หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
“พ่อ? เข้าโรงพยาบาล?”
“ใช่ พี่ชายรอเธออยู่ที่ทางเข้าโรงงาน รีบไปเถอะ ฉันอนุมัติให้เธอลางานได้สามวัน และก็ไม่ต้องพะวงเรื่องงานล่ะ ไว้ค่อยกลับมาทำหลังจากที่จัดการเรื่องที่บ้านแล้ว”
หนิ่วหงเซี่ยเป็นคนดีคนหนึ่ง อนุมัติให้ซูฮั่นหยวนลางานโดยที่เธอไม่ต้องร้องขอ
“ขอบคุณค่ะหัวหน้า!” ซูฮั่นหยวนรู้สึกขอบคุณ “ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวนะคะ”
“ไปเถอะ รีบไป ยังไงครอบครัวก็สำคัญกว่างาน” หนิ่วหงเซียโบกมือให้ซูฮั่นหยวน
ซูฮั่นหยวนรีบวิ่งไปที่ทางเข้าโรงงานทันที เมื่อวานหิมะตก หลายครั้งที่เธอเกือบจะลื่นล้ม ถึงกระนั้นเธอก็ไม่กล้าที่จะชะลอความเร็วลง
หากเธอจำไม่ผิด ซูต้าเจียงคงตายจากการป่วยหนักครั้งนี้
ในนิยายไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับซูต้าเจียงมากนัก ในช่วงอายุเจ็ดสิบ เขารับใช้ชาติไปช่วยเหลือที่ขบวนแนวหน้าที่สามที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ
เขาจากไปเจ็ดถึงแปดปีแล้ว วันเดินทางกลับของเขาตรงกับที่ซูฮั่นหยวนตกลงตามข้อเสนอแต่งงานของตระกูลโจว
อาการป่วยเกิดขึ้นกะทันหันและเขาก็จากไปก่อนที่พ่อลูกจะมีโอกาสได้กลับมาพบหน้ากันอีก
เจ้าของร่างเดิมนี้ใส่ใจพ่อของเธอมาก เมื่อได้ยินว่าบิดาเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เธอก็เป็นลมหมดสติไป
ซูฮั่นหยวนค้นพบว่าในชีวิตที่มืดมนและโดดเดี่ยวของเจ้าของเดิมก็มีที่พักพิงให้ชื่นใจเช่นนี้ด้วย เป็นความทรงจำที่มีความสุขที่สุดของเธอนั่นคือช่วงเวลาที่เธอได้อยู่กับบิดาอันเป็นที่รัก
พ่อสอนให้เธอเขียนอักษรจีนตัวแรกด้วยของท่านเอง พาเธอไปสวนสัตว์และหวีผมของเธอด้วยมือที่หยาบกระด้างอย่างเงอะงะงุ่มง่าม ทุกครั้งที่พ่อเดินทางไปทำงาน ท่านจะนำขนมหวานหน้าตาน่ากินกลับมาทุกครั้ง แม้ว่าจำนวนจะไม่มากแต่ก็เป็นความทรงจำอันมีค่าของเธอ
ซูฮั่นหยวนรู้สึกซาบซึ้งกับความทรงจำนี้ ลึก ๆ ข้างในเธอทนไม่ไหวที่จะเห็นบิดาอันเป็นที่รักเสียชีวิต!
บางทีจากการดำรงอยู่ของเขา ครอบครัวจึงช่วยเหลือเธอได้บ้างไม่มากก็น้อย ถึงแม้จะไม่ได้ช่วยอะไรไม่ได้มากแต่ก็ยังช่วยได้อยู่บ้าง!
เมื่อเธอมาถึงทางเข้าโรงงานก็เห็นพี่ชายคนที่สามของเธอนั่งยอง ๆ อยู่ข้างกองหิมะในเสื้อแจ็คเก็ตบุผ้าฝ้ายสีเทา เขากำลังสูบบุหรี่อย่างกระวนกระวายใจ
“พ่อเป็นยังไงบ้าง”
เมื่อได้ยินคำถามของเธอ ซูจิ่งรุ่ยก็โยนบุหรี่ในมือทิ้งแล้วลุกขึ้นยืน สิ่งแรกที่เขาพูดคือการตำหนิ “ทำไมเพิ่งออกมาล่ะ? เป็นหอยทากหรือไง?”
“เช้านี้พี่กินอะไรถึงได้หงุดหงิดขนาดนี้เนี่ย ไม่รู้วิธีพูดอย่างอื่นแล้วเหรอ” ซูฮั่นหยวนจ้องมองพี่ชายคนที่สามและตบเบาะจักรยาน “ถ้ามีเวลาพูดเรื่องไร้สาระ ก็รีบไปโรงพยาบาลเถอะ!”
“สั่งฉันเหรอ” ซูจิ่งรุ่ยเอียงคอเลิกคิ้ว สีหน้าโมโหยิ่งนัก
เธอมองดูเขาแล้วรู้สึกทั้งรำคาญและขบขัน เธออยากจะตบเขาจริง ๆ นี่มันเวลาอะไรแล้วถึงยังกวนโมโหเธอไม่เลิก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้ว่าสิ่งใดสำคัญและสิ่งใดไม่สำคัญ
เธอไม่มีเวลาไปเสียเปล่ากับคนปัญญาอ่อนอย่างเขา
“ไม่ไปเหรอ? ถ้างั้นฉันไปเอง!” เธอกระโดดขึ้นจักรยานแล้วถีบไปข้างหน้า
“ซูฮั่นหยวน!” ซูจิ่งรุ่ยโกรธจัด วิ่งตามเธอไปแล้วคว้าท้ายจักรยานไว้ เขากัดฟันและคำรามลั่น “อยากลองดีเรอะ เมื่อวานแกทะเลาะกับฉันยังไม่พอ แถมยังหนีออกจากบ้าน ไม่ได้กลับบ้านหนึ่งคืนแล้ว วันนี้ก็ยังจะลองดีกับฉันอีกเรอะ ลงมา!”
“จะไปหรือไม่ไป” ซูฮั่นหยวนหยุดจักรยานและยันตัวเองด้วยเท้าข้างเดียว เธอเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายแล้วพูดว่า “พ่อกำลังป่วยอยู่ในโรงพยาบาลแล้วพี่ยังจะทะเลาะกับฉันที่นี่เหรอ? นี่ใช่เวลาไหมเนี่ย”
“งั้นก็ไปกัน!” ซูจิ่งรุ่ยยอมรับความผิดของตน
ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกัน ไว้พ่อฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ น้องสาวตัวดีได้ถูกเขาจัดการแน่!
ซู่จิ่งรุ่ยนั่งบนเบาะจักรยานขณะที่ซูฮั่นหยวนย้ายไปที่เบาะหลัง เมื่อเผชิญกับแสงแดดและลมหนาวที่กัดกร่อน พวกเขาจึงปั่นจักรยานไปที่ที่โรงพยาบาลประชาชนอย่างไว