Your Wishlist

ทะลุมิติมายุค 1980 ช่างหัวพวกมันสิ! (ตอนที่ 67 - 69: รักรองเท้ายิ่งชี, ปิดบัง, จำผู้หญิงคนนั้นได้)

Author: Carefree Leaf-Talk/ BuaElla แปล

หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’

จำนวนตอน :

ตอนที่ 67 - 69: รักรองเท้ายิ่งชี, ปิดบัง, จำผู้หญิงคนนั้นได้

  • 07/09/2567

ตอนที่ 67: รักรองเท้ายิ่งชีพ

 

“ไม่เป็นไร” จินเฉินก้มลงมองรองเท้าของตัวเอง

 

“ในเมื่อคุณพูดแบบนี้ งั้นฉันไปก่อนนะคะ ลาก่อนค่ะ คุณหมอจิน” หลังจากพูดเสร็จ ซูฮั่นหยวนก็หันหลังเตรียมจะเดินจากไป

 

จินเฉินขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นว่า “คุณพักอยู่แถวนี้หรือ”

 

ซูฮั่นหยวนที่กำลังเดินไปหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงของเขา “วันนี้ฉันมาทำธุระที่นี่ค่ะ มีอะไรอีกหรือเปล่าคะ”

 

“คุณทำงานที่ไหน” จินเฉินถามตรงๆ

 

“คุณถามทำไม” ซูฮั่นหยวนรู้สึกงุนงง ถ้าเป็นคำถามแบบนี้ตอนคุยเล่นทั่วไปก็ยังพอเข้าใจได้ แต่ตอนนี้...

 

จินเฉินเห็นเธอลังเล เขาเม้มริมฝีปากและเหลือบมองรองเท้าของตัวเองแล้วพูดว่า “ผมไม่รู้ว่ารองเท้าจะพังเพราะคุณเหยียบหรือเปล่า ถ้าพัง ผมคงต้องขอให้คุณชดใช้”

 

ซูฮั่นหยวนถึงกับอึ้งไป

 

ผู้ชายคนนี้... เขาต้องการให้เธอชดใช้จริงๆ เหรอ? เขาดูรวยมากเลยไม่ใช่หรือไง? ดูสิ เสื้อโค้ทที่เขาใส่ทำจากขนสัตว์เลยนะ! กางเกงก็เนี๊ยบเป๊ะ แถมผ้าก็ดูเหมือนจะเป็นของที่มีคุณภาพสูงอีกด้วย

 

นอกจากนี้ เขายังอายุน้อยและกลับมาจากต่างประเทศ ปู่ของเขาเป็นหมอแผนจีนที่มีชื่อเสียงระดับชาติ พ่อของเขาก็เป็นหมอทหารที่มีตำแหน่งสูงในกองทัพ ครอบครัวแบบนี้จะขาดเงินได้ยังไง

 

ให้ตายเถอะ... ซูฮั่นหยวนอยากจะบ่นในใจ แต่พอคิดอีกที เธอไม่ควรคิดแบบนี้ บางทีเขาอาจจะเป็นคนที่รักรองเท้ายิ่งชีพก็ได้

 

บางคนยอมให้ตัวเองสกปรก แต่ไม่ยอมให้รองเท้าสกปรก

 

บางทีอัจฉริยะอย่างจินเฉินที่อยู่ตรงหน้าเธออาจเป็นคนแบบนั้น

 

“ก็ได้ค่ะ” ซูฮั่นหยวนยิ้มแล้วบอกที่อยู่ให้เขา “โรงงานลากไคซวน แผนกประชาสัมพันธ์ ซูฮั่นหยวน ถ้ามีอะไร ก็มาหาฉันได้ค่ะ ฉันไปได้แล้วใช่ไหม?”

 

จินเฉินจดจำที่อยู่ในใจอย่างเงียบ ๆ ก่อนพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงสัญญาณให้เธอไปได้

 

หลังจากที่ร่างของซูฮั่นหยวนหายลับไปจากทางเข้าลานจอดรถ จินเฉินก็หยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าขึ้นมาเช็ดฝุ่นออกจากรองเท้า จากนั้นเขาก็ทิ้งผ้าเช็ดหน้าใส่ถังขยะ

 

ไม่นานรถคันหนึ่งก็ขับเข้ามาจอดตรงหน้าเขา เขาหยิบเหรียญออกจากกระเป๋าแล้วซื้อตั๋วเพื่อขึ้นรถ

 

รถบัสวิ่งไปประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนที่จะหยุดที่หน้ามหาวิทยาลัยแพทย์แห่งหนึ่ง จินเฉินลงจากรถและเดินตรงเข้าไปในมหาวิทยาลัย

 

เขาเดินผ่านพื้นที่ของมหาวิทยาลัย ผ่านประตูรั้วสองชั้น และมาถึงเขตที่พักอาศัยของมหาวิทยาลัย

 

ด้านหลังของตึกสูงสี่ชั้น มีพื้นที่เล็ก ๆ ที่เป็นตึกสองชั้น ผู้ที่สามารถอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ได้ต้องเป็นศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงหรือผู้ที่มีผลงานดีเด่นในการพัฒนามหาวิทยาลัยแพทย์แห่งนี้

 

จินเฉินก้าวยาวไปยังตึกสองชั้นในแถวที่สองและหยุดตรงนั้น เขากดกริ่งประตู

 

ประตูเปิดออก เผยให้เห็นหญิงชราที่ดูสดใสอายุราวเจ็ดสิบ เมื่อเห็นหลานชายยืนอยู่ที่ประตู เธอก็ร้องอย่างดีใจ “ไอหยา หลานชายคนโตของฉันกลับมาแล้ว! เข้ามาเร็ว ๆ ข้างนอกหนาวไหม”

 

“ไม่ครับ” จินเฉินเดินเข้าบ้านแล้วปิดประตู เขาถอดเสื้อโค้ตและแขวนไว้บนราวแขวนตรงประตู “ปู่กับแม่อยู่ไหนครับ”

 

“ปู่ของหลานกำลังเล่นหมากรุกที่บ้านของลุงลู่ ยังไม่กลับมาเลย ส่วนแม่ของหลานน่ะออกไปซื้อของ รู้ว่าหลานจะกลับมาคืนนี้ เลยอยากอวดฝีมือทำอาหารให้หลานกินดี ๆ!” คุณย่าเยียนพูดด้วยความดีใจ

 

“ครับ”

 

“ขึ้นไปข้างบนสิ เฟ่ยฟานรู้ว่าหลานจะกลับมา เขารอหลานมากพักใหญ่แล้ว” มาตั้งนานแล้ว!”

 

“ครับ ผมจะขึ้นไปเดี๋ยวนี้”

 

ตอนที่ 68: ปิดบัง

 

จินเฉินเดินขึ้นไปยังห้องหนังสือที่ชั้นสอง เขาผลักประตูเข้าไปและเห็นลู่เฟ่ยฟานนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน กำลังอ่านหนังสืออยู่ท่าทางสบาย ๆ เท้าของเขายังพาดอยู่บนโต๊ะที่สะอาดเอี่ยม

 

ท่าทางสบาย ๆ ของลู่เฟ่ยฟานทำให้จินเฉินรู้สึกรำคาญ เขาเดินตรงเข้าไปแล้วคว้าหนังสือออกจากมือของลู่เฟ่ยฟาน วางมันกลับไปที่ชั้นหนังสือข้างหลัง

 

"เฮ้ ๆ ๆ นายทำอะไรน่ะ" ลู่เฟ่ยฟานตะโกน

 

"ล้างมือแล้วหรือยัง" จินเฉินจ้องเขาและชี้ไปที่เท้าของเขาด้วยความไม่พอใจ "ยกเท้าของนายออกจากโต๊ะของฉันเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะใช้มีดผ่าตัดจัดการเอง"

 

ลู่เฟ่ยฟานดึงขากลับอย่างเกียจคร้าน "ทุกครั้งที่ฉันมาอ่านหนังสือที่นี่ นายจะให้ฉันล้างมือก่อนเสมอ ฉันยืนมาทั้งวันนะ จะให้ฉันวางขาบนโต๊ะบ้างไม่ได้หรือ"

 

"ทำตัวให้เหมาะสมหน่อย เมื่ออยู่ในโรมก็ทำตามแบบโรม ไม่เคยได้ยินคำนี้หรือ" จินเฉินเลิกคิ้วขึ้น

 

"โอเค ๆ ฉันยอมแล้ว!"

 

"ดีแล้วที่นายยอม" จินเฉินเปิดลิ้นชักแล้วหยิบผ้าขาวออกมา "ถอยไป!"

 

"ผ้าขี้ริ้วที่บ้านนายสะอาดกว่าผ้าเช็ดหน้าของฉันอีก นายเป็นโรคกลัวเชื้อโรคเกินไปแล้ว" ลู่เฟ่ยฟานส่ายหัว "จู้จี้จุกจิกจริง น่าจะไม่มีผู้หญิงคนไหนทนอยู่กับนายได้หรอกใช่ไหม แต่ก็มีคนตามจีบนายตั้งเยอะ พวกผู้หญิงเหล่านั้นตาบอดหรือไงกัน"

 

"นายต้องไปถามพวกเธอเอง" จินเฉินตอบเรียบๆ

 

"น่าเบื่อ"

 

"มีอะไรจะพูดกับฉันหรือเปล่า" จินเฉินถามหลังจากเช็ดโต๊ะเสร็จ

 

"ฉันมาหานายเพื่อขอความช่วยเหลือน่ะสิ"

 

"ขอความช่วยเหลือจากฉัน?"

 

"ใช่" ลู่เฟ่ยฟานทำหน้าตาเศร้า "ช่วยหาทางให้ฉันเจอซูฮั่นหยวนหน่อยเถอะ บอกตรงๆ เลยนะว่าฉันถูกใจเธอตั้งแต่แรกเห็นมันไม่ใช่ฉันที่อยากไปดูตัว แต่แม่กับย่าของฉันต่างหากที่บังคับฉัน! ถ้านายช่วยให้ฉันได้ติดต่อกับเธอได้ ฉันจะพาเธอไปเจอครอบครัวฉันทันทีเลย ถ้าเธอไม่มีปัญหาอะไร"

 

"การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ นายคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ทำอย่างลวก ๆ อย่างนั้นหรือ"

 

"มันไม่ใช่ลวก ๆ ซะหน่อย นี่เขาเรียกว่ารักแรกพบต่างหาก! มันเป็นเรื่องของทั้งชีวิตเลยนะ!" ลู่เฟ่ยฟานพูดด้วยความมั่นใจ

 

จินเฉินนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า "นายหาด้วยตัวเองเถอะ ฉันช่วยนายเรื่องนี้ไม่ได้"

 

"เป็นเพื่อนกันจริงหรือเปล่าเนี่ย ทำไมนายถึงไม่ช่วย นายไม่รู้จักคนในสำนักงานตำรวจเลยหรือ นายสามารถขอให้เขาช่วยหาคนชื่อซูฮั่นหยวนให้ได้ ง่ายนิดเดียวไม่ใช่หรือไง" ลู่เฟ่ยฟานพูดอย่างไม่พอใจ

 

จินเฉินมองเขาด้วยสายตาเย็นชา "เมืองหลวงนี้ใหญ่มาก ไม่รู้มีคนชื่อซูฮั่นหยวนกี่คน แล้วนายจะให้ฉันช่วยสืบยังไง อีกอย่าง ครอบครัวนายเป็นเจ้าของสำนักงานตำรวจหรือไง? ตำรวจมีเรื่องให้จัดการมากมายในแต่ละวัน คิดหรือว่าพวกเขาจะมีเวลามาค้นหาทะเบียนบ้านให้กับนาย"

 

"ฉัน..." ลู่เฟ่ยฟานคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย "งั้นจะทำยังไงดีล่ะ ฉันคิดถึงผู้หญิงคนนั้นจนปวดหัวใจ ตับ ม้าม ปอด และไตหมดแล้ว!"

 

"ฮึ!" จินเฉินแค่นหัวเราะ "ไปไกลๆ เลย ฉันจำได้ว่านายพูดแบบนี้กับคนก่อนด้วย แต่ไม่กี่วันก็เจออีกคนแล้ว ถ้านายไม่จริงจัง ก็อย่าไปทำร้ายผู้หญิงคนนั้นเลย"

 

"ครั้งที่แล้วมันก็แค่เพื่อเอาใจย่าและแม่ของฉัน แต่ครั้งนี้ฉันจริงจังนะ!"

 

จินเฉินยิ้มโดยไม่พูดอะไร

 

"มีบางอย่างไม่ถูกต้อง" ลู่เฟ่ยฟานเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างผิดปกติ "บอกฉันมาตรงๆ เถอะ นายรู้ใช่ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหน ทำงานที่ไหน บอกมาเดี๋ยวนี้!”

 

"ใช่ ฉันรู้" จินเฉินไม่ปิดบัง

 

"บ้าจริง!" ลู่เฟ่ยฟานกระโดดตัวลอยด้วยความตื่นเต้น "นายไม่มีจิตสำนึกหรือไง พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือ ทำไมนายถึงปิดบังฉันด้วย"

 

ตอนที่ 69: จำผู้หญิงคนนั้นได้

 

“ทำไมฉันต้องบอกนายด้วย”

 

“ฉันเป็นพี่น้องนายนะ!” ลู่เฟยฟานตบหน้าอกตัวเอง “ในเมื่อรู้แล้วก็บอกฉันมาสิ ฉันอยากตามจีบผู้หญิงคนนั้น!”

 

“ไม่”

 

“ทำไมล่ะ หรือว่านายชอบเธอ” ลู่เฟ่ยฟานถาม

 

“แล้วไง ฉันต้องรายงานนายทุกเรื่องเลย?”

 

“ฉันจะบอกว่า ถ้านายไม่ชอบ ฉันก็จะตามจีบเธอเอง” ลู่เฟ่ยฟานหัวเราะแล้วพูดว่า “โอ้ จิน ฉันบอกเลยนะ แม้ว่านายจะชอบเธอ แต่ฉันไม่กลัวหรอก ฉันมั่นใจว่าเธอต้องชอบคนแบบฉันแน่ๆ ฉันจะตามหาเธอเอง รอดูได้เลย!”

 

“แล้วถ้าวันหนึ่งฉันเกิดชอบผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาล่ะ” จินเฉินถาม

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า จิน นายก็ยังรู้จักชอบคนเป็นด้วยหรือ ฉันนึกว่านายจะบวชเป็นพระไปตลอดชีวิตแล้วซะอีก! แล้วถ้านายชอบจริงๆ ล่ะจะทำยังไง? นายคงไม่คาดหวังให้พี่ชายนายพูดอะไรแบบนั้นใช่ไหม นั่นเป็นไปไม่ได้เลย มันต้องเป็นการแข่งขันที่ยุติธรรมเท่านั้น!” ลู่เฟ่ยฟานยิ้มอย่างย่ามใจ

 

“ก็ใช่ ถ้านายไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปซะ ฉันเหนื่อยแล้ววันนี้ อยากพักสักหน่อย” จินเฉินสั่งให้เขาออกไป

 

“ก็ได้ ฉันจะไม่รบกวนนายแล้ว” ลู่เฟ่ยฟานรู้ว่าเพื่อนของเขาไม่ควรเหนื่อยเกินไป เพราะถ้าร่างกายอ่อนล้าเกินไป อาการป่วยของจินเฉินจะกำเริบได้ “พักผ่อนให้เต็มที่ล่ะ...อ้อ แล้วพรุ่งนี้เป็นวันเกิดโจวหนิงไค่ เขาจะเลี้ยงอาหารค่ำคืนนี้ นายมีเวลาไปร่วมงานไหม”

 

“ไม่มี พรุ่งนี้มีคิวผ่าเต็มหมดแล้ว” จินเฉินตอบ “อีกอย่าง ฉันไม่สนิทกับเขา”

 

“ก็ได้ งั้นฉันจะบอกเขาว่านายไม่ว่าง”

 

“ขอบใจมาก อย่าลืมเอาของขวัญไปแทนฉันด้วยแล้วกัน” จินเฉินพูดเสริม “เขาชวนทั้งทีต้องให้เกียรติเขาหน่อย”

 

“ได้เลย ไม่มีปัญหา”

 

จินเฉินมองตามหลังลู่เฟ่ยฟานจากชั้นสอง เขาหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้าและเอนตัวพิงผนังเย็นๆ

 

วันนี้เขาเหนื่อยมาก แต่โชคดีที่อาการป่วยไม่กำเริบ

 

เขาคิดว่าเขารู้เหตุผลแล้ว เพราะเขาได้มีโอกาสพบเจอกับผู้หญิงคนนั้นในวันนี้

 

“ซูฮั่นหยวน…” เขาจดจำชื่อของเธอได้

 

ในขณะนั้น ซูฮั่นหยวนกำลังตั้งใจสอนบทเรียนภาษาอังกฤษให้ลูกชายของผู้จัดการโรงงานที่ดื้อรั้น เธอไม่รู้เลยว่าชื่อของเธอถูกพูดถึงไปมาหลายครั้งในปากของคนอื่น

 

“นักเรียนจาง ถ้าเธอจำไวยากรณ์ไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เป็นไรนะ งั้นจำบทความและประโยคไว้มากๆ ถ้าอ่านเยอะขึ้น ความรู้ทางภาษาก็จะดีขึ้น เวลาเธอเจอคำถามคล้ายๆ กัน ถึงแม้ว่าจะไม่รู้วิธีแก้ด้วยไวยากรณ์ แค่ประโยคที่จำได้ก็ช่วยได้แล้ว”

 

“น่ารำคาญจริงๆ ฉันไม่อยากเรียนภาษานี้แล้ว!” จางเทียนไฉปิดหู “คุณออกไปได้แล้ว ผมเบื่อภาษาอังกฤษมาก ไม่อยากฟังใครพูดภาษานี้แล้ว”

 

ซูฮั่นหยวนยิ้ม “เธอเรียกตัวเองว่าอัจฉริยะหรือ แต่ฉันว่าฉันเก่งกว่าเธอนะ นี่ไม่รู้สึกอายหน่อยหรือ ฉันเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง แต่ฉันยังเก่งกว่าเธอตั้งแปดช่วงถนน! เธอยังกล้าเรียกตัวเองว่าอัจฉริยะอีกหรือ”

 

“หยุดว่าผมสักที! เรียนก็ได้! แต่ผมเกลียดภาษาอังกฤษ แค่ไม่อยากเรียนเท่านั้นเอง!”

 

“อย่าหาข้ออ้าง ถ้าไม่อยากเรียนก็ยอมรับมาเถอะว่าเธอไม่เข้าใจ ถ้าผู้ชายคนหนึ่งไม่สามารถเข้าใจแค่ไม่กี่คำในภาษาอังกฤษได้ล่ะก็ ถือว่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสียเปล่า” ซูฮั่นหยวนเก็บหนังสือ “เอาล่ะ ฉันไปก่อนละนะ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม พ่อของเธอจ่ายเงินให้ฉันแล้ว จะเรียนหรือไม่เรียนก็เรื่องของเธอ แต่ฉันก็ยังต้องมาอยู่ดี เงินเดือนของฉันตั้งสามสิบหยวนต่อเดือน”

 

จางเทียนไฉเป็นแค่เด็ก หลังจากที่โดนซูฮั่นหยวนท้าทาย เขาก็เริ่มโกรธทันที “ทำไมถึงทำตัวหยิ่งนัก! ก็แค่รู้ภาษาอังกฤษนิดหน่อย! ผมบอกเลยว่าผมจะทำคะแนนให้ได้อีกสามสิบคะแนนในเดือนนี้ ถ้าไม่ได้ ผมจะคลานเป็นหมาในเขตบ้านพักครอบครัวเลย!”

 

“ดี! มีความมุ่งมั่นดี!” ซูฮั่นหยวนยกนิ้วให้ “งั้นฉันจะคอยดู... เจอกันครั้งหน้านะ”

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป