หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
“พ่อ” เธอยิ้มและวางผลไม้ไว้บนโต๊ะข้างเตียง ดึงเก้าอี้เข้ามานั่งและจับมือของเขา “ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นหรือยังคะ?”
“ดีมาก ดีมาก…” ริมฝีปากของซูต้าเจียงแห้งและแตกระแหง เขามองใบหน้าของลูกสาวเหมือนกับว่าไม่เคยพอไม่ว่าจะมองมากแค่ไหน “ลูกเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว สวยขึ้นมาจากตอนเด็ก”
“ผู้หญิงโตขึ้นก็สวยขึ้นเป็นธรรมดาค่ะ” ซูฮั่นหยวนยิ้มเล็กน้อย เธอเปิดลิ้นชักข้างเตียงและหยิบสำลีออกมา ชุบน้ำอุ่นและช่วยเช็ดมุมปากของเขา “ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นไหมคะ?”
ซูต้าเจียงหลับตาลงและยิ้มที่มุมปาก
เมื่อเว่ยกุ้ยฉินเห็นพ่อและลูกสาวที่เข้ากันได้ดีเช่นนี้ หล่อนก็รู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินจึงไม่อยากอยู่ที่นี่นานนัก เมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยไปสีกพัก หล่อนจึงลุกขึ้นเพื่อจะกลับบ้าน
ก่อนที่จะจากไป หล่อนสั่งลูกสาวว่า “ดูแลพ่อของแกให้ดี แม่จะกลับมาอีกทีตอนเช้า”
“อืม” ซูฮั่นหยวนพยักหน้า
ท้องฟ้ามืดลงเมื่อถึงยามค่ำคืน
ทางเดินในหอผู้ป่วยในค่อย ๆ เงียบลง เงียบจนบางครั้งสามารถได้ยินเสียงครางจากผู้ป่วยหลังการผ่าตัดที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ซูต้าเจียงอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น เขาต้องการนอนแต่ไม่สามารถทำได้
ฤทธิ์ของยาสลบหมดไปนานแล้ว ความเจ็บปวดที่แผลบริเวณหน้าท้องเจ็บเกินไป แม้แต่การไอเบาๆ ก็ทำให้เจ็บปวดอย่างยิ่ง
ซูฮั่นหยวนรู้ดีว่าเขาต้องเจ็บปวดมากเพราะเขาขมวดคิ้วและมีเหงื่อไหลลงมาที่หน้าผาก
“หยวนหยวน…” ในที่สุดเขาก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหวและพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “พ่อเจ็บไม่ไหวแล้ว ช่วยเรียกพยาบาลมาฉีดยาแก้ปวดให้พ่อหน่อยได้ไหม?”
“พ่อคะ” เธอขยับเข้าไปใกล้และปลอบโยนเบาๆ “หนูรู้ว่าพ่อเจ็บมาก แต่ยาแก้ปวดไม่ดีต่อการสมานแผล หมอแนะนำว่าให้พยายามทนเท่าที่จะทนไหว ถ้าพ่อทนไม่ไหวจริงๆ หนูจะเรียกหมอมาให้ ตกลงไหมคะ?”
ซูต้าเจียงหลับตาอีกครั้งและกัดริมฝีปากล่าง เขาไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน ดูเหมือนว่าเขาพยายามอดทนกับความเจ็บปวด
“พ่อคะ ถ้าหนูเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในละแวกบ้านตอนที่พ่อไม่อยู่ให้ฟังล่ะคะ? มันอาจจะช่วยทำให้พ่อไม่คิดถึงความเจ็บปวดก็ได้”
เขาพยักหน้าเล็กน้อย
เธอยิ้ม ขณะที่เธอกำลังจะพูด เธอเห็นมือของเขากำแน่นกับผ้าปูที่นอนและฝ่ามือเปียกชื้นด้วยเหงื่อ
เธออึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือไปจับมือพ่อของเธอและพูดด้วยเสียงเบา “ตอนที่พ่อไม่อยู่บ้าน ป้าหม่าเพื่อนบ้านของเรามักจะมาช่วยเสมอ…”
ซูฮั่นหยวนจับตามองที่บริเวณระหว่างคิ้วของพ่อ เธอเล่าต่อด้วยเสียงนุ่มนวลและอ่อนโยน จนกระทั่งเธอสังเกตเห็นว่าคิ้วของพ่อที่ขมวดแน่นเริ่มคลายออกและมือที่กำแน่นก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน
ลมหายใจของเขาค่อยๆ สม่ำเสมอและเข้าสู่สภาวะที่มั่นคง
ในที่สุดเขาก็หลับไป
ซูฮั่นหยวนถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอต้องการวางแขนของพ่อไว้ใต้ผ้าห่ม แต่เมื่อเธอก้มศีรษะลง เธอก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่เธอเห็น
ระหว่างมือของเธอกับมือของพ่อมีแสงสีน้ำเงินจางๆ วาบขึ้นมา
นี่มันอะไรกัน?
เมื่อเธอปล่อยมือจากพ่อ เธอก็รู้ว่าแสงนั้นมาจากตัวเธอเอง ตอนที่เธอกำลังสงสัยเกี่ยวกับแหล่งที่มาของแสงนั้น มันก็เริ่มหรี่ลงและหายไปอย่างรวดเร็ว
ซูฮั่นหยวนที่เคยรู้สึกง่วงไม่สามารถหลับได้อีกต่อไป ความสนใจของเธอถูกปลุกขึ้นด้วยเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้ เธอใช้เวลาทั้งคืนครุ่นคิดถึงแสงในมือของเธอว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรและมันมีไว้เพื่ออะไร
โดยไม่รู้ตัว พระอาทิตย์ก็ขึ้นจากทิศตะวันออกแล้ว คืนอันยาวนานผ่านไปและวันใหม่ก็มาถึง