Your Wishlist

ศึกสองนางพญา (ศึกสองนางพญา)

Author: xxx555

รัชกาลฉุงเจิงฮ่องเต้ แผ่นดินเกิดภัยพิบัติ​ทางการยังเก็บภาษีเพิ่มประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เหล่าโจรปล้นชิงทรัพย์ ขันทีโฉดครองเมือง กองกำลังแมนจูทางภาคเหนือยังรุกรานเข้ามา สั่นคลอนต่อบัลลังก์มังกร

จำนวนตอน :

ศึกสองนางพญา

  • 18/04/2568

แนเสี่ยวเชี่ยนและเฟยจินเอ๋อแยกย้ายประคองเจาเหยินกงจู้ เด็กหญิงซุกซนเป่าเอ๋อคอยคุ้มครองเตลิดสู่ทุ่งรกร้าง จากนั้นก็หยุดพัก หยิบเสื้อคลุมยาวของเหวียนยั่วเฟยจากห่อผ้าแบ่งให้พวกกงจู้ทั้งสามสวมปิดร่างที่เปล่าเปลือย

 

พลันได้ยินเสียงฝีเท้าไล่หลัง ทั้งหมดพอเหลียวหน้าไป เห็นเหวียนยั่วเฟยถือพัดจีบ วิ่งปราดมาสมทบ

 

เป่าเอ๋อร้องเรียก "นายน้อย" ผละจากกงจู้ทั้งสามวิ่งถึงข้างกายเหวียนยั่วเฟย ขณะนั้นเสียงผีเท้าดังขึ้นอีก ที่แท้เป็นแม่ชีเทพยดาเช็งเซียนจือกับศิษย์ชงยี้ตามมาสมทบ

 

เฟยจินเอ๋อลอบมองใบหน้าของชงยี้ พวงแก้มเป็นสีแดงซ่าน รู้สึกบุรุษผู้นี้ช่างงามสง่าต่างจากบุรุษอื่น วงหน้าของชงยี้ถึงกับสวยหวานจนคล้ายสตรี

 

 อายุก็ราวจะอ่อนเยาว์กว่าตัวเองถึงสองสามปี หัวใจต้องเต้นระทึกอย่างไม่ทราบสาเหตุ ชงยี้เห็นนางมองมาก็มองตอบพร้อมกับส่งยิ้มอันชวนลุ่มหลงให้ เฟยจินเอ๋อถึงกับหลบตาด้วยความอาย

 

ยามนั้นแนเสี่ยวเชี่ยนพลันประสานมือกล่าวว่า

"ขอบคุณท่านทั้งสี่ที่ช่วยเหลือ มิทราบพวกท่านมีนามใด"

ชงยี้ประสานมือคารวะตอบ

 

"ข้าพเจ้าคือเอี้ยชง ส่วนอาจารย์ของข้าพเจ้าคือ แม่ชีเทพยดาเช็งเซียนจื้อ"

 

ทั้งหมดอุทานดังอา แม่ชีเทพยดาเช็งเซียนจื้อมีชื่อเสียงลือลั่นอยู่ในยุทธจักร พลังฝีมือสูงล้ำจนไม่อาจคำนวณ ดูจากรูปโฉมที่งามสะคราญกลับมีอายุไม่มากอย่างที่คิด ทุกคนรีบคารวะ จากนั้นเหวียนยั่วเฟยก็แนะนำตัวเอง

 

"ข้าพเจ้าคือเหวียนยั่วเฟย ส่วนเด็กซุกซนนี้คือเป่าเอ๋อ"

"ที่แท้คือกระบี่ดอกท้อ เราขอแนะนำต่อพวกท่าน ท่านนี้คือองค์หญิงเจาเหยิน ส่วนข้าพเจ้าคือแนเสี่ยวเชียน น้องผู้นั้นคือเฟยจินเอ๋อ"

 

เจาเหยินกงจู้ยกมือปลดแพรคลุมหน้าลงมา วงหน้าอันงามพิลาศล้ำ จึงปรากฏแก่สายตาของทั้งหมดชัดเจน

 

เหวียนยั่วเฟยกับเอี้ยชงล้วนประสานมือคารวะ

"น้อมพบองค์หญิงเจาเหยิน" หยุดเล็กน้อยจึงถามว่า "ผู้ที่พวกท่านคิดลอบสังหารนั้นเป็นใคร"

 

แนเสี่ยวเชี่ยนกล่าวว่า

"เป็นเฉาฮั่วฉุน"

เหวียนยั่วเฟยตาสาดประกายวูบ กล่าวว่า

"น่าเสียดายนัก ข้าพเจ้าหากทราบแต่แรกว่าเป็นมัน จะไม่ปล่อยปละละเว้นมันแล้ว"

 

เอ่ยถึงตอนนี้ กวาดมองเจาเหยินกงจู้แวบหนึ่ง ส่วนเอี้ยชงนั้นไม่เอ่ยปากอะไรเอาแต่จ้องหน้าแดงซ่านของเฟยจินเอ๋อ ซึ่งปกติเฟยจินเอ๋อจะเป็นคนช่างพูด 

 

แต่ยามนี้เอาแต่เงียบปล่อยให้แนเสี่ยวเชี่ยนเอ่ยปากแต่เพียงผู้เดียว แม่ชีเทพยดาเช็งเซียนจื้อสังเกตุเห็นท่าทีของทั้งคู่ ต้องขมวดคิ้วส่ายหน้าช้าๆแล้วกล่าวว่า

"องค์หญิงพวกเรา มีเรื่องต้องกระทำ ขออำลา"

 

เจาเหยินกงจู้เอ่ยคำ "เชิญ" เหวียนยั่วเฟยก็ประสานมือต่อเจาเหยินกงจู้เพื่ออำลาด้วย

"องค์หญิงเชิญ"

เจาเหยินกงจู้ก้มศีรษะเล็กน้อย ทั้งหมดจึงแยกย้ายกันจากไป

 

เจาเหยินกงจู้ใช้สายตาส่งเหวียนยั่วเฟยจนลับตา ไม่ทราบเพราะเหตุใด จิตใจบังเกิดความอ้างว้างเลื่อนลอยชนิดหนึ่ง

 

 

ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับของฟ้า เช็งเซียนจื้อกับเอี้ยชงสองอาจารย์กับศิษย์จูงม้าเดินไปตามท้องถนน

 

ทั้งสอง หนึ่งเป็นบุรุษหนุ่มอายุเยาว์หน้างดงามหวานราวกับสตรี ท่าทีสำรวมเรียบร้อยดุจดั่งบัณฑิตคงแก่เรียน หนึ่งสวมชุดจีวรสีขาวนวล เค้าหน้าหมดจดงามสะคราญปานหยาดฟ้า

 

 ทุกส่วนสัดของรูปกายบ่งบอกความนุ่มนวลปราณีแต่เปี่ยมราศีสูงสง่า บุคลิกสูงล้ำราวกับนางเซียนน่าเลื่อมใส ทั้งสองเดินทางเข้ามาในเมือง ทำให้ผู้ที่สัญจรต่างหยุดเท้าเหลียวหน้ามาจ้องมองด้วยสายตาอันชื่นชมใคร่คบหา

 

มาถึงโรงเตี๊ยม ทั้งสองตกลงใจเข้ามาอาบน้ำชำระกายในห้องเสียก่อน ดังนั้น มอบม้าให้แก่ผู้รับใช้ที่มาต้อนรับ แล้วเดินเข้าประตูโรงเตี๊ยม ห้องพักของทั้งคู่อยู่ติดกัน

 

 

 เมื่อจัดเก็บสัมภาระและอาบน้ำอุ่นเสร็จแล้วก็ลงมารับประทานอาหารที่เหลาชั้นล่าง เซี่ยวยี่(ผู้รับใช้)เห็นบุรุษหนุ่มสวมเสื้อผ้าราคาแพง และแม่ชีหน้าตาเปี่ยมราศีผิดแปลกไปจากนักสู้ผู้ห้าวหาญ จึงลนลานต้อนรับเชิญไปนั่งในส่วนที่จัดเป็นที่นั่งชั้นพิเศษ

 

ขณะนั้นที่เหลาสุรา มีผู้คนนั่งสนทนาจนเซ็งแซ่ต่างเงียบงันทันที เงียบงันจนไม่มีสุ้มเสียงสำเนียงใด คล้ายดั่งจับตามองดูผู้มาใหม่ เอี้ยชงเชิญอาจารย์ไปนั่งที่โต๊ะริมระเบียง แล้วจึงสั่งอาหารเจกับเซี่ยวยี่ ยามนั้นคนทั้งปวงในเหลาจึงได้ยกถ้วยสุราดื่มกินกันเป็นโกลาหลอีกครั้ง

 

เมื่อเซี่ยวยี่เดินออกไป เอี้ยชงจึงลอบสังเกตบรรดาผู้ที่นั่งตามโต๊ะต่างๆ สายตาไปสะดุดอยู่ที่โต๊ะด้านหลังไม่ห่างกันนัก มีนักพรตสองคนที่มีอายุสูงวัยกว่าสี่สิบปี

 

 นักพรตคนแรกผอมแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก หน้าเสี้ยมคางหลิมตาลุกโพลง คนที่สองคิ้วหนาตากลมจมูกแบนใหญ่ ปากกว้าง มีหนวดกระจุกน้อยปกคลุม ใบหน้าเหี้ยมโหดอำมหิต บอกลักษณะชั่วร้ายเลวทรามอย่างเห็นได้ชัด ต้องขมวดคิ้วด้วยความชิงชังรังเกียจ

 

ยามนั้น เช็งเซียนจื้อกล่าวว่า

"ชงยี้ เมื่อกลางวันอาจารย์เห็นเจ้าเอาแต่จ้องมองแม่นางเฟยจินเอ๋อ เจ้าใช่สนใจนางหรือไม่"

เอี้ยชงได้ยินอาจารย์ถามตรงๆก็หน้าแดงฉาน ลนลานตอบว่า

 

"อาจารย์ ศิษย์..เปล่า"

เช็งเซียนจื้อเห็นท่าทีของเอี้ยชง ก็กล่าวเสียงเครียดว่า

"เอี้ยชง พวกเรามีภารกิจสำคัญต้องทำ หากเจ้าเริ่มต้นก็ลุ่มหลงในสตรี จะเป็นอุปสรรคต่องานของเรา"

เอี้ยชงก้มหน้ากล่าว

 

"อาจารย์ ชงยี้ทราบแล้ว ชงยี้จะไม่ทำให้อาจารย์ต้องผิดหวังเป็นอันขาด"

เช็งเซียนจื้อค่อยมีสีหน้านุ่มนวลปราณี กล่าวว่า

 

"เจ้าคิดได้ก็ดีแล้ว เจ้ายังมีอายุน้อย ยังจะได้พบปะกับโกวเนี้ยรูปงามอีกมาก เมื่อเสร็จเรื่องอาจารย์จะไม่บังคับเข้มงวดกับเจ้าอีก"

 

เอี้ยชงรับคำ ยามนั้นผู้รับใช้ก็เอาอาหารเจมาส่ง ทั้งสองต่างค่อยๆกินกันอย่างเงียบๆ ขณะกำลังรับประทานอาหารนักพรตผอมซูบหน้าตาอัปลักษณ์ก็เดินเข้ามาหา พร้อมกับกล่าวเสียงแหบห้าว

 

"แม่นางน้อยท่านนี้สวยงามนัก ไฉนไปบวชเป็นชีเสียเล่า"

เอี้ยชงได้ยินมันกล่าวแฝงความหมายลวนลามก็บันดาลโทสะ ขณะจะอาละวาด เช็งเซียนจื้อพลันส่ายหน้ายับยั้งไว้ แล้วกล่าวกับนักพรตเสียงนุ่มนวลว่า

 

"ท่านเป็นนักบวช มากล่าววาจาเช่นนี้ มิกลัวจะเป็นราคีเสื่อมความเคารพของคนทั่วไปดอกหรือ"

นักพรตผอมซูบยิ้มอย่างโฉดชั่วลามก กล่าวต่ออย่างคึกคะนองว่า

 

"เรามีปากอันไม่สะอาด ฟันที่ไม่บริสุทธิ์ แม่ชีน้อยมีหน้าตางามสะคราญทำให้เราสองเท้าอ่อนระทวยมิอาจจะเดินเหินได้ แม่ชีนางงาม ให้เราร่วมโต๊ะกับท่านดีหรือไม่"

 

เช็งเซียนจื้อขมวดคิ้ว นางมีอายุไม่น้อยแล้ว แต่เนื่องจากมีลมปราณบริสุทธิ์สูงล้ำ

 

 ทำให้ใบหน้าคงสภาพเนียนเต่งตึงผ่องใสคล้ายดรุณีวัยยี่สิบเศษ ซ้ำยังแฝงราศีสูงส่ง นักพรตทุศีลเห็นผิวเนื้อที่ขาวเนียนละเอียดประดุจหยกขาว แก้มเป็นสีแดง ระเรื่อ ครั้นกวาดตามองต่ำลงไปก็เห็นลำคอที่ขาวสะอาด ทรวงอกที่อวบอูม ถึงกับลุ่มหลงในความงาม กล่าวเสียงหื่นว่า

 

"แม่ชีนางงามออกบวชตั้งแต่อายุน้อย ช่างน่าเสียดายนัก มิสู้สึกออกมาแต่งงานกับเราเถอะ"

 

เอี้ยชงมาตรแม้นพยายามข่มกลั้นใจให้เยือกเย็น แต่เมื่อได้ยินวาจาหยาบช้าลามกก็ต้องขุ่นเคืองจนสั่นระริกหน้าตาเขียวคล้ำ จนใจที่อาจารย์ห้ามไม่สามารถอาละวาดออกมาได้

ยามนั้นเช็งเซียนจื้อร้อง อมิตพุทธ แล้วกล่าวว่า

 

"เต้าเฮียพร่ำกล่าวเหลวไหลเช่นนี้ ระวังจะต้องได้รับโทษทัณฑ์จากฟ้าดิน ถูกอัปเปหิเข้าสู่ขุมนรก ขอเชิญท่านกลับไปที่โต๊ะของท่านเถิด"

นักพรตผอมซูบหัวร่อฮาฮากล่าวว่า

 

"แม่ชีน้อยจะให้เต้าเอี้ยลงนรก แต่เต้าเอี้ยจะพาแม่ชีน้อยขึ้นสวรรค์ต่างหาก ฮาฮา ผิวของแมชีน้อยขาวละลานตา ให้เต้าเอี้ยทดลองดูว่าเนื้อนุ่มเพียงใด"

 

พูดจบก็ยื่นมือเข้าหา เช็งเซียนจื้อขมวดคิ้ว ยื่นสองนิ้วเข้าใส่ นักพรตผอมซูบพลันเบี่ยงมือเข้าหาทรวงอกอันอวบอูมอย่างหยาบช้า เอี้ยชงตวาดด้วยโทสะขณะจะสอดมือเข้าขัดขวาง มิคาดสองนิ้วของเช็งเซียนจื้อพลันพลิกแตะที่ข้อมือแห้งเล็กของนักพรตโฉด ได้ยินเสียงดังกร๊อบ พร้อมกับเสียงร้องโอดโอยโหยหวน

 

"โอ๊ยยยยย นังชีโสโครก เจ้า..."

 

นักพรตจมูกแบนใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างหลัง ได้ยินเสียงนักพรตผอมซูบร้องเสียงดัง ก็รีบลุกขึ้นจากโต๊ะเดินเข้ามา

"ซือตี๋(ศิษย์น้อง) เกิดอะไรขึ้น"

 

นักพรตผอมซูบข่มความเจ็บปวด ชี้ไปที่เช็งเซียนจื้อแล้วกล่าวว่า

"ซือเฮีย(ศิษย์พี่) นังชีโสโครกนี่หักข้อมือเรา"

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป