พิชิตศัตรูสิ้น สยบใต้หล้า เจียงฮ่าวเริ่มต้นจากศิลปะการต่อสู้สู่วิถีเซียนด้วยพรสวรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด!
พิชิตศัตรูสิ้น สยบใต้หล้า เจียงฮ่าวเริ่มต้นจากศิลปะการต่อสู้สู่วิถีเซียนด้วยพรสวรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด!
บทที่ 9 ของขวัญจากจ้าวเฮยถ่า!
“เจียงฮ่าว เจ้าช่างเหนือความคาดหมายของข้าเสียจริง เจ้าสามารถกลั่นพลังเลือดปราณได้ถึงสิบส่วนจนก่อให้เกิดพลังภายในที่แข็งแกร่งขึ้นเป็นเท่าตัวได้...เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องนี้มันหมายความว่าอย่างไร?”
เจียงฮ่าวส่ายหัว เขาเพียงแค่ทำตามคำแนะนำของจ้าวเฮยถ่าเท่านั้น แม้แต่เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าสภาพจิตใจของเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้และสามารถกลั่นพลังเลือดปราณได้ถึงสิบส่วน
“เจียงฮ่าว มีบางเรื่องที่ข้ายังไม่ได้อธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียด แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าจะต้องพูดให้เจ้าเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว”
“ระหว่างศิษย์สำนักกับนักศิลปะการต่อสู้สันโดษนั้น ไม่ว่าจะด้านใดก็แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ซึ่งความแตกต่างระหว่างทั้งสองด้านนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ระดับพลังเลือดปราณ ในขั้นพลังเลือดปราณนั้น ทุกคนต่างก็มีพลังแทบจะไม่ต่างกัน”
“เมื่อถึงขอบเขตพลังภายใน พลังภายในที่เกิดขึ้นก็จะแตกต่างกัน ศิษย์ของสำนักจะมีสมาธิในการทำให้พลังภายในเกิดขึ้นเองได้ตามธรรมชาติ ซึ่งพลังภายในนั้นก็จะมีพลังเสริม แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดคือในระดับพลังเลือดปราณจะสามารถฝึกฝนวิชาใดได้บ้างต่างหากคือสิ่งสำคัญ”
“เหตุผลที่การกลั่นพลังเลือดปราณมีความสำคัญ ก็เพราะยิ่งกลั่นพลังเลือดปราณได้มากเท่าไหร่ หลังจากเข้าสู่ขอบเขตพลังภายในแล้ว ก็จะสามารถฝึกฝนวิชาพลังได้มากขึ้นเท่านั้น และพลังภายในก็จะยิ่งทวีความร้ายกาจมากขึ้น”
“ยกตัวอย่างเช่น หากเจ้ากลั่นพลังเลือดปราณได้สามส่วน เจ้าก็จะสามารถฝึกฝนวิชาในขอบเขตพลังภายในได้สามวิชาและได้รับพลังเสริมจากพลังภายในสามสาย ทำนองเดียวกัน ตอนนี้เจ้ากลั่นพลังเลือดปราณได้สิบส่วน ดังนั้นเจ้าจึงสามารถฝึกฝนวิชาในขอบเขตพลังภายในได้สิบวิชาและจะได้รับพลังเสริมจากพลังภายในสิบสาย เมื่อถึงตอนนั้น ในขอบเขตพลังภายในจะมีใครเทียบเจ้าได้? ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพลังภายในที่แข็งแกร่งเช่นนี้จะมีประโยชน์อย่างมากต่อการก้าวเข้าสู่ขอบเขตพลังหยินและพลังแปลงสภาพในอนาคต!”
เจียงฮ่าวเข้าใจทันที เขาไม่คิดเลยว่าการกลั่นพลังเลือดปราณจะเกี่ยวข้องกับอะไรมากมายขนาดนี้ ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจ ที่ตอนนั้นเขาใช้พลังจิตเพื่อบังคับพลังเลือดปราณจนทำให้กลั่นเลือดปราณได้ถึงสิบส่วนก่อนข้ามขอบเขต มิเช่นนั้น ด้วยขีดจำกัดของเขาก็คงจะฝึกวิชาในขอบเขตพลังภายในได้เพียงสามวิชาเท่านั้น
“ท่านอาจารย์ ถ้าหากข้าใช้เคล็ดวิชาเพื่อข้ามมขอบเขต ข้าจะมีพลังภายในได้เพียงชนิดเดียวใช่ไหมขอรับ?”
“ใช่แล้ว การใช้เคล็ดวิชาเพื่อข้ามมขอบเขตจะฝึกฝนพลังภายในได้เพียงชนิดเดียว ถ้าหากฝึกฝนพลังภายในอื่นๆ ก็จะเกิดการขัดแย้ง แต่พลังภายในที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินั้นแตกต่างกันเพราะมันสามารถผสานรวมพลังภายในหลายชนิดได้โดยไม่เกิดความขัดแย้งกัน”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของอาจารย์ เจียงฮ่าวจึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่แปลกใจที่อาจารย์บอกว่าศิษย์ของสำนักหวงเทียนแต่ละคนเลือกมุ่งมั่นที่จะกลั่นพลังเลือดปราณเพื่อให้เกิดพลังภายในขึ้นเองตามธรรมชาติ
นักศิลปะการต่อสู้ที่ใช้เคล็ดวิชาเพื่อข้ามขอบเขต กับนักศิลปะการต่อสู้ที่สร้างพลังภายในได้เองตามธรรมชาตินั้นแตกต่างกันมากมายจนเทียบกันไม่ได้เลย
“เจียงฮ่าว ในเมื่อเจ้าเองมีพรสวรรค์เช่นนี้อยู่ก็อย่าได้เสียเปล่าอีกต่อไป”
“ในเมื่อเจ้าสามารถฝึกฝนวิชาพลังภายในได้สิบวิชา เจ้าก็จงพยายามเลือกวิชาที่เป็นเลิศในแต่ละชนิด”
“วิชาในขอบเขตพลังภายในนั้นแบ่งออกเป็นธรรมดา, เหนือชั้น, และชั้นเลิศ ความแตกต่างของทั้งสามนี้คือพลังเสริมที่พลังภายในสร้างขึ้นนั้นไม่เท่ากัน”
“วิชาพลังภายในธรรมดาจะสร้างพลังเสริมได้เพียงหนึ่งส่วน วิชาพลังภายในระดับเหนือชั้นจะสร้างพลังเสริมได้สองส่วน ส่วนวิชาพลังภายในชั้นเลิศจะสร้างพลังเสริมได้ถึงสามส่วน อันที่จริงยังมีวิชาลับบางอย่างที่สามารถสร้างพลังเสริมได้ถึงสี่ส่วน หรือห้าส่วนอยู่อีก แต่วิชาลับแบบนั้นหายากและพบเจอได้ยากยิ่ง”
“หากเจ้าเลือกวิชาชั้นเลิศทั้งสิบวิชา เจ้าก็จะสามารถเพิ่มพลังได้ถึงสามเท่า หากรวมกับพลังภายในเดิมของเจ้าที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว พลังภายในของเจ้าจะเพิ่มขึ้นสูงสุดถึงสี่เท่า! เมื่อถึงตอนนั้น ในขอบเขตพลังภายใน จะไม่มีใครเป็นคู่มือของเจ้าได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพื้นฐานระดับนี้ของเจ้า การก้าวเข้าสู่ขอบเขตพลังหยินและพลังแปลงสภาพในอนาคต เจ้าก็จะมีข้อได้เปรียบกว่าผู้อื่นเป็นอย่างมาก”
เมื่อเจียงฮ่าวคิดอย่างละเอียดก็พบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ การกลั่นพลังเลือดปราณได้ถึงสิบส่วนจะทำให้เขามีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าใครและแน่นอนว่าเขาจะต้องใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบเหล่านี้ให้ดี
จ้าวเฮยถ่าจ้องมองเจียงฮ่าวอย่างลึกซึ้ง แต่ในแววตากลับมีความซับซ้อน เขาถอนหายใจยาวออกมาแล้วพูดว่า “เจียงฮ่าว ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถรั้งตัวเจ้าเอาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว”
“หืม? ท่านอาจารย์หมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ? ท่านจะไล่ศิษย์ออกสำนักไปหรือขอรับ?” เจียงฮ่าวงุนงงเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจความหมายที่จ้าวเฮยถ่าต้องการจะสื่อ
“ข้าจะไล่เจ้าไปได้อย่างไร? แต่ข้ากำลังจะบอกว่าเมืองชางนี้เล็กเกินไปสำหรับเจ้าดังคำกล่าวที่ว่า “บ่อน้ำตื้นไม่สามารถเลี้ยงมังกรได้” ต่างหาก”
“เดิมทีข้าเคยคิดว่าจะให้เจ้าฝึกฝนจนถึงขอบเขตพลังแปลงสภาพก่อนแล้วค่อยส่งตัวเจ้าไปยังสำนักหวงเทียน เพื่อให้ได้กลายเป็นศิษย์ชั้นในโดยตรง”
“แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าคงต้องไปสำนักหวงเทียนตั้งแต่ขอบเขตพลังภายในแล้ว” จ้าวเฮยถ่าพูดอย่างช้าๆ
“ท่านอาจารย์ ท่านบอกข้าเองไม่ใช่หรือว่าศิษย์ชั้นในของสำนักหวงเทียนต้องอยู่ในขอบเขตพลังแปลงสภาพก่อนถึงจะสามารถเป็นศิษย์ชั้นในของสำนักหวงเทียนได้ ข้าในตอนนี้อยู่เพียงขอบเขตพลังภายในเท่านั้น ถึงข้าจะได้เข้าสำนักหวงเทียนในตอนนี้ข้าก็คงไม่มีทางได้เป็นศิษย์ชั้นในได้หรอกขอรับ” เจียงฮ่าวถามด้วยความสงสัย
ตอนนั้นเจียงฮ่าวอยากเข้าสำนักหวงเทียนมาก แต่จ้าวเฮยถ่าเป็นคนห้ามปรามเขาเอาไว้ แล้วทำไมจู่ๆจ้าวเฮยถ่าถึงได้กลับบอกให้เขาไปเข้าร่วมกับสำนักหวงเทียน?
“เจียงฮ่าวเอ๋ย ดั่งเวลาเปลี่ยน คนเราที่สุดก็ต้องเปลี่ยน โลกทุกวันนี้เปลี่ยนตามกาลเวลา ข้าเองก็ไม่ได้คาดคิดว่าพรสวรรค์ของเจ้าจะสูงถึงขั้นนี้ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถรั้งตัวเจ้าให้อยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป”
“ตอนนั้นข้าตั้งใจที่จะฝึกให้เจ้ามั่นคงและไปจนถึงขอบเขตพลังแปลงสภาพก่อนค่อยส่งเจ้าไปที่สำนักหวงเทียน แต่ตอนนี้เจ้ากลั่นพลังเลือดปราณได้ถึงสิบส่วนแล้วก้าวเข้าสู่ขอบเขตพลังภายในโดยต้องใช้วิชาชั้นเลิศสิบวิชา ข้าจะไปหาวิชาชั้นเลิศสิบวิชาให้เจ้าได้จากที่ไหนกันรึ?”
“หากให้ข้าสอนวิชาระดับเหนือชั้นให้เจ้ามันจะทำให้เจ้าเสียเวลาเปล่า ดังนั้นจึงมีแค่ส่งตัวเจ้าไปสำนักหวงเทียนเท่านั้นเจ้าถึงจะได้ฝึกฝนวิชาชั้นเลิศได้ครบสิบวิชา หรืออาจจะมีโอกาสได้ฝึกวิชาลับที่หายากยิ่งก็เป็นได้”
“แต่เจ้าไม่ต้องกังวลว่าเมื่อเจ้าได้ไปสำนักหวงเทียนแล้วเจ้าจะได้เป็นแค่ศิษย์ชั้นนอก ด้วยขอบเขตพลังภายในเจ้าเองก็สามารถเป็นศิษย์ชั้นในได้ แต่มันมีข้อกำหนดที่สูงมากซึ่งก็คือเจ้าจะต้องไปท้าทายหอคอยหวงเทียน ถ้าหากเจ้าสามารถผ่านชั้นที่เก้าของหอคอยหวงเทียนได้ เจ้าก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์ชั้นในได้ทันที”
“นี่เป็นสิ่งที่สำนักหวงเทียนเตรียมไว้สำหรับอัจฉริยะที่แท้จริงเท่านั้น แต่จะต้องเป็นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมที่สุด มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางที่จะผ่านชั้นที่เก้าของหอคอยหวงเทียนไปได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เจียงฮ่าวจึงเข้าใจ ศิษย์ชั้นในของสำนักหวงเทียนต้องอยู่ในขอบเขตพลังแปลงสภาพ ซึ่งนี่เป็นข้อกำหนดที่ตายตัว แต่ถ้าหากเป็นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมก็คงไม่ถูกข้อกำหนดเหล่านี้ขวางกั้นเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีแต่อัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมเท่านั้นที่สามารถผ่านชั้นที่เก้าของหอคอยหวงเทียนไปได้
“ท่านอาจารย์ การจะผ่านชั้นที่เก้าของหอคอยหวงเทียนนั้นคงจะยากมากเลยใช่ไหมขอรับ?”
“ใช่ มันยากมาก ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าตอนนี้ก็ยังไม่เพียงพอด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าก็มีโอกาสผ่านสูงมาก”
“อัจฉริยะของสำนักหวงเทียนน่าจะกลั่นพลังเลือดปราณได้สามส่วน หากพวกเขาได้ฝึกฝนวิชาชั้นเลิศสามวิชา มันจะเพิ่มพลังได้เก้าส่วน ซึ่งเมื่อรวมกับพลังเดิมที่เพิ่มขึ้นสามส่วนก็จะรวมเป็นสิบสองส่วนหรือประมาณหนึ่งเท่ากว่าๆ”
“เจ้าจะต้องแข็งแกร่งกว่านั้น ในตอนนี้เจ้าได้กลั่นพลังเลือดปราณถึงสิบส่วนจึงเพิ่มพลังได้หนึ่งเท่า ซึ่งข้าก็มีวิชาชั้นเลิศอยู่สองวิชา หากเจ้าฝึกฝนได้สำเร็จ มันก็จะเพิ่มพลังทั้งหมดของเจ้าได้สิบหกส่วน! ซึ่งนี่ก็ถือว่าสูงเกินกว่าอัจฉริยะหลายคนของสำนักหวงเทียนแล้ว”
“แต่แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อความมั่นใจข้าจะพยายามหาวิชาให้เจ้าอีกหนึ่งหรือสองวิชาเพื่อให้เจ้ารวบรวมวิชาชั้นเลิศได้สามถึงสี่วิชา”
เจียงฮ่าวคำนวณอยู่ในใจ ถ้าหากมีวิชาชั้นเลิศสามถึงสี่วิชา พลังเลือดปราณของเขาก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 190% หรือ 220% ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณสองเท่า
“ด้วยการเพิ่มพลังจากวิชาชั้นเลิศสามถึงสี่วิชายังไม่สามารถรับประกันความสำเร็จได้ ส่วนในเรื่องวิชา ข้าเองก็หมดหนทางแล้วเช่นกัน”
“วิชาหมัดพยัคฆ์ของเจ้า หากฝึกฝนไปจนถึงขั้นเชี่ยวชาญเล็กน้อยเล็กน้อย มันจะสามารถเพิ่มพลังได้หนึ่งส่วน หากฝึกฝนถึงเชี่ยวชาญขั้นสูงมันจะเพิ่มพลังได้สองส่วน และถ้าหากฝึกไปถึงระดับสมบูรณ์ มันจะเพิ่มพลังได้ถึงห้าส่วน ซึ่งนี่คือการเพิ่มพลังบนพื้นฐานของพลังภายในทั้งหมดของเจ้า หรือก็คือยิ่งเจ้าฝึกพลังภายในมากเท่าไหร่ การใช้วิชาหมัดพยัคฆ์ก็จะยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น”
“วิชาหมัดพยัคฆ์ระดับสมบูรณ์นั้นฝึกได้ยากดังนั้นข้าจะไม่พูดถึงในตอนนี้ แต่ถ้าหากเป็นขั้นเชี่ยวชาญเล็กน้อยเล็กน้อยหรือเชี่ยวชาญขั้นสูง เจ้าก็น่าจะฝึกฝนจนไปถึงได้”
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าจงตามข้ามา ข้าจะมอบของขวัญชิ้นหนึ่งให้กับเจ้าเป็นการช่วยเหลือเจ้า! แต่วิชาหมัดพยัคฆ์ของเจ้าจะไปถึงขั้นเชี่ยวชาญเล็กน้อยเล็กน้อยหรือเชี่ยวชาญขั้นสูงได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้าแล้ว” จ้าวเฮยถ่ายิ้มแล้วพูด
เจียงฮ่าวรีบโค้งคำนับ “ขอบพระคุณมากขอรับท่านอาจารย์”
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังสงสัยอยู่บ้าง วิชาหมัดพยัคฆ์ของเขาติดอยู่ที่คอขวดมาโดยตลอดและอยู่ที่ระดับ“เชี่ยวชาญ” ซึ่งไม่มีวี่แววว่าจะก้าวหน้า แล้วอาจารย์จะมีวิธีอะไรทำให้วิชาหมัดพยัคฆ์ของเขาพัฒนาขึ้นได้?
จ้าวเฮยถ่าที่รู้ว่าเจียงฮ่าวกำลังคิดอะไรอยู่จึงยิ้มแล้วพูดว่า “วิชาหมัดพยัคฆ์ของเจ้า ถ้าหากอยากฝึกไปถึงขั้นเชี่ยวชาญเล็กน้อยเจ้าจะต้องเข้าใจ ‘รูปลักษณ์ของพยัคฆ์’ ให้ได้เสียก่อน เจียงฮ่าวเอ๋ย เจ้าน่ะยังไม่เคยเห็นพยัคฆ์ที่แท้จริงเลย แล้วเจ้าจะไป ‘เข้าใจรูปลักษณ์’ ได้อย่างไร?”
“วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปดูพยัคฆ์ที่แท้จริงเอง!”
เมื่อพูดจบ จ้าวเฮยถ่าจึงอุ้มเจียงฮ่าวขึ้นม้าแล้วควบม้าออกจากเมืองเพื่อมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนืออย่างรวดเร็ว