"หมายความว่าพวกเราไม่ควรเข้าไปยุ่งอย่างนั้นเหรอครับ?" นายท่านเย่เอ่ยถาม
"ใช่" อาจารย์หวงพยักหน้า
"คุณชายรองอยู่ในวงการบันเทิงซึ่งหมายความว่าคนผู้นั้นต้องอยู่ในแวดวงธุรกิจบันเทิงเช่นเดียวกัน ถึงแม้คุณอยากจะให้ลูกชายคุณกลับมาบริหารธุรกิจ แต่มันคงดีกว่าถ้าปล่อยให้เขาได้อยู่ในที่ที่เขาอยู่ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นดวงชะตาของเขาอาจจะพลิกกลับมาแย่เหมือนเดิม"
"ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอบคุณอาจารย์มากสำหรับคำแนะนำ!" นายท่านเย่พยักหน้ายอมรับ
"ไม่ ครั้งนี้ควรจะเป็นผมที่ต้องเอ่ยคำขอบคุณ ผมอยู่ในวงการนี้มานานและคุณเป็นคนมอบโอกาสให้พบพลังงานบริสุทธิ์นี้อีกเป็นครั้งที่สอง" อาจารย์หวงกล่าว
"ผมต้องกลับไปดูแล้วว่าพลังงานนี้มาจากที่ใดและใครเป็นเจ้าของมัน"
"ดีครับ ถ้าอาจารย์อยากจะพบคนผู้นั้น ที่เราต้องทำคือบอกให้เย่เป่ยเฉิงหาทางใกล้ชิดคนผู้นั้นใช่ไหมครับ"
"ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นหรอก ทุกอย่างบนโลกนี้มันมีเวลาของมัน เมื่อถึงเวลาที่สมควรก็จะเปิดเผยออกมาเอง หากเขาทั้งสองมีชะตาร่วมกัน นั่นก็เป็นเพราะเบื้องบนได้กำหนดไว้แล้ว ถ้าเราเข้าไปก้าวก่ายย่อมเกิดเหตุไม่คาดฝันตามมา" อาจารย์หวงก้มหน้าลง
"แน่นอนว่า ถ้าคนผู้นี้ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบาก คุณชายรองต้องเข้าไปช่วยเหลือแต่ต้องช่วยแบบอ้อมๆ ถึงจะเป็นประโยชน์ต่อตัวคุณชายรอง"
"เข้าใจแล้วครับ" นายท่านเย่ค้อมตัวลงเพื่อแสดงความเคารพต่ออาจารย์ฮวง แต่อาจารย์หวงรีบบอกเขาว่า "อายุเราน่าจะใกล้เคียงกันนะครับ" แล้วหัวเราะเบาๆ
ถึงแม้อาจารย์หวงจะเป็นแขกคนพิเศษ แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ร่วมทานข้าวเย็นด้วย เนื่องจากติดธุระสำคัญอื่นต่ออีก
วันนี้คือวันเกิดของเย่เป่ยเฉิง แม่บ้านได้เตรียมเค้กสองชั้นไว้ให้เขา
เมื่อหัวหน้าครอบครัวมายังห้องรับประทานอาหาร ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างแปลกใจที่ชายชราผู้นี้ไม่แสดงอาการโกรธเกรี้ยวเมื่อเห็นเย่เป่ยเฉิง
"กินกันเถอะ" นายท่านเย่เอ่ยขึ้น หลังจากทุกคนนั่งลงเก้าอี้
คุณนายเย่หันไปมองลูกชายคนที่สองของเธอ
เธอระวังไม่ให้เย่เป่ยเฉิงทำให้พ่อของเขาต้องอารมณ์เสีย แต่ผิดคาด นายท่านเย่เห็นเค้กสองชั้นแล้วพูดอย่างอารมณ์ดีว่า "นี่ไม่ใช่วันเกิดเป่ยเฉิงหรอกรึ? แม่บ้านชางช่วยตัดเค้กแบ่งให้ทุกคนที"
แม่บ้านชางหยิบจานและตัดแบ่งเค้กใส่จานก่อนเสิร์ฟให้ทุกคน
ถึงแม้จะไม่มีเทียนวันเกิด แต่มันก็เกินความคาดหมายสำหรับเย่เป่ยเฉิง
เย่เป่ยฉิงใช้สายตาแหลมคมดุจเหยี่ยวจ้องไปยังน้องชายของเขาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเพื่อประเมิน
แม่บ้านชางวางจานเค้กลงตรงหน้าลูกชายคนรองของบ้าน
เย่เป่ยเฉิงยกช้อนตักชิมด้วยความระมัดระวัง รสสัมผัสแรกที่เข้าสู่ปลายลิ้นคือรสหวาน จนเขาต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย มันทำให้เขานึกถึงตอนที่เฉียวโม่หยูกินเค้กที่นำมาให้เขา
เห็นได้ชัดว่าเค้กนี้เลี่ยนมาก แต่เธอก็กินได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผิดกับนักแสดงคนอื่นที่กลัวการกินของหวานมากแม้จะคำเล็กๆก็ไม่ได้ ด้วยเพราะกลัวจะทำให้น้ำหนักขึ้น แต่เฉียวโม่หยูกลับกินเค้กได้หน้าตาเฉยราวกับนั่นคือทั้งหมดที่เธอมีแล้ว
‘ฮึ ฮึ’ เย่เป่ยเฉิงหัวเราะในใจ
เย่เป่ยเฉิงไม่ได้พักอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ในช่วงวันธรรมดาแต่พักที่บ้านพักส่วนตัวในเมืองแทน หลังจบมื้อเย็น เขากล่าวลาพ่อของเขา นายท่านเย่จึงเอ่ยถามขึ้นว่า
"พรุ่งนี้มีถ่ายละครหรือเปล่า?"
เย่เป่ยเฉิงจ้องไปที่ดวงตาของพ่อเขาแล้วพยักหน้ารับอย่างช้าๆ "ครับ"
"ถึงงานจะยุ่งแค่ไหน ก็ควรหาเวลากลับมาบ้านบ้างนะ" หลังจากพูดจบ นายท่านเย่จึงโบกมืออนุญาตให้เขาไปได้
เย่เป่ยเฉิงประหลาดใจ วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับพ่อของเขา?