แสงแดดของฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่นส่องผ่านช่องว่างผ้าม่าน ตกกระทบลงบนผ้าปูที่นอนสีขาว คนบนเตียงมีใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย ผมของเธอเปียกเหงื่อจนติดบนหน้าผากและบางส่วนยังติดบนใบหน้า
คิ้วของเจียนอ้ายขมวดย่นเล็กน้อย เธอตกอยู่ในความมึนงง รู้สึกราวกับว่ามีสารตะกั่วอยู่เต็มศีรษะ ประสาทของเธอสั่นระริกและเธอรู้สึกราวกับว่ามันกำลังจะระเบิด หลังของเธอซึ่งนอนอยู่บนฟูกที่แข็งเหมือนก้อนหินกำลังเจ็บปวด ชุดชั้นในที่ซับเหงื่อแนบติดอยู่กับลำตัว ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง ขนตาของเธอสั่นเล็กน้อย จากนั้นเจียนอ้ายก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก
ในความมึนงง สิ่งแรกที่เธอเห็นคือตู้เสื้อผ้าแบบเก่าที่มีสีเหลืองตองอ่อนที่ลอกร่อน มีแจกันแก้วสีเขียววางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ดอกแดฟโฟดิลที่เหี่ยวเฉาที่กำลังจะหลุดออกจากก้าน และนาฬิกาปลุกที่ดูเหมือนลูกเชอร์รี่กำลังจ้องมองเธอด้วยดวงตาเบิกโพลง
เจียนอ้ายเห็นแสงสีขาววาบวับในความคิด วิญญาณที่สิ้นหวังของเธอถูกกระตุ้นกลับเข้าสู่ร่างกายของเธอทันที และร่างกายที่อ่อนแอของเธอก็เด้งลุกขึ้นจากเตียง
เมื่อสำรวจสภาพแวดล้อมรอบๆ เธอพบว่านี่ไม่ใช่อพาร์ตเมนต์สุดหรูของเธอในเมืองหลวง ทว่าผ้าปูที่นอนสีขาว ผ้าม่านมัสลินผืนบาง และของตกแต่งในห้องล้วนดูคุ้นตา
นี่ไม่ใช่บ้านของเธอหรือเมืองหลวง มันเป็นบ้านของเธอในเมืองไป่หยุน สถานที่ที่เธอเติบโตขึ้นมา!
ไม่น่าเชื่อ! เจียนอ้ายมองทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางงุนงง ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่? บ้านเก่าหลังนี้ไม่ใช่พังไปนานแล้วเหรอ?
ส่วนตัวเธอ....
เจียนอ้ายหลับตาและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อระลึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เธออาศัยอยู่ในบ้านหลังเก่านี้จนกระทั่งเธออายุสิบเจ็ดปีและเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวง เมื่ออายุได้สิบเก้าปี แม่ของเธอเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง และพี่ชายของเธอออกไปทำงานก่อสร้างเพื่อหาเงินส่งเธอเรียน อย่างไรก็ตาม เขาประสบอุบัติโดยไม่คาดฝันและจากโลกนี้ไป จากนั้นเป็นต้นมา สมาชิกในครอบครัวที่สำคัญที่สุดสองคนในชีวิตของเจียนอ้ายก็จากเธอไปทีละคน โดยทิ้งเธอไว้ตอนเธอเรียนอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 3
หลังจากจมอยู่กับความเศร้าอยู่พักหนึ่ง เจียนอ้ายตัดสินใจเผชิญอนาคตเพียงลำพัง
ทีมงานก่อสร้างให้เงินชดเชยการตายของพี่ชายเธอ เจียนอ้ายยังได้รับเงินจำนวนมากจากการรื้อถอนบ้านเก่า ด้วยเงินจำนวนนี้เธอจึงเริ่มต้นทำธุรกิจในเมืองหลวงด้วยความชาญฉลาดและทักษะเฉพาะตัวของเธอ ราวกับว่าเธอมีหัวทางธุรกิจติดตัวมาตั้งแต่เกิด ในเวลาเพียงไม่กี่ปี เจียนอ้ายได้สร้างชื่อให้กับตัวเองในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ของเมืองหลวงและกลายเป็นนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จ
ภาพทรงจำนั้นหยุดนิ่งอยู่กับที่ คนขับรถกำลังขับรถให้เธอไปเซ็นสัญญากับหุ้นส่วนธุรกิจ เมื่อรถขับมาถึงสี่แยก รถบรรทุกที่ขับตีคู่ด้านข้างก็เลี้ยวกระทัน....
จากนั้น...เธอก็....ตาย?
เธอลืมตาขึ้นและมองดูภาพตรงหน้าที่ทำให้เธอรู้สึกมึนงงแต่คุ้นเคย หรือชีวิตจริงของเธอเป็นเพียงแค่ความฝัน?
เจียนอ้ายลุกจากเตียงไปที่ตู้เสื้อผ้าและเปิดมันอย่างชำนาญ มีกระจกอยู่ที่ด้านในของประตู กระจกสะท้อนใบหน้าที่ซีดขาวและร่างกายที่ผอมแห้ง เห็นได้ชัดว่าเธอยังไม่หายจากอาการป่วยหนัก
เธอยกมือขึ้นและสัมผัสใบหน้าอย่างระมัดระวัง มันให้ความรู้สึกเหมือนจริงมากจนเจียนอ้ายกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
ที่ด้านบนของตู้เสื้อผ้าคือชุดนักเรียนมัธยมปลายของเธอ มันล้าสมัย และสีก็ซีดจาง
ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นจากภายนอก หัวใจของเจียนอ้ายเต้นแรง และร่างกายของเธอก็สั่นโดยไม่ได้ตั้งใจ
เจียนอ้ายรีบไปที่ประตูและเปิดประตูออก ภายในห้องนั่งเล่นเล็กๆ หวางหยุนเหม่ยกำลังวางผลไม้ในมือลงบนโต๊ะ เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด หวางหยุนเหม่ยก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมาดู เมื่อเห็นลูกสาวยืนอยู่ที่ประตูด้วยใบหน้าอ่อนเพลีย เธอก็อุทานว่า “โอ้ เสี่ยวอ้าย ทำไมลูกถึงลุกจากเตียงเร็วจังเลย รีบกลับไปนอนเถอะ เดี๋ยวเป็นหวัดนะ”
ขณะที่เธอพูด หวางหยุนเหม่ยก็เดินไปหาเจียนอ้ายอย่างรวดเร็ว ขณะที่เธอกำลังจะช่วยลูกสาวเข้าไปในห้อง ลูกสาวของเธอก็กอดเธอแน่น
“แม่คะ!”
เจียนอ้ายดูเหมือนจะใช้กำลังทั้งหมดเพื่อเรียก 'แม่' เธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปในขณะที่โถมตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของแม่และเริ่มร้องไห้
ในความทรงจำของเจียนอ้าย แม่ของเธอทำงานเป็นคนคุ้มกันที่ไนท์คลับนานเท่าที่เธอจำได้ นี่เป็นงานที่ไม่เหมาะสมในสายตาของคนอื่น และด้วยเหตุนี้ เพื่อนบ้านจึงวิจารณ์แม่ของเธอ แม้แต่ตายายและลุงของเธอก็ไม่เคยติดต่อกับครอบครัวของเธอเลย
นอกจากนั้น แม่ของเธอยังเช่าแผงลอยเล็กๆ ริมถนนไม่ไกลจากบ้าน ทุกเช้าแม่จะต้องตื่นแต่เช้าไปทอดแป้งกรอบและขายอาหารเช้า แม่ใช้ชีวิตแบบนี้มาเป็นเวลากว่าทศวรรษแล้ว เพื่อเลี้ยงดูตัวเองและพี่ชายของเธอ
เจียนอ้ายและพี่ชายไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพ่อเลย เนื่องจากแม่ไม่พูด พวกเธอจึงไม่ถาม ในใจของเธอมีเพียงแม่และพี่ชายเท่านั้นที่สำคัญ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเธออายุได้สิบเก้าปี พระเจ้าก็เล่นตลกกับเธออีกครั้ง แม่ของเธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้ายและเสียชีวิตในเวลาเพียงสองเดือนต่อมา ทำให้ครอบครัวที่ลำบากอยู่แล้วยิ่งแย่ลงไปอีก เธอไม่ได้เจอหน้าแม่เป็นครั้งสุดท้ายเพราะขณะนั้นเธอกำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองหลวง
เจียนอ้ายรู้สึกถึงกลิ่นหอมที่คุ้นเคยบนร่างกายของแม่ เธอร้องไห้หนักมากจนรู้สึกเจ็บที่ซี่โครง หากนี่คือความฝัน เธอยินดีแลกทุกอย่างที่มีกับความฝันนี้โดยที่ไม่ต้องตื่นขึ้นมา
หวางหยุนเหม่ยตกใจกับการกอดอย่างกะทันหันของลูกสาว เมื่อเธอได้สติก็รีบตบหลังลูกสาวอย่างปลอบโยน “เอาล่ะๆ ลูกรัก ร้องไห้ทำไม? กลับไปนอนเร็วเถอะ ไข้ของลูกเริ่มลดแล้ว ระวังอย่าให้ตัวเองเป็นหวัดอีก”
เมื่อมองดูดวงตาแดงก่ำของลูกสาว หวางหยุนเหม่ยอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “หมอบอกว่าลูกตกใจมาก อารมณ์ของลูกก็เลยแปรปรวน แม่ไม่รู้เลยว่าจะแปรปรวนขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่แม่เห็นลูกร้องไห้หนักมากขนาดนี้”
แม่เช็ดน้ำตาของเธอ แม้ว่าเจียนอ้ายจะไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว แต่เธอยังคงแสร้งทำเป็นปกติและพูดว่า “แม่คะ หนูขอไปอาบน้ำก่อน ตัวเหนียวหมดแล้ว รู้สึกไม่สบายตัวเลย”
“ได้ๆ ไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวแม่ไปเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ เหงื่อคงเปียกโชกเต็มที่นอนหมดแล้วล่ะมั้ง”
หวางหยุนเหม่ยสันนิษฐานว่าลูกสาวของเธอคงตกใจกลัว ดังนั้นเธอจึงไม่คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
ในห้องน้ำ ฝักบัวแบบธรรมดาก็ฉีดน้ำเป็นระยะๆ หัวใจของเจียนอ้ายค่อยๆ สงบลง
มันเป็นจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิในปี 2002 เป็นเวลาสิบสองปีก่อนที่เธอจะเกิดอุบัติเหตุ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความฝัน เธอกลับมาเมื่อสิบสองปีที่แล้วตอนที่เธออายุสิบสี่!
หากเธอไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ในชีวิตนี้ โอกาสนี้จะมีประโยชน์อะไร? เจียนอ้ายกำหมัดและสาบานกับตัวเอง...คราวนี้เธอต้องช่วยแม่และพี่ชายของเธอ และเปลี่ยนชีวิตครอบครัวของเธอให้ได้!
ทุกวัน