#จบแล้วจ้า ข้าจะไม่คิดแค้น...ข้าจะไม่โกรธเคือง..สิ่งที่ท่านทำ ข้าจะไม่เก็บมาเป็นเพลิงสุมใจ ขอให้ระหว่างเรา 'ท่าน' กับ 'ข้า' เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันนับจากนี้...และตลอดไป...
#จบแล้วจ้า ข้าจะไม่คิดแค้น...ข้าจะไม่โกรธเคือง..สิ่งที่ท่านทำ ข้าจะไม่เก็บมาเป็นเพลิงสุมใจ ขอให้ระหว่างเรา 'ท่าน' กับ 'ข้า' เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันนับจากนี้...และตลอดไป...
58
สองพ่อลูกสกุลซ่ง
“แม่นางว่ากระไรนะ!?” ซ่งเอียกี๋ถามซ้ำด้วยความตกใจ ส่วนซ่งเจียสีกับนักเลงทั้งสามคนถึงกับหน้าถอดสี
“เมื่อวานนี้... อยู่ๆ ทั้งสามคนนี้ก็จ้างเด็กชายคนหนึ่งมาล่อลวงข้าให้ตามไปหาที่ตรอก จากนั้นก็พยายามจะฉุดข้าไปเจ้าค่ะ... บอกจะพาไปปรนนิบัติคุณชายซ่ง แล้วคุณชายท่านนี้ก็เข้ามาช่วยเลยโดนผลักจนล้มก้นกระแทกพื้น พู่กันของเขากระเด็นออกมาจากย่าม ก็ถูกชายหัวโล้นผู้นี้เหยียบซ้ำจนหักเป็นสองท่อน... คุณชายท่านนี้ก็เลยลงมือกับทั้งสามคนจนเป็นอย่างที่เห็นเจ้าค่ะ...” ท่าทางการพูดที่ฉะฉานของนางทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอดชื่นชมมิได้ว่าสาวชาวบ้านนางนี้ช่างกล้าหาญเหลือเกิน เพราะไม่รู้เบื้องหลังความเป็นมาของนาง
นางก็ยังมีความเป็นนางอยู่วันยังค่ำ แม้ตอนนี้คลับคล้ายว่าจะกลับกลายเป็นเพียงสตรีไร้เดียงสาผู้หนึ่งก็เถอะ ถ้าหากเซียวหลินหลิงไม่ได้ความทรงจำบางส่วนหายไปล่ะก็... เรื่องเมื่อวานนางคงจัดการได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องให้ข้าสอดมือเข้าไปยุ่งแล้วล่ะ
ร่างสูงลอบคิดในใจ ก่อนจะรู้สึกถึงความร้อนผ่าวบนใบหน้า
แต่ว่านะ… เรื่องที่ข้าโดนผลักจนล้มก้นกระแทกพื้น เจ้าไม่ต้องพูดก็ได้!!
ฝ่ายซ่งเอียกี๋หันมามองบุตรชายที่ตอนนี้มีสีหน้าซีดเผือด แต่ซ่งเจียสียังคงฝืนยิ้มแล้วเอ่ยว่า
“ข้าว่าเรื่องนี้ต้องมีการเข้าใจผิดอย่างที่ทั้งสามคนพูด... พวกเรามาเริ่มรื้อฟื้นตั้งแต่ต้นเพื่อให้ทุกอย่างกระจ่างขึ้นดีหรือไม่ขอรับ!?”
ซือหยวนซาไม่พูดพร่ำทำเพลงล้วงมือลงไปในย่ามแล้วเอาพู่กันที่หักเป็นสองท่อนยื่นให้ซ่งเอียกี๋ดู
“ชายหัวโล้นผู้นั้นกล่าวกับข้าว่าที่แท้ข้าก็เป็นศิลปินไส้แห้งดีๆ นี่เอง และอยากรู้ว่าหากเสียเครื่องมือทำมาหากินไปจะเป็นอย่างไร จึงทำให้พู่กันของข้ากลายสภาพเป็นเช่นนี้ขอรับ” เมื่อได้ยินสิ่งที่ซือหยวนซาเล่าก็ทำให้ซ่งเอียกี๋ถึงกับผงะ พลางมองไปที่พัวหิม พัวห่าย โจจุนและบุตรชายของตนสลับกับพู่กันสองท่อนในมือของซือหยวนซาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
“นี่พวกเจ้ากล้าสบประมาทคุณชายผู้นี้ว่าเป็นศิลปินไส้แห้งหรือ!? ซ้ำยังทำลายพู่กันของเขาอีก!?” ซ่งเอียกี๋กล่าวออกมาอย่างมีโทสะ ใจหนึ่งนึกโมโหที่ศิลปินในดวงใจถูกเหยียบย่ำ อีกใจหนึ่งก็หวาดหวั่น...
เพราะยังมีความผิดที่ซ่งเจียสีก่ออีก...
โทษทางการแม้ไม่ถึงกับประหารชีวิตเพราะยังกระทำความผิดไม่สำเร็จ ก็ต้องรับการทรมานเพื่อให้หลาบจำ นั่นยังไม่หนักหนาเท่าไร…
แต่หากคุณชายรอง พี่ชายของอีกฝ่าย...
เจ้าของสมญานามเสื้อแพรล่องหนมาได้ยินประโยคที่สบประมาทน้องชายของตนเข้าล่ะก็...
บุตรชายเขาน่าจะตายก่อนถึงมือทางการด้วยซ้ำ...
“ไม่จริงนะขอรับ พวกข้าไม่ได้ทำอย่างที่คนผู้นี้ว่าเลย เถ้าแก่ซ่ง! ทั้งสองคนต้องร่วมมือกันปรักปรำพวกเราแน่นอนขอรับ” พัวหิม พัวห่าย โจจุนยังคงพยายามแก้ตัว แม้จะดูฟังไม่ขึ้นก็ตาม
"ชินหวัง... เมื่อวานข้าจำได้ว่ามีชาวบ้านมามุงดูเหตุการณ์ระหว่างข้ากับสามคนนี้เยอะพอสมควรนี่นา เจ้าช่วยไปตามมาเป็นพยานให้ข้าสักคนสองคนได้หรือไม่!?" ซือหยวนซาหันมาเอ่ยกับชินหวังที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้าเหลยกับปิงจือและเงียบมาตลอด
"ขอรับ!" ด้วยความเคยชินทำให้เขาเผลอรับคำ ก่อนจะรู้ตัวเมื่อเห็นเจินเจินถลึงตาใส่ กระนั้นชินหวังก็ตัดสินใจจะไปตามให้อยู่ดี เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณหนูด้วย
"ไม่ต้องลำบากไปหาคนอื่นคนไกลหรอก... ข้านี่แหละเห็นกับตา!" อาจือ ชายหนุ่มที่อยู่บ้านถัดไปอีกสามหลังกล่าว ตามด้วยชาวบ้านอีกหลายๆ คน
“ข้าด้วย!”
“ข้าก็เห็น!”
คราแรกที่พวกเขาไม่กล้าออกมาแสดงตัวนั้นเพราะกลัวอิทธิพลของซ่งเจียสี แต่ปล่อยไว้เรื่องก็คงคาราคาซังไม่จบไม่สิ้น ทั้งหลินหลิงเองก็เป็นคนที่พวกเขาเอ็นดู บุรุษผู้นี้ก็เป็นผู้กล้าที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือนาง ท้ายที่สุดพวกเขาจึงกล้าออกมาเป็นพยานให้กับคำพูดของทั้งสองคน
ซ่งเอียกี๋ทรุดตัวลงกับพื้นด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่บุตรชายของตนกระทำลงไป เดิมทีเขาก็รู้อยู่แล้วว่าเจียสีเป็นคนเกเรและบ้านารีมากแค่ไหน ถึงขั้นตามตัวนางคณิกามาปรนนิบัติที่เรือน จึงให้เรียนรู้เรื่องการบริหารโรงเตี๊ยมหวังจะให้บุตรชายกลับมาเป็นผู้เป็นคน
แต่นอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว คราวนี้มันกลับทำการอุกอาจให้ลูกน้องมาฉุดสาวชาวบ้านไปปรนนิบัติ ซ้ำพวกนี้ยังไปมีเรื่องกับคุณชายสามสกุลซือ แล้วยังคิดจะเอาเรื่องอีกฝ่ายทั้งที่ตัวเองผิดอีก
นี่แหละหนาเขาถึงพร่ำสอนแล้วสอนอีกว่าอย่าไปเที่ยวมีเรื่องกับคนอื่น... เพราะนอกจากจะเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีแล้วเราก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
เพียะ! ฝ่ามือของผู้เป็นบิดาฟาดลงไปที่ใบหน้าของซ่งเจียสีอย่างแรง
“ท่านพ่อ!! นี่ท่านเข้าข้างคนผู้นี้มากกว่าข้าหรือขอรับ!?” ซ่งเจียสีตะคอกใส่เจ้าของฝ่ามือด้วยความน้อยใจ
“ข้าตบเจ้าก็เพราะเจ้าทำผิด… เจียสี… นี่เจ้าเป็นได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร!? ให้คนไปฉุดสตรีมาปรนนิบัติ? เรื่องเช่นนี้พ่อเคยสอนเจ้าหรือ!?” ซ่งเอียกี๋เอ่ยเสียงเครือ
“ก็ที่นี่ไม่มีเหลาบุปผา ท่านพ่อจะให้ข้าทำอย่างไรเล่าขอรับ!?” ซ่งเจียสีใช้ฝ่ามือกุมแก้มข้างที่ถูกตบ แล้วพูดต่อ
“ที่ทำให้ข้ามีความสุขได้ก็มีแค่เหล่าสตรีพวกนั้นนั่นแหละ! ส่วนท่านพ่อน่ะ! อะไรๆ ก็งานๆๆๆ”
“หากข้าไม่ทำงานแล้วจะมีเงินมาให้เจ้าได้ใช้สอยเที่ยวเล่นสุขสบายเช่นทุกวันนี้หรือ!?”
“ข้าไม่เคยต้องการเงิน... ที่ข้าต้องการก็คือ...”
ตึง! ไม่ทันที่ซ่งเจียสีจะพูดจบ ซ่งเอียกี๋ก็คุกเข่าลงตรงหน้าซือหยวนซาอย่างไม่อายผู้ใด
“ท่านพ่อจะคุกเข่าให้คนผู้นี้ทำไม ในเมื่อคนของข้าทำพู่กันหัก และทำเขาบาดเจ็บ เดี๋ยวข้ารับผิดชอบจ่ายค่าเสียหายก็สิ้นเรื่องแล้ว ท่านไม่ต้องทำถึงขนาดนี้!” ซ่งเจียสีถามด้วยความตกใจ เพราะตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยเห็นบิดาของตัวเองยอมคุกเข่าให้ผู้ใด
“หุบปาก!!” ซ่งเอียกี๋ตะคอกใส่บุตรชายแล้วหันมาพูดกับซือหยวนซา
“ข้าน้อยขออภัยที่ไร้ความสามารถ มิอาจเลี้ยงดูบุตรชายผู้หนึ่งให้เติบโตมาเป็นคนดีได้... นอกจากจะเกเรไม่เป็นโล้เป็นพายแล้ว ยังวางตัวข่มเหงผู้ที่ด้อยกว่า ซ้ำครานี้ยังให้คนกระทำการอุกอาจอีก... คุณชายจะลงโทษอย่างไรก็ตามแต่ที่ท่านเห็นสมควร จะนำตัวมันส่งทางการก็ไม่ว่า... แต่ข้าขอร้องในฐานะที่ตั้งแต่เปิดโรงเตี๊ยมมาเกือบสามสิบปี ตัวเองบริหารอย่างโปร่งใสและเท่าเทียม ไม่เคยเกี่ยงผู้เข้าพัก ไม่เคยโก่งราคา ข้ามีบุตรชายผู้นี้เพียงคนเดียว ได้โปรดละเว้นชีวิตมันด้วย”
“ท่านพ่อ...” ซ่งเจียสีกล่าวพลางน้ำตาคลอ ตลอดเวลาเขาคิดว่าพ่อไม่เคยรักเขา จึงพยายามทำตัวเรียกร้องความสนใจมาตลอด มิคิดว่าวันนี้ท่านพ่อจะต้องมาคุกเข่าทำเช่นนี้เพื่อขอชีวิตให้เขา แสดงว่าคนผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ
“ท่านพ่อ!! ท่านลุกขึ้นเถิด!! อย่ามาทำเช่นนี้เพื่อข้าเลย!” พูดพลางพยายามฉุดดึงบิดาของตนให้ลุกขึ้น แต่ซ่งเอียกี๋ก็ไม่ยอมขยับ
“เถ้าแก่ซ่งโปรดวางใจ ถึงท่านไม่พูด ข้าก็ไม่ได้ต้องการชีวิตบุตรชายท่านอยู่แล้ว... ท่านลุกขึ้นเถิด” กล่าวจบซือหยวนซาก็ยิ้มบางๆ ซ่งเอียกี๋จึงค่อยกล้าลุกขึ้น
ที่เถ้าแก่ซ่งต้องมาขอชีวิตให้บุตรชายตัวเองก็ด้วยเกรงในตัวของพี่ใหญ่กับพี่รอง...
ด้วยเขากลัวว่าข้าจะไปบอกพี่รองหรือสายของพี่รองจะมาได้ยิน... แล้วพี่รองกับพี่ใหญ่จะตามไปเล่นงานบุตรชายของเขา ซึ่งข้าก็ไม่เข้าใจว่าทุกคนจะกลัวท่านพี่ทำไม...
พี่ซูไม่ใช่คนใจร้ายที่จะไล่สังหารทุกคนที่มามีเรื่องกับข้าเสียหน่อย...
พี่ซียิ่งแล้วใหญ่... รายนั้นแค่งานของตัวเองก็ยุ่งเกินพอ
อีกอย่างข้าก็ไม่เคยเล่าอะไรให้ท่านพี่ฟังด้วย... เพราะไม่ใช่เรื่องของเขา...
เมื่อได้สติกลับมา ก็เห็นซ่งเจียสีมองหน้าราวกับจะถามว่าเขาเป็นใคร ซือหยวนซาจึงล้วงเข้าไปในย่ามอีกครั้ง ก่อนจะหยิบภาพวาดทั้งสามม้วนส่งให้อีกฝ่าย
“ภาพวาดสามภาพนี้คือภาพที่คนของคุณชายซ่งในเมืองลี้รัวขายให้ข้าในราคาแปดสิบตำลึงขอรับ เขาคงมิรู้ว่ากำลังขายภาพคืนให้คนวาด”
พอซ่งเจียสีเห็นชื่อผู้วาดก็ต้องตกใจจนเกือบทำภาพหล่นจากมือ
ที่แท้ก็...
ฝ่ายซ่งเอียกี๋ก็ตกใจที่มันไม่ได้อยู่ที่โรงเตี๊ยมเฉินหงในเมืองลี้รัวอย่างที่ควรจะเป็น...
มิน่า! ครั้งล่าสุดที่เขากลับไปโรงเตี๊ยมลี้รัวแล้วดูภาพวาดฝีมือพู่กันฟ้าประทาน แม้ลายเส้นจะเหมือนกัน แต่กลับไม่ประทับใจเหมือนเดิม
“สองอาทิตย์ก่อน... ข้าไปใช้บริการโรงเตี๊ยมท่านที่ตอนนั้นบริหารโดยบุตรชาย แล้วเจอเสี่ยวเอ้อร์ทำกิริยาไม่ดีใส่ จึงขอซื้อภาพกลับมา...”
“แต่คุณชายขายให้ข้าเพียงแค่หกสิบตำลึง...” ซ่งเอียกี๋พึมพำ ร่างสูงพยักหน้า
“ในเมื่อตอนนี้ท่านกลับมาบริหารโรงเตี๊ยมเฉินหง สาขาลี้รัวด้วยตนเองแล้ว หากท่านยังต้องการ ข้าก็จะขายคืนให้”
“แน่นอนขอรับ...” พลันซ่งเจียสีก็ทรุดตัวลงคุกเข่าข้างๆ ผู้เป็นบิดา ทั้งพยักเพยิดให้นักเลงทั้งสามทำตามด้วย
“ข้าขอรับผิดสำหรับเรื่องทุกอย่างขอรับ ค่าพู่กันกับค่าภาพวาด ข้าก็จะจ่ายชดเชยคืนให้สี่เท่า และต้องขออภัยที่ข้าได้ล่วงเกินคุณชายด้วย” กล่าวจบซ่งเจียสีก็หยิบถุงเงินออกมาจากในอกเสื้อส่งให้อีกฝ่ายสามถุง
“ทั้งหมดตีค่าได้ถุงละแปดสิบตำลึงขอรับ” เมื่อเห็นร่างสูงรับไปเขาก็ก้มลงโขกศีรษะลงพื้น
“ช้าก่อน!” ซือหยวนซารีบห้ามไว้
“คนที่พวกเจ้าต้องขอโทษ... ควรจะเป็นแม่นางผู้นี้มากกว่านะ” กล่าวจบ เขาก็มองมายังเซียวหลินหลิง ที่มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย
“ก็เพราะว่าพวกเจ้าจะฉุดนาง... ข้าจึงต้องสอดมือเข้าไปยุ่ง...” สิ้นคำพูดของซือหยวนซา พวกของซ่งเจียสีก็พากันหันหน้ามาทางนางแล้วพร่ำเอ่ยคำขอโทษ พร้อมกับเอาศีรษะโขกลงพื้นหลายครั้ง จากนั้นร่างสูงก็ยื่นถุงเงินสองถุงให้เซียวหลินหลิง
“ถือว่าเป็นค่าทำขวัญของเจ้าละกัน” ส่วนอีกถุงเป็นค่าภาพวาดและเงินที่เหลือเขาจะเอาไปซื้อพู่กันด้ามใหม่ คงได้หลายด้ามเลยทีเดียว
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” วินาทีที่เซียวหลินหลิงจะยื่นมือไปรับ เจินเจินก็ชิงคว้าถุงเงินทั้งสองใบมาจากมือของซือหยวนซา เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็ไม่ว่าอะไร แล้วหันกลับไปเอ่ยกับสองพ่อลูกสกุลซ่งว่า
“ส่วนเรื่องเอาตัวส่งทางการน่ะ... ข้าขอเปลี่ยนเป็นให้เจ้าไปสมัครเป็นทหารเกณฑ์ทางทิศบูรพา... รับใช้แคว้นสักผลัดละกัน” จากนั้นจึงหันไปถามความเห็นเซียวหลินหลิง
“แล้วแม่นางคิดเห็นว่าอย่างไร?”
“วิธีนี้ก็ไม่เลวนะเจ้าคะ!!” ร่างบางกล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่บอกพี่ใหญ่หรอกว่าพวกเจ้าเป็นใครหรือเคยมีเรื่องอะไรกับข้า” ร่างสูงโปร่งกล่าวดักคอเมื่อเห็นสีหน้าของแต่ละคน
พี่ใหญ่... ข้าหาพลทหารให้ท่านได้แล้ว ตั้งสี่คนแน่ะ!
คนหนึ่งมีศักดิ์เป็นถึงลูกเถ้าแก่ด้วยนา หากมีฝีมือท่านก็จับยัดเข้ากองทัพหลวงเลย!
ดีไม่ดีได้เงินสนับสนุนค่าอาวุธยุทโธปกรณ์ด้วย!
ซือหยวนซาคิดในใจอย่างอารมณ์ดี แต่ก็ยังแสร้งเอ่ยเสียงขรึม
“แต่ถ้าหากข้าไปตรวจสอบกับพี่ใหญ่แล้วไม่มีรายชื่อของพวกเจ้าล่ะก็…”
“ต้องมีแน่นอนขอรับ! ข้าสาบานภายในสองวันจะเดินทางไปสมัครเป็นทหารเกณฑ์ของชายแดนบูรพาให้เร็วที่สุด!!” ซ่งเจียสีกล่าวด้วยท่าทางละล่ำละลัก
“ข้าจะเป็นคนคุมบุตรชายกับสามคนนี้เดินทางไปด้วยตนเองเลยขอรับ! คุณชายมิต้องห่วง” ซ่งเอียกี๋สำทับ ก่อนที่สองพ่อลูกสกุลซ่งและบ่าวทั้งหมดจะลากลับไปโรงเตี๊ยมของพวกเขา...
Writer:อีตาซ่งเจียสีนี่ก็จุดไต้ตำตอจริงๆ 55555 จำชื่อนางไว้ดีๆ นะคะ ไม่สำคัญไรท์ไม่กล่าวถึงแน่นอน
เนอะอาซา อาซูออกจะเป็นคนใจดี๊ใจดี ไม่รู้ตาพ่อเอียกี๋จะโอเว่อร์ทำไม
เบื้องลึกของน้องหลินหลิง ยุทธภพไร้ใจ แต่ตัวข้าไม่ไร้รัก (ตอนนี้ก็กำลังเพิ่มเติมและแก้ไขเนื้อหาสำนวนภาษาอยู่)
และถ้าใครยังคิดว่าเรื่องนี้ยังฮาร์ดคอร์ไม่สุด ต้องพบกับ หัวเราะทีหลังดังกว่า!! เลยค่า ^_^ ความดราม่าอาจไม่เท่า แต่เนื้อเรื่องไม่เป็นรองใครแน่นอน!
ร่วมพูดคุยกันได้ที่ Han Yu หานยวี่ น้า
ปล.สำหรับคนชอบอ่านเรื่องสั้นๆ ปมไม่ซับซ้อนนะคะ
[สามพี่น้องตระกูลหาน] แต่งกับเจ้าแล้วไง! ข้าก็ไม่ได้รักเจ้าเสียหน่อย!