หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
ตอนที่ 34 ช่วยหน่อย
มันเป็นเหมือนกับที่เธอเคยเห็นครั้งก่อน เขาดูเหมือนเดิม ยกเว้นครั้งนี้ที่ดูเหมือนจะอึดอัดมากกว่าเดิม
อย่างน้อยที่สุด จินเฉินเคยช่วยชีวิตพ่อของเธอไว้ก่อนหน้านี้ เธอไม่สามารถยืนดูเฉย ๆ ได้
ซูฮั่นหยวนก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว เธอคว้ามืออีกข้างของหมอหนุ่มแล้ววางมันลงบนไหล่ของเธอเพื่อช่วยพยุงเขา
ลู่เฟยฟานตกใจในพฤติกรรมของสาวน้อยคนนี้
ตั้งแต่เขาเกิดมา เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงที่กล้าหาญเช่นนี้มาก่อน เธอไม่สนใจว่าอาจจะดูไม่เหมาะสมที่ผู้ชายและผู้หญิงจะพิงกันในที่สาธารณะ แต่กลับยกแขนของจินเฉินขึ้นวางบนไหล่ของเธอ
ถ้าเธอเป็นพยาบาล มันคงจะไม่เป็นอะไร เพราะหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์คือการช่วยชีวิตและรักษาผู้บาดเจ็บ ในสายตาของหมอ ไม่มีชายหรือหญิง มีเพียงผู้ป่วยเท่านั้น
แต่เธอไม่ใช่พยาบาล...
เมื่อเห็นว่าหมอหนุ่มกำลังจ้องมองเธอ ซูฮั่นหยวนจึงส่งยิ้มสดใสให้เขา “หมอคะ ไปกันเถอะค่ะ! ฉันไม่มีแรงมากนัก คงช่วยพยุงได้ไม่นาน”
“อ้อ” เขาตอบพร้อมกับรอยยิ้ม “ขอบคุณนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ขณะที่ซูฮั่นหยวนพูด เธอก็หันไปมองจินเฉิน “แต่…ที่โรงพยาบาลของคุณไม่ดูแลเรื่องสุขภาพของพนักงานเลยหรือคะเวลาเกิดเรื่องวุ่น ๆ? ครั้งก่อนเขาก็เหนื่อยมากแล้ว ขอบตาก็ดำคล้ำ… ครั้งนี้แย่กว่าเดิมอีกนะคะ”
ลู่เฟ่ยฟานยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “มันช่วยไม่ได้จริง ๆ โรงพยาบาลของพวกเรายุ่งมาก และเขาก็เป็นหมอที่ดีที่สุดที่เรามี อย่าหลงกลอายุของเขานะ ฝีมือของเขายอดเยี่ยมมากเลยล่ะ”
“ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะยุ่งขนาดนี้…” เธอพึมพำเบา ๆ “และไม่แปลกใจเลยที่เขาจะอารมณ์เสียมาก…”
หากเป็นคนธรรมดาที่ยุ่งขนาดนี้และไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอทุกวัน อารมณ์ของพวกเขาก็คงจะเลวร้ายเหมือนกัน
ลู่เฟ่ยฟานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อได้ยินเสียงพึมพำของเธอ “คุณพูดได้แค่ตอนที่เขาหลับเท่านั้น ถ้าเขาได้ยินล่ะก็ น่ากลัวมากทีเดียว”
“จะน่ากลัวแค่ไหนกัน? เขาจะกินฉันหรือไง”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” เขาหัวเราะอีกครั้ง “อย่างมากเขาก็แค่จะอารมณ์เสียอีกครั้งเท่านั้น แต่ขอให้คุณเข้าใจหน่อยนะ เรายุ่งมากจริง ๆ!”
“อืม ฉันเข้าใจค่ะ” ซูฮั่นหยวนตอบด้วยความเข้าใจ
หมอมักอารมณ์ร้อนเนื่องจากลักษณะงานของพวกเขา เวลาพักผ่อนที่คนทั่วไปมีเป็นปกตินั้นเป็นสิ่งที่หายากสำหรับหมอที่ต้องรีบเร่งช่วยชีวิตคนอยู่ตลอดเวลา
เป็นเรื่องเข้าใจได้ที่คนเราจะอารมณ์ไม่ดีเมื่อพวกเขาไม่สามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานอย่างการกินและการพักผ่อนได้ หลังจากทำงานภายใต้ความเครียดมานานขนาดนี้
จินเฉินหลับตาทั้งสองข้าง แต่เขาไม่ได้หลับ
เขาจะหลับลงได้อย่างไรในเมื่อเขายังเจ็บปวดขนาดนี้ การสนทนาระหว่างทั้งสองคนจึงถูกส่งผ่านเข้าหูเขาอย่างชัดเจน
หากเป็นเวลาอื่น เขาคงจะอารมณ์เสียแน่ ๆ เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยรบกวนเช่นนี้ แต่ครั้งนี้เขากลับไม่รู้สึกเช่นนั้น ซึ่งแปลกมาก
ความเจ็บปวดทั้งหมดที่เขารู้สึกค่อย ๆ หายไปตั้งแต่ตอนที่ผู้หญิงคนนี้จับมือเขา
เสียงดังในหูและอาการปวดหัวที่ทนไม่ได้ก็หายไปเช่นกัน
ความหงุดหงิดในใจหายไป กลายเป็นความรู้สึกสงบและกลมกลืน
มันเหมือนกับครั้งที่พวกเขาพบกันครั้งก่อน
ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรและคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ แต่คราวนี้มันคงจะไม่ใช่บังเอิญอีกแล้ว แน่นอนว่าไม่ใช่!
