เผด็จการ ตรงไปตรงมาและประธานบริษัทหญิงผู้บ้างาน VS พ่อครัว สามี และบอสหมาป่า
เผด็จการ ตรงไปตรงมาและประธานบริษัทหญิงผู้บ้างาน VS พ่อครัว สามี และบอสหมาป่า
มันเป็นวันที่อากาศเย็นในปลายฤดูใบไม้ร่วง
ซู่จินสวมสูทสีดำและรองเท้าส้นสูงปลายแหลม รูปร่างที่สูงเพรียวของเธอทำให้คนเดินถนนหลายคนหันมามองขณะที่เธอเดินผ่านพวกเขา
อย่างไรก็ตาม เธอยังคงคุยกับเลขาของเธออย่างรวดเร็วในขณะที่เธอเดินผ่านผู้คน และปฏิบัติต่อทุกอย่างราวกับว่าเธอไม่แยแสสิ่งใด
เลขาอดทนฟังเจ้านายสาวอยู่นานสองนานก็อดที่จะกรอกตามองบนในใจไม่ได้
“ตามกฎแล้ว การแต่งงานมีวันหยุดสามวัน นอกจากว่า คนคนนั้นจะไม่เคยหยุดพักมาเกือบปีแล้ว!”
ซู่จินกางมือออกแล้วยักไหล่ “เขาทำงานยุ่งมาทั้งปีแล้ว วันมะรืนนี้ประธานบริษัทจะมอบรางวัลให้พนักงานดีเด่น แต่เขาจะไม่อยู่ตอนที่พนักงานของเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่ง การพยายามอย่างหนักในช่วงเวลาธรรมดาเป็นเรื่องไร้ประโยชน์”
“แล้วคุณไม่สามารถเตือนประธานเรื่องนี้วันมะรืนไม่ได้เหรอ? เจ้านายคะ พวกเขาเพิ่งแต่งงานกันนะ!”
พวกเธอเดินมาหยุดที่หน้าประตูร้านอาหาร ซู่จินมองดูดวงตาที่มีความหวังของเลขาสาว การแสดงออกของซู่จินนั้นเย็นชาราวกับหุ่นยนต์ไร้วิญญาณ
ดูเหมือนมีคำพูดสองสามคำแวบผ่านดวงตาของเธอ ใครก็ตามที่ขอหยุดพักร้อนจะต้องตาย!
เลขาสาวผลักเปิดประตูกระจกอย่างโกรธจัด “คุณจะต้องตายโดยลำพังในอนาคตอย่างแน่นอน!”
คำสาปแช่งแบบนี้จากพนักงานของเธอไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งสองครั้ง ซู่จินยักไหล่เพื่อแสดงให้เห็นว่าคำสาปแช่งไม่มีผลกับเธอ
เธอหมุนตัวและกำลังจะเดินเข้าไปในร้านอาหาร โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของเธอก็ดังขึ้นก่อน
เธอหยิบมือถือออกมา และเห็นว่าเป็นฝ่ายวิจัยและพัฒนาโทรมาอีกครั้ง
เสียงของพนักงานจากโทรศัพท์มือถือตื่นเต้นมาก “ประธานจิ่น ปัญหาได้รับการแก้ไขแล้วครับ ชิ้นส่วนชุดนี้จะออกสู่ตลาดภายในสิ้นเดือนธันวาคมอย่างแน่นอน!”
ซู่จิน: เข้าใจแล้ว ทำงานหนักต่อไป ถ้าคุณมีปัญหาอะไร ก็รายงานให้ฉันทราบทันที”
มีเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะจากปลายสาย อาจเป็นเพราะส่วนงานนี้ได้รับการแก้ไขหลายร้อยครั้งแล้วตั้งแต่ต้นปี ครั้งนี้ผ่านการตรวจสอบ มันน่าตื่นเต้นมากจริงๆ
แม้ว่าซู่จินทำตัวตรงไปตรงมาและรวดเร็ว แต่เธอก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะวางสายเพียงเพราะเธอหิวข้าว
เธอยืนอยู่ตรงประตูร้านอาหาร มืออีกข้างที่ว่าง ซุกในกระเป๋า เธอตอบพนักงานทางโทรศัพท์เป็นครั้งคราว ขณะที่สายตายังคงมองไปอีกฝั่งของถนน
อีกฝั่งของถนนมีชายร่างสูงสวมสูท เสื้อเชิ้ตสีขาวติดกระดุมและกางเกงขายาว บรรยากาศของเขาแตกต่างจากคนอื่นที่เดินขวักไขว่ไปมา แม้ว่าซูจิ่นจะอยู่ไกล และไม่สามารถมองเห็นรูปร่างหน้าตาของเขาได้ชัดเจน แต่เธอก็รู้สึกว่าคนๆ นี้ไม่ใช่พนักงานออฟฟิศธรรมดาๆ
ชายคนนั้นกำลังถือกาแฟอยู่ในมือข้างหนึ่งและโทรศัพท์มือถืออีกข้างหนึ่ง ศีรษะของเขาก้มลงในขณะที่เขาไถ่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ เป็นผลให้เขาก้าวไปเพียงไม่กี่ก้าว ก่อนที่จะเหยียบอะไรบางอย่าง ในชั่วพริบตา เขาทำกาแฟหกใส่กางเกงตัวเอง
เขาส่ายศีรษะและดูหมดหนทาง เขาดื่มกาแฟส่วนที่เหลือและโยนถ้วยกาแฟทิ้งลงในถังขยะ จากนั้นเขาก็เริ่มคุ้ยกระเป๋าเหมือนกำลังหาทิชชู่
ท้ายที่สุด เขาก็หามันไม่เจอ หรือเขาอาจจะยอมแพ้ ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาแค่อยากจะหยิบมือถือออกมาแล้วใช้งานต่อ
ขณะถือโทรศัพท์มือถือในมือซ้าย เขาค้นดูในกระเป๋าเสื้อสูทและกระเป๋ากางเกง
เมื่อในที่สุดเขารู้ตัวว่าโทรศัพท์ของเขาอยู่ในมือ เขาจึงมองไปรอบๆ ทันทีเพื่อดูว่ามีคนแปลกหน้าที่อยู่ใกล้ๆ สังเกตเห็นความอับอายของเขาหรือไม่ จากนั้นเขาก็บีบปลายจมูกของตัวเองแล้วออกเดินต่อไป
เขาเดินไปตามถนน แต่กระทำเมื่อครู่ของเขาค่อนข้างตลก
ซู่จินกัดริมฝีปากเพื่อไม่ให้หลุดขำออกมา ไม่เช่นนั้นพนักงานที่อยู่ปลายสายจะตกใจเอาได้
โชคดีที่พนักงานพูดจบและวางสายไปแล้ว ซู่จินมองไปที่อีกฟากหนึ่งของถนนอีกครั้ง
ชายคนนั้นไม่อยู่แล้ว เขาเดินเข้าไปในตึกใกล้เคียง
บังเอิญตึกนั้นเป็นตึกของฉีหยูคอร์เปอร์เรชั่น และเป็นตึกที่ซู่จินทำงานอยู่
ซู่จิหวนนึกถึงลำดับชั้นการจัดการของบริษัท และเธอก็ไม่มีความทรงจำต่อผู้ชายคนนี้เลยจริงๆ
แม้ว่าจะมีความประทับใจอยู่บ้าง แต่เขาอาจถูกเธอไล่ออกไปนานแล้ว
ตามมาตรฐานของเธอ เธอจะไม่ยอมให้ผู้จัดการของเธอทำตัวเหมือนผู้ชายขี้ลืมแบบนั้นเด็ดขาด
บางทีเขาอาจเป็นแค่พนักงานธรรมดาๆ คนหนึ่งก็ได้
ทำไมเธอถึงคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยนะ?
แปลกจัง!
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันของเธอ ซู่จินมีภารกิจทางธุรกิจมากมายที่ต้องจัดการทุกวัน ดังนั้นเธอจึงไม่มีเวลาคิดเล็กคิดน้อยเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านี้
หลังจากที่ยุ่งวุ่นวายทั้งวัน ท้องฟ้าก็มืดค่ำแล้ว ค่ำนี้ซู่จินยังคงมีงานการกุศลเล็กๆ ของหอการค้าที่ต้องเข้าร่วม
ก่อนหน้านี้ เธอทุ่มเงินสามสิบล้านหยวนในองค์กรการกุศลภายใต้ชื่อบริษัทเพื่อให้มีคุณสมบัติสำหรับงานเลี้ยง นอกจากนี้ เธอยังใช้เงินจำนวนมากเพื่อเชื่อมโยงการบริจาคกับการค้นหายอดนิยม
และจุดประสงค์ของเธอในการทำเช่นนี้ คือเพื่อดึงดูดนักลงทุนสำหรับโครงการสำคัญที่บริษัทวางแผนไว้
ในขณะเดียวกัน เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับการประเมินของคณะกรรมการบริษัทด้วย
อย่างไรก็ตาม เธอเป็นเพียงผู้หญิงที่นั่งเป็นประธานบริษัท ถ้าพวกเขาไม่จู้จี้จุกจิกกับเธอในทุกวิถีทาง พวกเขาก็คงจะไม่พอใจ กินข้าวไม่อร่อย
ซู่จินสวมชุดยาวคอวีลึกสีดำ เธออดไม่ได้ที่จะบ่นก่อนจะลงจากรถ
“คราวหน้าอย่าเลือกชุดรัดรูปแบบนี้ให้ฉันอีกนะ ฉันหายใจไม่ออก”
เซี๊ยะถงนั่งถัดจากเธอและกำลังช่วยจัดทรงผมให้เธอ
“ทั้งหมดนี้ถูกเลือกโดยสไตลิสต์มืออาชีพค่ะ มันดูสะอาด เฉียบคม และเป็นผู้หญิง ท่านประธานดูสวยมากเลยค่ะ”
ซู่จินแขม่วท้องและจ้องไปที่เลขาตัวเอง “ฉันคิดว่าสไตลิสเคยชินกับการทรมานฉัน!”
มุมปากของเซี๊ยะถงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเหมือนปีศาจ “ถ้าคุณกินคาร์โบไฮเดรตน้อยลง คุณจะไม่รู้สึกหายใจไม่ออก”
ที่งานเลี้ยงไม่อนุญาตให้พาใครไปด้วย
ซู่จินคุ้นเคยกับวิธีจัดการกับสถานการณ์แบบนี้อยู่แล้ว ภายในหนึ่งชั่วโมงหลังจากรับแชมเปญจากบริกร เธอทักทายคนแปลกหน้าส่วนใหญ่และยื่นนามบัตรให้
ชนชั้นสูงที่แท้จริงเพียงแค่พยักหน้าทักทายกัน แต่เธอเป็นเพียงคนทำงานชั้นสูงที่อายุน้อยเท่านั้น ณ สถานที่แห่งนี้ เธอยังคงต้องก้มศีรษะก่อนจึงจะสามารถแจกนามบัตรได้
หลังจากแจกนามบัตรเสร็จ ซู่จินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างเงียบๆ และเริ่มทำกิจวัตรตามปกติของเธอเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับครึ่งหลังที่สำคัญของงานเลี้ยง
เธอเดินไปที่โต๊ะเครื่องดื่มพร้อมเครื่องดื่มและผลไม้ จากนั้นเธอก็แสร้งทำเป็นหยิบแอปเปิ้ลชิ้นเล็ก ๆ แล้วใส่เข้าไปในปาก แต่ดวงตาของเธอคอยสอดส่องอยู่เสมอเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองพลาดโอกาสที่จะได้ติดต่อกับคนสำคัญ
ขณะมองไปรอบๆ เธอก็พบกับฉากที่น่าสนใจ
เธอเห็นร่างที่คุ้นเคยยืนห่างจากเธอไม่ถึงห้าเมตร
เป็นผู้ชายขี้ลืมที่เธอเห็นหน้าตึกบริษัทตอนบ่ายวันนี้
และครั้งนี้เขาไม่ลืมเอาทิชชู่มาด้วย แต่เขาลืมนามบัตรแทน
โอ้ พระเจ้า
ซู่จินกรีดร้องในใจแทนเขา
จะมีอะไรโชคร้ายหรือน่าสมเพชไปมากกว่านี้อีกไหม!
ในโอกาสสำคัญเช่นนี้ มีคนมากมายที่พยายามหาบัตรเชิญ แต่เขาพาตัวเองเข้ามาในงานเลี้ยงโดยไม่มีนามบัตรเนี่ยนะ?
นี่มันอะไรกัน?
มันเหมือนกับทาสของบริษัท* ที่ซื้อสลากลอตเตอรีและถูกรางวัลหนึ่งร้อยล้านหยวนโดยไม่คาดคิด แต่เมื่อไปขึ้นเงินกลับพบว่าทำสลากหาย
ถ้านี่คือตัวเธอเอง ซู่จินจะโกรธมากและกระอักเลือดเพราะพฤติกรรมโง่เขลาของเธอเอง
ผู้ชายผู้นี้ดูเป็นทางการมากกว่าในตอนบ่ายมาก ชุดสูทก็ดูเป็นชุดสั่งตัด เขาดูเคร่งขรึมขณะยืนอยู่ตรงนั้น
ผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องการนามบัตรเดินเข้ามาหาเขา และยื่นมือออกมา รอยยิ้มของเขาทำให้ซู่จินรู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังดูการประหารชีวิตในที่สาธารณะ
สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดที่จะเกิดขึ้นในงานเลี้ยงคือตอนที่มีคนเดินจากไปอย่างไม่สำเร็จและมีคนทำแบบเดียวกันและได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน
เขายิ้มอีกครั้งและโบกมือเพื่อแสดงว่าเขาไม่ได้นำนามบัตรมาด้วย หลังจากนั้น เขาก็เดินตรงไปที่สวนด้านหลังเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นพูดคุยกับเขา
ทุกคนในฝั่งนี้ยังคงสังสรรค์กันอย่างสนุก ในขณะที่พูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกสนาน ซู่จินทำตัวเป็นธรรมชาติในหมู่คนเหล่านี้
ในที่สุดทุกคนก็เงียบเสียงลงเมื่อพิธีเริ่มต้นขึ้น โดยมีการเปิดเผยการบริจาคเพื่อการกุศลที่สำคัญที่สุดของงานเลี้ยง
ในความมืด ซู่จินนั่งบนที่นั่งของเธอและจิบแชมเปญ
ดูเหมือนว่าหัวใจของเธอถูกมือเล็กๆ ขีดข่วนสองสามครั้ง และมันยังคงคันยิบๆอยู่
ซู่จินโหดเหี้ยมในสายตาของพนักงาน ในสายตาของเซี๊ยะถง เลขานุการที่ทำงานให้เธอเป็นเวลาห้าหรือหกปี ภายนอกดูเย็นชาแต่ภายในร้อนดั่งไฟ เธอเป็นคนบ้างานที่ไม่สนิทสนมกับผู้ชายคนไหน
แต่ในความเป็นจริง มีเพียงเพื่อนสาวสองคนของเธอที่รู้จักเธอตั้งแต่เด็กเท่านั้นที่รู้ว่าจริงๆแล้วเธอ……
เธอไม่ค่อยสนิทสนมกับผู้ชายเท่าไหร่ เธอชอบผู้ชายที่ดูอ่อนโยนและสง่างามเท่านั้น
พูดตรงๆ ก็คือ เธอสนใจแต่ผู้ชายที่ดูน่ารักและถูกรังแกได้ง่ายเท่านั้น
เธอมีความสัมพันธ์โรแมนติกกับผู้ชายแค่สองครั้งตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย
อดีตแฟนหนุ่มทั้งสองคนก็เป็นผู้ชายแบบที่เธอชอบ
ภายหลังเพราะพลังแห่งธรรมชาติบางอย่าง พวกเขาจึงเลิกกันไปอย่างเงียบๆ หลังจากอยู่กับความรู้สึกว่างเปล่ามานานหลายปี ซู่จินคิดว่าเธอคงจะเป็นเหมือนที่เซี๊ยะถงพูดจริงๆ ‘ถูกลิขิตให้ตายเพียงลำพัง’
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าคืนนี้จะมีสิ่งที่จะได้รับ
ซูจิ่นเลิกคิ้วขึ้นและหยิบแชมเปญมาอีกแก้ว