จุมพิตที่ริมฝีปาก มีบางสิ่งที่หลินเค่อสงไม่เคยเชื่อว่าจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเอาค้อนทุบหัวเธอมากแค่ไหนก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น การไหลย้อนกลับของแม่น้ำแยงซี หรือดาวหางฮัลเลย์พุ่งชนโลก…… แต่สิ่งเหล่านี้เทียบไม่ได้กับ ‘เจียงเฉียนฟ่าน’ ที่อยู่ตรงหน้าเธอ
จุมพิตที่ริมฝีปาก มีบางสิ่งที่หลินเค่อสงไม่เคยเชื่อว่าจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเอาค้อนทุบหัวเธอมากแค่ไหนก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น การไหลย้อนกลับของแม่น้ำแยงซี หรือดาวหางฮัลเลย์พุ่งชนโลก…… แต่สิ่งเหล่านี้เทียบไม่ได้กับ ‘เจียงเฉียนฟ่าน’ ที่อยู่ตรงหน้าเธอ
ตอนที่ 7 จับขโมย
แต่เจียงเฉียนฟานก็ยังคงนั่งอยู่ที่เบาะหลังอย่างสบาย ๆ ใบหน้าเย็นชานั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่นิดเดียว
“เธอยังมีที่จะไปไหนอีกไหม”
น้ำเสียงของเจียงเฉียนฟานไม่ใช่การตั้งคำถาม แต่เหมือนการประกาศเสียมากกว่า
คำถามนี้ทำให้หลินเค่อสงรู้สึกเหมือนมีก้อนไฟพุ่งขึ้นจากอกไปที่สมอง รู้สึกอยากจะโยนจักรยานทิ้ง แล้วจับเขาใส่ถุงแล้วเหยียบเขาให้จมไปในร่องถนน
อ้อ จริงสิ คนคนนี้ตาบอด ไม่ต้องใช้ถุงเลยก็ได้ เสียดายที่ผู้ช่วยของเขาถ่ายรูปบัตรประชาชนของเธอไปแล้ว
ฉันไม่โกรธ ฉันไม่โกรธ ไม่โกรธเลยจริง ๆ
เธออดทนกับซ่งอี้หราน คุณชายไร้สมองมา 10 ปีแล้ว เจียงเฉียนฟานก็แค่คนตาบอดคนหนึ่งเท่านั้น!
คนเขาตาบอด ถ้าจะทำตัวประหลาด ๆ ก็คงต้องปล่อยให้ประหลาดไป!
“แน่นอนว่ายังมีค่ะ เมืองนี้ใหญ่ขนาดนี้ จะกินให้ครบทุกจานได้ง่าย ๆ ซะที่ไหนล่ะ”
หลินเค่อสงนึกขึ้นได้ว่ามีร้านหนึ่งที่ขิงทอดกรอบของเขาไม่เลว แน่นอน เธอรู้ดีว่ามันคงจะไม่ดีพอสำหรับลิ้นของเจียงเฉียนฟาน แต่ในเมื่อเธอตกลงที่จะเป็นไกด์พาชิมอาหารให้เขาหนึ่งวัน ตราบใดที่เวลายังเหลือ เธอก็จะพยายามพาเขาไปทุกที่ที่เขาจะกินได้
เพียงแต่ตอนนี้ หลินเค่อสงกลายเป็นเหมือนมะเขือเปาะที่เหี่ยวเฉา จึงก้มศีรษะลงอย่างท้อแท้ในใจ ไม่มีแววของความมุ่งมั่นที่เคยมีในตอนเริ่มต้นเลย
บรรยากาศรอบตัวเริ่มมีกลิ่นฉุน หลินเค่อสงเพิ่งรู้ตัวว่าเธอมาถึงหน้าโรงเรียนมัธยมต้นของเธอแล้ว ที่มุมหนึ่งของสายตา เธอเห็นร้านขายเต้าหู้เหม็นทอด เธอคิดถึงตอนที่เธอกินเต้าหู้เหม็นต่อหน้าซ่งอี้หรานเป็นครั้งแรกขึ้นมาทันที
เธอกินด้วยความเอร็ดอร่อย แต่เจ้าแสบนั่นกลับทำหน้าทำตาเหมือนจะอาเจียน
หลินเค่อสงยิ้มมุมปาก เธอรู้สึกอยากเล่นสนุกอีกแล้ว
"เรามาถึงแล้วค่ะ ลองชิมเต้าหู้เหม็นที่นี่ดู"
“เต้าหู้เหม็นไม่ใช่เมนูเด่น” เจียงเฉียนฟานขมวดคิ้วเล็กน้อย
หลินเค่อสงคิดในใจว่าตอนนี้แหละ ได้เห็นอะไรสนุก ๆ แน่ คุณยายคนนี้จะรอดูว่าคุณพี่จะอาเจียนเมื่อไหร่
"คุณนี่ไม่รู้อะไรเลยนะ ทั้งเมืองนี้ ใคร ๆ ก็รู้จักร้านเต้าหู้เหม็นนี้ รู้ไหมว่ามีนักเรียนกี่คนที่ปั่นจักรยานมาซื้อเต้าหู้เหม็นที่นี่หลังเลิกเรียน แต่วันนี้คุณโชคดีสุด ๆ เลย นักเรียนกลับบ้านกันหมดแล้ว ไม่ต้องต่อคิว ดีจริง ๆ !"
"ฉันไม่กินเต้าหู้เหม็น" เสียงของเจียงเฉียนฟานเย็นชาและเต็มไปด้วยคำสั่ง
หลินเค่อสงตั้งแต่แรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะชวนเขากินเต้าหู้เหม็นอยู่แล้ว
การทำให้คนคลื่นไส้ ไม่จำเป็นต้องบังคับให้เขากินอาหารที่ทำให้เขารู้สึกแย่เสมอไป
"ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันจะพาคุณไปกินขิงทอดทีหลัง แค่ผ่านมาแถวโรงเรียนเก่าของฉันเอง คุณก็ให้ฉันได้สนองความอยากหน่อยเถอะ"
"เธอกำลังทำให้ฉันเสียเวลา การจ่ายเงิน 1,000 ดอลลาร์ต่อวันเพื่อเป็นไกด์นำเที่ยวไม่ได้รวมเวลาที่ต้องรอเธอกินเต้าหู้เหม็นด้วย"
เสียงของเจียงเฉียนฟานฟังดูเหมือนออกมาจากหุ่นยนต์ ทุกคำพูดแม่นยำจนสามารถแข่งกับผู้ประกาศข่าวได้ โดยเฉพาะโทนเสียงเย็นชานั้น มันช่างฟังดูเหมือนกำลังท้าทายให้โดนต่อย
หลินเค่อสงกระพริบตา เขายังคิดเล็กคิดน้อยแม้แต่เรื่องการเสียเวลาไปเพียงนาทีกับการกินเต้าหู้เหม็น
ตามคาด นายทุนก็คือนายทุน!
รีดเค้นความคุ้มค่าทุกหยดจากคนงาน
หลินเค่อสงอยากจะต่อว่าเขามาก แต่คำกล่าวเรื่อง ‘เสียเวลา’ ของเจียงเฉียนฟาน แม้จะเรียบง่าย แต่ก็มีเหตุผลมาก จนในขณะนั้นหลินเค่อสงไม่รู้จะพูดอะไรดี
ขณะนั้นเอง มีคนสะพายกระเป๋าเป้ ใส่หมวก เดินผ่านทั้งสองคน เขาชนเจียงเฉียนฟาน แล้วก้มหน้าพูดคำว่า "ขอโทษ" เบา ๆ ก่อนจะรีบเดินจากไป
หลินเค่อสงยังคงมองเจียงเฉียนฟานอยู่เมื่อเขาพูดขึ้นว่า "คนที่เพิ่งชนผมขโมยโทรศัพท์ของผมไป"
"หา...อะไรนะ?"
เรื่องเปลี่ยนกะทันหันจนหลินเค่อสงไม่สามารถเชื่อมโยงระหว่างเต้าหู้เหม็นกับโทรศัพท์ได้
สองวินาทีต่อมา หลินเค่อสงก็รู้ตัว และมองไปทางผู้ชายที่สะพายเป้ ซึ่งตอนนี้เริ่มกลมกลืนไปกับฝูงชน
"อยู่ที่นี่นะ! อย่าไปไหน ฉันจะไปเอาโทรศัพท์ของคุณคืนมา!"
หลังจากพูดจบ หลินเค่อสงก็หันจักรยานแล้วปั่นอย่างแรงไล่ตามผู้ชายคนนั้นไป
ในชีวิตของเธอ สิ่งที่เธอเกลียดที่สุดก็คือพวก ‘มือที่สาม’ หรือ ‘พวกหัวขโมย’
มีมือมีเท้า มีความสามารถในการล้วงกระเป๋าได้ ทำไมไม่หางานทำดี ๆ ล่ะ! ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา เธอไปดูการแสดงพลุกับพ่อแม่ หลังจบการแสดง โทรศัพท์ของเธอก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย!
หลินเค่อสงไม่ได้ตะโกนว่า "จับขโมย" แต่เธอกลั้นความโกรธและพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อเธอเกือบจะถึงตัวชายคนนั้น ไอ้เจ้านั่นหันกลับมาและเห็นหลินเค่อสงแล้วก็รีบวิ่งหนีทันที
เอาซี่ ขาสองข้างของนายจะวิ่งสู้ล้อสองล้อของฉันได้เหรอ!
หลินเค่อสงไล่ตามเขาอย่างกล้าหาญ ขณะที่ผู้คนที่เดินผ่านไปมาเริ่มหลีกทางให้เธอ
ตอนนี้เธอเริ่มตะโกนขึ้นว่า "โจรขโมยโทรศัพท์! ช่วยจับขโมยโทรศัพท์ที! ขโมยที่สะพายกระเป๋าหนังสีดำ! ช่วยกันจับเขาหน่อย!"
โจรตัดสินใจถอดกระเป๋าของเขาออกแล้วโยนมันใส่ตู้ไปรษณีย์ข้างทางแบบสุ่ม
หลินเค่อสงยังคงตะโกนต่อ "โจรขโมยโทรศัพท์! คนที่ใส่หมวกไหมพรมสีน้ำตาล!"
โจรถอดหมวกไหมพรมของเขาออกแล้วยัดมันลงในกระเป๋า ผมสองสามเส้นบนหนังหัวล้านเตียนของเขาปลิวไปมาในสายลม
"ขโจรโมยโทรศัพท์! ไอ้หัวล้านนั่น! ทุกคนช่วยกันจับหน่อย!"
พนันได้เลยว่านายจะงอกผมขึ้นมาทันทีไม่ได้หรอก!
ลุงใจดีสองคนช่วยจับหัวขโมยหัวล้านไว้ หลินเค่อสงกำลังจะเดินไปขอบคุณ แต่ใครจะคิดว่าลุงทั้งสองจะพาหัวขโมยหลบไปอยู่ข้างหลังพวกเขา
"น้องสาว เธอบอกว่าคนนี้ขโมยโทรศัพท์ของเธอ? แล้วโทรศัพท์ของเธอหน้าตาเป็นยังไงล่ะ? อธิบายได้ไหม?"
"คือว่าโทรศัพท์เป็นของเพื่อนฉัน ฉันยังไม่ได้ดูชัดเจนเลยว่ามันเป็นยี่ห้อไหนรุ่นไหน" หลินเค่อสงหอบหายใจ
"คุณหนู นั่นเป็นปัญหาของเธอแล้วล่ะ เธอเรียกให้จับโจรขโมยโทรศัพท์ แต่เธอยังไม่รู้เลยว่าโทรศัพท์หน้าตาเป็นยังไง แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าโทรศัพท์ที่เขาถือมันเป็นของที่ขโมยมาหรือว่าเป็นของเขาเอง"
หลินเค่อสงถึงบางอ้อแล้ว คนพวกนี้เป็นพวกเดียวกัน แต่หลินเค่อสงไม่ใช่คนที่จะยอมง่าย ๆ
สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ซ่งอี้หรานเคยบ้าขึ้นมา จู่ ๆ อยากเรียนเทควันโดแล้วลากเธอไปด้วย สุดท้ายหมอนั่นเรียนได้สามวันก็เลิก ส่วนหลินเค่อสงกลับเรียนไปได้ไกลหลายท่า จนสุดท้ายซ่งอี้หรานสรุปว่า หลินเค่อสงไม่ใช่แค่เพื่อน แต่ยังเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของเขาอีกด้วย!
หลินเค่อสงมั่นใจว่าเธอสู้กับหัวล้านคนนี้ได้ แต่ถ้าต้องสู้กับสองคนนั่นด้วย... เธอก็คงไม่ประเมินตัวเองสูงเกินไป
คนที่เดินผ่านไปมาต่างมองหลินเค่อสงด้วยความสงสาร
นายหัวล้านยิ้มอย่างเย้ยหยัน ก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ
หลินเค่อสงไม่สู้ในศึกที่เธอรู้ว่าจะต้องแพ้ แต่เธอก็ไม่เชื่อหรอกว่าพวกนี้จะไม่มีช่วงเวลาที่อยู่คนเดียว
เธอหันจักรยานเหมือนกำลังจะไป แต่จริง ๆ แล้วเธอขี่จักรยานอ้อมไปอีกทางหนึ่งของตรอก แล้วรออย่างใจเย็นจนหัวล้านเดินผ่านไป โดยที่พวกพ้องของเขายังยืนอยู่ตรงทางแยกของตรอกเหมือนกำลังระวังว่าหลินเค่อสงจะย้อนกลับมา
พวกโง่! น้ำไกลจะมาดับไฟใกล้ไม่ได้หรอก!
หลินเค่อสงพุ่งออกไปทันที ยกขาขึ้นเตะเข้าที่ท้องของหัวล้านจนอีกฝ่ายแทบจะอ้วกออกมา
เธอคว้าคอเสื้อของเขา ใช้แรงกดเขาไปที่กำแพง "โทรศัพท์ของฉันอยู่ไหน!"
"เหอะ เดี๋ยวพวกเพื่อนฉันก็มาแล้ว..."
หลินเค่อสงเหลือบมองไปยังปลายอีกด้านของตรอก เห็นพวกเพื่อนโง่สองคนกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่โดยหันหลังให้พวกเขา
"ทำไม? จะรอให้เพื่อนนายหันมาดูฉันต่อยหน้านายเหรอ!" หลินเค่อสงยกหมัดขึ้น "เชื่อไหมว่าก่อนเพื่อนนายจะมาถึง นายจะได้เป็นหัวหมูแน่! โทรศัพท์อยู่ไหน!"
"อยู่... อยู่ที่นี่..." หัวล้านกำลังจะล้วงกระเป๋าของเขา
แต่หลินเค่อสงไม่โง่ขนาดนั้น เผื่อหมอนี่หยิบมีดออกมาจะทำยังไง
"ฉันทำเอง!" หลินเค่อสงหยิบโทรศัพท์รุ่นใหม่เอี่ยมออกมาด้วยตัวเอง ชัดเจนว่าไม่ใช่สไตล์ของหัวล้านคนนี้แน่ ๆ "นี่คือโทรศัพท์ที่นายขโมยมาใช่ไหม?"
"ใช่... ใช่... ผมขโมยแค่เครื่องนี้... แค่เครื่องแรกวันนี้..."
หลินเค่อสงไม่โง่ เธอหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาแล้วถ่ายรูปหน้าหัวล้านคนนั้น จากนั้นก็ใช้เสียงข่มขู่และพูดว่า "ฟังนะ ถ้านายกล้าขโมยโทรศัพท์อีก หรือพาเพื่อน ๆ มาหาเรื่องฉันอีก ฉันจะส่งรูปนายให้ตำรวจ!"
"อย่าเลยครับ คุณผู้หญิง! ผมจะไม่ขโมยอีกแล้ว! ไม่ขโมยแล้วจริง ๆ!"
หลินเค่อสงถอนหายใจเบา ๆ และมองไปที่ทางเข้าตรอก จากนั้นเธอยกแขนขึ้นและดูเวลา เห็นว่ามีกล้องวงจรปิดพอดี ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักฐานได้ว่าเธอกำลังไล่จับหัวขโมย แต่กลับถูกพวกเขารุม เธอไม่เชื่อหรอกว่าเสือจะทิ้งลายได้ หมอนี่คงจะล้วงกระเป๋าอีกแน่นอน ไว้เธอจะไปแจ้งความภายหลัง
หลังจากนั้นเธอหันหลังแล้วปั่นจักรยานกลับไปที่หน้าโรงเรียนเพื่อหาเจียงเฉียนฟาน
ขณะที่ปั่นจักรยาน หลินเค่อสงก็นึกถึงการกระทำอันกล้าหาญของตัวเอง
ไอ่หยา..กล้าตีหัวขโมยโทรศัพท์แบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายควรทำเหรอ?
แบบนี้เธอก็ไม่อ่อนหวานน่าทะนุถนอมเหมือนนกที่พึ่งพาคนอื่นแล้วสิ
ถ้าหากเป็นจูถิงเจอสถานการณ์แบบนี้ หล่อนคงจะยืนกรีดร้องอยู่ข้าง ๆ รอให้ซ่งอี้หรานไปเอาโทรศัพท์คืนให้แล้ว
อ้อ... ไม่สิ ซ่งอี้หรานคงไม่ตามไปเอาโทรศัพท์คืนหรอก เขาน่าจะพูดว่า "ไม่เป็นไร เดี๋ยวซื้อใหม่ก็ได้..."
นอกจากนี้ วันนี้เธอก็โชคดีจริง ๆ ถ้าเพื่อน ๆ ของหัวล้านอยู่ด้วย เธอคงไม่ได้โทรศัพท์คืน และถ้าพวกเขาสังเกตเห็นเธอและรีบวิ่งมา เธอเองก็คงทำได้แค่ปั่นจักรยานหนีเพื่อเอาตัวรอด
อ๊า... หลินเค่อสง เธอไม่ควรใจร้อนขนาดนั้น ควรจะพาเจียงเฉียนฟานไปแจ้งความที่สถานีตำรวจสิถึงจะถูก
ขณะที่เธอกำลังคิดถึงภาพของเจียงเฉียนฟานนั่งอยู่ที่สถานีตำรวจ ล้อหน้าของจักรยานก็บดกับก้อนหินเล็ก ๆ ทำให้ล้อเอียงและเธอก็ล้มลงจากจักรยาน
ล้อจักรยานยังคงหมุนต่อไป
ปากของหลินเค่อสงบิดเบี้ยวไปด้านข้าง ฝ่ามือของเธอแสบราวกับไฟเผา เมื่อยกมือขึ้นมาดูก็เห็นว่าพื้นที่ใหญ่ของฝ่ามือถลอก เธอเงยหน้าขึ้นถอนหายใจ จากนั้นลุกขึ้นยืน หยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาแล้วกดไปที่ฝ่ามือ
เมื่อเธอมาถึงประตูโรงเรียนก็เป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว
ร้านเต้าหู้เหม็นกำลังเก็บร้าน และเจียงเฉียนฟานก็หายไปแล้ว