“มา ช่วยผมหน่อย” ลู่เฟ่ยฟานพยุงเพื่อนของเขาเข้าไปในห้องพักแพทย์ มีเตียงชั่วคราวอยู่หลังม่านสีขาวที่มุมห้อง “วางเขาไว้ตรงนี้และให้เขาได้พักผ่อนสักหน่อย”
“ค่ะ”
จินเฉินไม่ได้หลับเมื่อร่างของเขานอนราบไปกับเตียง
ตอนที่ 35 ชื่อของคุณ
ลู่เฟ่ยฟานรู้สึกปวดเมื่อยที่เอว เขายืนขึ้นและขยับร่างกายสองสามครั้งก่อนจะเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก
ซูฮั่นหยวนเห็นว่ามีผ้าห่มอยู่ที่หัวเตียง เธอจึงหยิบมันขึ้นมาคลุมร่างชายหนุ่มที่นอนอยู่และเก็บมุมผ้าห่มให้เรียบร้อย
ขณะที่เธอกำลังจะออกจากห้อง มืออุ่น ๆ และแข็งแรงก็จับข้อมือของเธอไว้แน่น เธอรู้สึกตกใจเพราะคนที่จับเธอไว้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจินเฉิน
“เอ่อ...นี่มัน…” เธอพยายามดึงมือออกจากการเกาะกุม
แต่ทว่ามือนั้นช่างแข็งแกร่งและจับแน่นเสียจนเธอไม่สามารถดึงออกได้ หากไม่ใช่เพราะว่าผู้ชายตรงหน้านี้เป็นหมอและเคยรักษาพ่อของเธอไว้ เธอคงคิดว่าเขามีเจตนาอื่นแอบแฝง
“ชู่” ลู่เฟ่ยฟานยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากและเตือนเธอเบา ๆ “คุณผู้หญิง อย่าตกใจไป เขายังไม่หลับดี เขาจะปล่อยเองเมื่อหลับสนิท”
“อ้าว แล้วจะใช้เวลานานแค่ไหนคะ”
“น่าจะอีกไม่นาน” ลู่เฟ่ยฟานมองจินเฉินที่ดูเหนื่อยล้า “ไม่ต้องห่วงนะครับ เขาไม่ได้ตั้งใจจะฉวยโอกาสอะไร เขาเคยประสบกับเหตุการณ์ที่น่ากลัวในอดีต ทำให้เขามักจะจับอะไรบางอย่างไว้แน่นเวลาเขาหลับ...บางทีเขาอาจจะคิดว่ามือของคุณคือสิ่งนั้น”
“อ๋อ” ซูฮั่นหยวนพยักหน้า
เธอไม่ได้รู้สึกต่อต้านหมอคนนี้ที่เคยช่วยชีวิตพ่อของเธอ เธอเป็นคนจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างเปิดกว้างเรื่องการสัมผัสทางกาย
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็มีเหตุผลของเขา
ลู่เฟ่ยฟานรู้สึกกังวลเพราะซูฮั่นหยวนเป็นผู้หญิงและไม่ดีนักหากจินเฉินไม่ยอมปล่อยมือเธอไป อีกทั้งจินเฉินเป็นหมอในโรงพยาบาล ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์และความเหมาะสม ถ้ามีคนอื่นมาเห็นอาจจะเกิดเรื่องซุบซิบนินทาและปัญหาตามมาได้
ดังนั้น ลู่เฟ่ยฟานจึงเดินไปปิดประตู
“คุณผู้หญิง คุณชื่ออะไรครับ” เขาดึงเก้าอี้มาแล้วเริ่มคุยกับเธอ
“ซูฮั่นหยวนค่ะ”
“ผมชื่อว่าลู่เฟ่ยฟาน เป็นหมอจากแผนกวิสัญญีวิทยา ขอบคุณมากสำหรับความช่วยเหลือในวันนี้นะครับ ถ้ามีใครในครอบครัวของคุณต้องการการรักษา คุณสามารถมาที่โรงพยาบาลแล้วมาหาผมโดยตรงได้เลย ผมจะช่วยอย่างเต็มที่แน่นอน”
“จริงเหรอคะ เยี่ยมไปเลย! ขอบคุณนะคะ” เธอตอบกลับด้วยความสุภาพ
“ไม่เป็นไรครับ” ลู่เฟ่ยฟานรู้สึกหนาวหลังจากนั่งลง เขาจึงพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ให้ผมไปหาน้ำมาให้คุณสักแก้วนะ อากาศหนาว ดื่มน้ำอุ่น ๆ สักแก้วคงจะช่วยได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ซูฮั่นหยวนปฏิเสธ “ฉันแค่อยากรู้ว่าต้องรอนานแค่ไหนกว่าจะไปได้ ตอนนี้ฉันมากับพ่อเพื่อมาตรวจอาการหลังผ่าตัดและให้หมอตัดไหม ฉันแค่กลัวว่าพ่อจะเป็นห่วงถ้าไม่เห็นฉัน”
“เข้าใจแล้วครับ” ลู่เฟ่ยฟานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ลองอีกทีสิครับ ถ้าเขายังไม่ยอมปล่อยจริง ๆ ผมจะช่วยแกะนิ้วเขาออกเอง”
พอเขาพูดจบ แรงในมือของจินเฉินก็ค่อย ๆ อ่อนลง
เมื่อซูฮั่นหยวนสามารถขยับข้อมือได้อีกครั้ง เธอจึงค่อย ๆ ดึงมือออกแล้ววางมือของเขาไว้ข้างตัว จากนั้นเธอก็ยืนขึ้นและกล่าวลาลู่เฟ่ยฟานก่อนจะออกจากห้องพักแพทย์
เมื่อเธอกลับไปที่ห้อง พ่อของเธอเพิ่งตัดไหมเสร็จ สีหน้าของเขาซีดเซียวเพราะความเจ็บปวด
“พ่อคะ พ่อไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ” เธอจับมือของพ่อไว้แน่น “ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวก็หายเจ็บแล้ว”
“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก แม้ว่าจะตัดไหมแล้ว ก็ต้องใช้เวลาสักวันสองวัน” เว่ยกุ้ยฉินกล่าว
“ไม่เป็นไรหรอก พอทนได้ เจ็บน้อยกว่าตอนผ่าตัดเยอะ” แม้ว่าซูต้าเจียงจะพูดแบบนั้น แต่หน้าผากของเขาก็ยังเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ
ซูฮั่นหยวนรู้ว่าพ่อของเธอกำลังเจ็บปวด เธอจึงคิดในใจว่าต้องการช่วยให้พ่อหายจากความเจ็บปวด ทันใดนั้นแสงสีฟ้าในฝ่ามือของเธอก็ส่องสว่างขึ้น และไหลผ่านเส้นเลือดของซูต้าเจียงไปยังบาดแผลที่เจ็บปวด
ตอนที่ 36 รักษาไม่ได้
เมื่อซูต้าเจียงเดินออกจากโรงพยาบาล เขารู้สึกได้ว่าบาดแผลของเขาดีขึ้นมาก และความเจ็บแปลบที่เคยมีอยู่ก่อนหน้านั้นก็หายไป เขาสามารถยืดหลังตรงและก้าวเดินได้เร็วขึ้น
“ที่รัก ถ้าเจ็บแผลก็เดินช้าลงหน่อยสิ เราไม่ต้องรีบกลับบ้านหรอก” เว่ยกุ้ยฉินเตือนเมื่อเห็นซูต้าเจียงเดินเร็วขึ้น เธอกลัวว่าแผลจะเกิดการอักเสบขึ้นอีก
“คิดๆ ดูแล้วผมว่ามันก็แปลกเหมือนกันนะ คำพูดของลูกสาวเราดูเหมือนมีเวทมนตร์เลย ลูกบอกว่าแผลจะหายเจ็บ แล้วมันก็หายจริง ๆ!” ซูต้าเจียงรู้สึกเหลือเชื่อ
มันไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยบาดเจ็บมาก่อน ปกติแล้วหลังจากตัดไหมแผลจะยังคงเจ็บอยู่สักพัก
แต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น
เว่ยกุ้ยฉินกลอกตา “พอได้แล้วเถอะทั้งสองคน คำพูดของลูกสาวคุณกลายเป็นคำศักดิ์สิทธิ์จากพระสูตรไปแล้วหรือไง? แค่ฟังเธอพูดแล้วก็หายจากอาการเจ็บป่วยได้”
“อย่าพูดแบบนั้นเลย ก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่” ซูต้าเจียงหัวเราะแห้ง ๆ
“เชอะ” เว่ยกุ้ยฉินไม่อยากฟังต่อ
ซูฮั่นหยวนยิ้มเล็กน้อยในใจ เธอคิดกับตัวเองว่าน่าเสียดายที่ความสามารถในการรักษานี้ไม่สามารถรักษาโรคได้ แค่ช่วยลดความเจ็บปวดเท่านั้น ถ้ามันสามารถรักษาโรคได้ เธอคงกลายเป็นหมอเทวดาไปแล้ว
ในอนาคต เธอคงจะสามารถรักษาโรคใด ๆ ก็ได้ด้วยการสัมผัสเพียงแค่ครั้งเดียว คนไข้คงจะเข้าคิวรอเป็นแถวยาว จากนั้นเธอคงจะนับเงินจนมือเป็นตะคริวเลยทีเดียว อนาคตคงจะสดใสไม่น้อย
น่าเสียดาย... นิ้วทองคำของเธอยังไม่ยาวพอ และก็ไม่ได้มีพลังถึงขนาดนั้น!
ซูฮั่นหยวนครุ่นคิดถึงเรื่องนิ้วทองคำของเธอ จู่ ๆ ภาพของจินเฉินที่ดูเหนื่อยล้าก็ปรากฏขึ้นในความคิด นิ้วทองคำนี้สามารถลดความเจ็บปวดหรือขจัดความเหนื่อยล้าได้ไหมนะ?
เธอเสียใจที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ก่อนหน้านั้นและไม่ได้ลองใช้ดู ถ้าทำได้ เธอคงช่วยเขาได้...
จินเฉินที่เคยมีจิตใจว้าวุ่นก็กลับมาสงบลง ไม่มีเสียงรบกวนหรือความเจ็บปวดอีกต่อไป เขาหลับตาและหลับสนิท เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าใกล้จะเที่ยงแล้ว
บรรยากาศในห้องพักแพทย์เงียบสงบ มีเพียงลู่เฟ่ยฟานที่นั่งอยู่ข้างเตียง เขาใช้มือค้ำคางแล้วจ้องมองไปยังจุดหนึ่งด้วยความเหม่อลอย
“แค่กๆ” จินเฉินไอเบา ๆ สองครั้ง
“นายตื่นแล้ว!” ลู่เฟ่ยฟานหลุดจากภวังค์แล้วรีบถามอย่างรวดเร็ว “รู้สึกยังไงบ้าง? เสียงแหลม ๆ ยังอยู่ไหม? หัวยังเจ็บอยู่ไหม? นายทำงานต่อไหวไหม? ถ้าไม่ไหว ฉันจะลางานแล้วพานายกลับบ้านเอง”
“ดีขึ้นแล้ว ไม่เป็นไร” จินเฉินบิดร่างกายตัวเองเล็กน้อย
“ครั้งนี้อาการกำเริบไม่นานเลย ได้นอนหน่อยทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว โอ้ ใช่ แล้วการผ่าตัดเป็นยังไงบ้าง?”
“ยังคิดถึงเรื่องผ่าตัดอยู่อีกหรือ” อีกฝ่ายรินน้ำใส่แก้วแล้วยัดแก้วน้ำใส่มือของเขา
“นายผ่าตัดต่อไม่ได้ หลังจากที่ฉันพานายออกมาจากห้องผ่าตัด ผู้อำนวยการหลินก็เข้ามารับช่วงต่อ ไม่ต้องห่วงหรอก”
“แล้วนายไม่ไปทำงานต่อหรือ” จินเฉินถามพร้อมกับมองไปที่เพื่อนของเขา
“ใจดำจริง ๆ” ลู่เฟ่ยฟานอยากจะต่อยหน้าเพื่อนสักครั้งจริง ๆ
“ฉันเป็นห่วงนาย การผ่าตัดไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่ใช่วิสัญญีแพทย์คนเดียวในโรงพยาบาลนี้ ดังนั้นไม่ต้องกังวล การผ่าตัดไม่มีปัญหา”
“อืม” จินเฉินพยักหน้า
“ว่าแต่ ครั้งก่อน ๆ ที่อาการกำเริบ นายฟื้นตัวได้ยากไม่ใช่หรือ? ทำไมครั้งนี้ถึงฟื้นตัวเร็วขนาดนี้?” ลู่เฟ่ยฟานรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
เขาโตมากับจินเฉินและรู้ว่าเพื่อนของเขามีอาการป่วยแบบนี้ตั้งแต่ยังเด็ก มันเป็นโรคประหลาด ทุกครั้งที่จินเฉินเหนื่อยล้า อาการนี้จะโผล่ออกมาทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างทนไม่ไหว
อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่เขาไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบ ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ ตอนที่เขาไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ เขาไปพบผู้เชี่ยวชาญเกือบทุกคนในประเทศ M แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถหาวิธีรักษาได้