาญในการแพร่พิษ ส่วนตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินมีความชำนาญในการถอนพิษ แม้จะเป็นสามีภรรยากันแต่ทั้งสองมิมีผู้ใดยอมแพ้ให้แก่กัน ด้านพลังฝีมือในอดีตสำนักอรพิษดำถือว่าสร้างความหวาดหวั่นพรั่นพรึงให้กับยุทธภพมาช้านาน            

นอกจากนี้ยังมีอีกสองสำนักนั่นคือ สำนักฝ่ามือโลหิตเจ้าสำนักฉายาหัตถ์อมตะนามหลี่ปู้เหว่ย กับสำนักอินทรีขาวเจ้าสำนักฉายาอินทรีกลางฟ้านามหว่าเกาเฉิง เจ้าสำนักทั้งสองมีความสนิทสนมกับเจ้าสำนักอสรพิษดำทั้งสอง และร่วมมือกันก่อกวนเรื่องราวในบู๊ลิ้มด้วยกันมาตลอดมิเคยทอดทิ้งกัน            

หลังจากสามสำนักมารหายเงียบไปเป็นเวลาสิบห้าปีกว่าที่ผ่านมาบัดนี้รวมแล้วยี่สิบปี เมื่อใกล้วันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินใกล้มาถึง เหลือเวลาอีกเพียงสิบวันจะถึงวันชุมนุมที่จะจัดขึ้นแล้ว ค่ำคืนนี้สามสำนักมารในอดีตปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง คิดว่าครานี้เหล่ามารอธรรมทั้งหลายคงกลับมารวมตัวกันก่อความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง            

เมื่อยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วกล่าวจบ เจ้าสำนักอินทรีขาวอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิง จึงกล่าวตอบกลับออกมาว่า            

"ตอนนี้มิมีสิ่งใดคืบหน้าคนของข้าพเจ้าที่ออกไปสืบข่าว ต่างส่งข่าวกลับมาเหมือนเช่นที่คนของท่านทั้งสามได้ข่าวมาเช่นกัน สามสำนักที่น่าจับตามองที่คาดว่าจะเป็นแนวร่วมของฝ่ายเรานั่นคือ หนึ่งสำนักมารสวรรค์ สองอารามอเทวตา และอีกสำนักหนึ่งจนกระทั่งบัดนี้เราท่านยังมิทราบชื่อว่าเป็นสำนักใด?"            

จากนั้นเจ้าสำนักฝ่ามือโลหิตหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ย กล่าววาจาต่อทันทีว่า           

"ถูกต้อง สำนักมารสวรรค์ผู้เป็นเจ้าสำนักมีฉายานางมารเยือกเย็นนามเหยาเยี่ยะเหยียน ข้าพเจ้าเองได้เดินทางไปพบกับนางเมื่อสามเดือนก่อน เมื่อพบหน้าคาดคิดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้ว นางคืออัคคีสวรรค์เหยาเยี๊ยะเหยียนศิษย์คนที่ห้าของสำนักตำหนักหมื่นเทพในอดีตนั่นเอง"            

จากนั้นตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน กล่าวขึ้นบ้างว่า            

"ส่วนอารามอเทวตาเราท่านย่อมทราบว่าเจ้าสำนักเป็นผู้ใด? แต่ที่ผ่านมานางเก็บตัวไม่เคยออกมาปรากฏกายในยุทธจักรมาก่อน"            

พอตาเฒ่าเข้มวิเศษฝ่านอี้เฉินกล่าวจบ ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วกล่าวแย้งว่า             

"แต่ข้าพเจ้ายายเฒ่าได้ข่าวมาว่า นางชีเทวราชชิ้วโส่วนางเคยออกมานอกอารามพร้อมกับแม่ชีอีกนางหนึ่งเมื่อราวห้าปีก่อน ตอนนั้นนางลงมือทำร้ายคนผู้หนึ่งโดยมิทราบสาเหตุ ต่อมายังไปปรากฏตัวแถวกังหนำ ข่าวคราวล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่แล้วยังปรากฏตัวขึ้นละแวกหมู่บ้านเย้ยอรุณเชิงเขาอีกด้วย"            

"ถูกต้อง ข้าพเจ้าเองได้ข่าวเช่นนี้มาเหมือนกัน" อินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงกล่าวเสริมขึ้น

"ส่วนอีกหนึ่งสำนักที่เหลือกระทั่งบัดนี้เราท่านยังมิมีผู้ใดทราบชัดว่าเป็นสำนักใดกันแน่? ที่ผ่านมามีเพียงมารน้อยนามขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงปรากฏตัวเพียงไม่กี่ครั้ง ส่วนสถานที่ตั้งกับชื่อเสียงสำนักมารน้อยผู้นี้กลับมิยอมเปิดเผย เมื่อสองวันก่อนได้ข่าวมาว่ามารน้อยผู้นี้บุกไปยังพรรคไผ่หลิว พร้อมกับสยบเจ้าสำนักฝ่ายธัมมะเสียราบคาบรวมถึงสามสำนัก หากมิใช่ขอทานพเนจรหวงเกาฉือเดินทางไปช่วยเหลือเอาไว้เสียก่อน เห็นทีสามสำนักฝ่ายธัมมะคงถูกลบชื่อไปจากยุทธภพแล้ว"

ผู้ที่กล่าววาจาคือยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว พอนางกล่าวจบตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินจึงกล่าวต่อทันทีว่า

"เท่าที่ทราบมามารน้อยผู้นี้มีฝีมือกล้าแข็งนัก นอกจากนั้นมันยังมีบทเพลงอสูรกล่อมวิญญาณอันน่าสะพรึงกลัว มิฉะนั้นคงมิคร่าชีวิตคนของพรรคไผ่หลิวไปถึงหนึ่งร้อยสิบชีวิต ขนาดมารน้อยอายุเยาว์เช่นมันยังมีฝีมือร้ายกาจน่ากลัวลงมืออำมหิตโหดเหี้ยมไร้ปรานีถึงเพียงนี้ แล้วผู้ที่เป็นเจ้าสำนักและอาจารย์ของมันจะร้ายกาจถึงเพียงใด แต่ถึงเช่นไรขึ้นชื่อว่าสำนักมารย่อมเป็นฝ่ายเดียวกับพวกเรา ยิ่งคนมากยิ่งมีโอกาสครอบครองยุทธภพมากขึ้นเท่านั้น คงอีกไม่ช้าเราท่านคงจะได้ทราบความเป็นมาของสำนักมารแห่งนี้อย่างแน่นอน"

จ่านจือพอได้ยินคนเหล่านั้นในสุสานร้างกล่าวถึงพรรคไผ่หลิวขึ้นมา ถึงกับสะท้านขึ้นมาคราหนึ่งจนลืมปิดกลั้นลมหายใจไปชั่วขณะ เรื่องราวทั้งหมดที่คนทั้งสี่สนทนากันได้ยินทุกคำพูด ขณะที่กำลังใช้ความคิดว่าจะกระทำเช่นไรต่อไป พลันข้างกายรับรู้ได้ถึงพลังสายหนึ่งถาโถมเข้ามาโดยไร้เสียง พลังเส้นสายนั้นโหมกระหน่ำคล้ายดั่งห้วงมหรรณพอันบ้าคลั่ง จ่านจือรู้สึกหนาวเหน็บจนสยิวกายนับว่าเป็นพลังอันร้ายกาจน่ากลัวถึงที่สุด มิรอช้าเตรียมเร่งเร้าพลังลมปราณขึ้นป้องกันตัว ขณะกำลังจะเกร็งพลังลมปราณผ่านท้องน้อยจู่ ๆ พลังสายนั้นพลันสลายหายวับไปในพริบตา            

จากนั้นริมโสตได้ยินน้ำเสียง ซึ่งถ่ายทอดผ่านลมปราณดังมากระทบว่า             

"เจ้าหนุ่ม ท่านอย่าได้เคลื่อนไหวใด ๆ ทั้งสิ้น มิเช่นนั้นข้าพเจ้าจะปลิดชีวิตท่านด้วยฝ่ามือเดียวโดยที่ท่านยังมิทันได้ตั้งตัว ตอนนี้จงยืนอยู่กับที่โดยสงบตั้งใจฟังว่าคนด้านในสนทนากระไรกัน? ข้าพเจ้าขอเตือนย้ำอีกครั้งว่าอย่าได้คิดหลบหนีหรือกระทำการใด ให้ผู้คนด้านในรู้ตัวเป็นเด็ดขาดมิเช่นนั้นแล้วอย่าได้กล่าวหาว่าข้าพเจ้าอาวุโสรังแกเด็กเป็นเด็ดขาด"             

พอเสียงที่ถ่ายทอดผ่านลมปราณด้วยวิชาถ่ายทอดคลื่นเสียงไกลหมื่นลี้กล่าวจบ จ่านจือคิดจะถ่ายทอดคลื่นเสียงโต้ตอบกลับไป แต่แล้วกลับคิดได้ว่ายังไม่ทราบชัดว่าผู้กล่าววาจาเป็นผู้ใด เป็นมิตรหรือศัตรูยังไม่อาจคาดเดาแน่ชัด ฟังจากน้ำเสียงเป็นสตรีนางหนึ่งแต่ที่น่าตื่นตระหนกคนผู้นี้ทราบได้เช่นไร ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของเสาศิลาทั้งที่เขาปิดกลั้นลมหายใจซุกซ่อนพลังลมปราณมิดชิดแน่นหนา มิหนำซ้ำยังมีเสาศิลาขนาดใหญ่บดบังกายอีกด้วย แถมน้ำเสียงเมื่อครู่ยังสามารถแยกแยะถูกต้องแม่นยำว่าเขาคือเด็กหนุ่มวัยเยาว์

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป