หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
หลังจากเหตุการณ์ล้มล้างตระกูลลั่วและตระกูลเย่ เวลาก็ได้ผ่านไป 1 ปีแล้ว ปัจจุบันหลิวชุน มีอายุได้ 17 ปีเต็ม
หลิวชุนมีความรู้สึกว่า ช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมานี้ เขามีความสุขมาก แทบไม่มีปัญหาใดๆ เข้ามาสู่ตระกูลหลิวและตัวเขา
ชุน 1 ก็ได้ศึกษาตำรายุทธพิชัยสงครามที่ถูกส่งมาให้โดยท่านอาจารย์จ้าวฟูหยาง ตลอดจนศึกษาหาความรู้เรื่องที่เขาสนใจอีกหลายๆเรื่อง เพิ่มเติมได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะวิชาภูมิศาสตร์แผนที่ และเรื่องการสร้างอาวุธ
ส่วนชุน 2 ก็ได้ฝึกฝนวิชายุทธ์อย่างจริงจัง ทำให้มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ทั้งเพลงกระบี่ปลายนภา เพลงเตะ 8 ทิศที่เขากับชุน 1 ร่วมกันพัฒนาขึ้น เพลงหมัดทลายฟ้า ท่าเท้าเหยียบสายลม รวมถึงวิชาโล่เกราะปลายแขน ที่ท่านอารอง ดัดแปลงจากการใช้โล่ขนาดใหญ่ แล้วนำมาสอนให้ชุน 2
ทั้ง 2 ชุน ขณะนี้อยู่ในขั้นผสานลมปราณขั้นกลาง ระดับที่ 5 แล้ว อันเป็นระดับเดียวกันกับท่านประมุขรุ่นที่ 2 ของตระกูลหลิว
ที่เขาเลื่อนระดับได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ก็เนื่องมาจากเคล็ดดูดซับพลังปราณกลืนเมฆา ของท่านอาจารย์จ้าวฟูหยาง ซึ่งเป็นเคล็ดที่มีประสิทธิภาพในการดูดซับพลังปราณ อยู่ในระดับสูง และเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับกายาธาตุลมของเขา
และที่สำคัญคือหลิวชุน มีหินพลังปราณ มาให้ดูดซับอย่างไม่ขาดมือ จากกำไรของกิจการบ่อนการพนัน ทั้ง 3 แห่ง
ซึ่งเขาก็ได้ทำการแบ่งปัน หินพลังปราณ ไปให้คนในตระกูลหลิว ได้ดูดซับ ตามผลงานของแต่ละคน ที่ได้สร้างให้แก่ตระกูลด้วย
ทำให้ในเวลานี้ ตระกูลหลิว พัฒนาขึ้นมาก ทั้งในด้านวิชาความรู้ และในด้านวรยุทธ์
แต่หลิวชุน ก็ยังมิพอใจ เขาต้องการหาเงินให้ได้มากกว่านี้ เพื่อที่จะนำมาพัฒนาตระกลูหลิว ให้กลายเป็นตระกูลอันดับที่ 1 ในอำเภออันจงโดยเร็วที่สุด
ในห้องประชุมของตระกูลหลิว
"ท่านผู้อาวุโสลำดับที่ 1 เรื่องการก่อสร้างโกดังสินค้าให้เช่า ในท่าเรือระดับอำเภอขึ้นไปทั้งหมด ของเมืองอันซุย"
"ตอนนี้ความคืบหน้า เป็นอย่างไรบ้างแล้วขอรับ" ท่านประมุขรุ่นที่ 2 สอบถามไปยังบิดาของหลิวชุน ผู้เป็นพี่ชายของเขา
"ตอนนี้โกดังสินค้าให้เช่าทั้ง 20 โกดัง ที่ท่าเรือเมืองอันซุย เราก่อสร้างเสร็จแล้ว พร้อมเปิดให้เช่าได้ในเดือนหน้าขอรับ"
"ส่วนในอีก 2 ท่าเรือระดับอำเภอ ไม่นับอำเภออันจงของเรา โกดังใช้เช่าอีก 16 โกดัง ก็จะทยอยกันแล้วเสร็จ ในอีก 2 เดือนข้างหน้าขอรับ ท่านประมุขรุ่นที่ 2" บิดาของหลิวชุน กล่าวรายงานออกไป
"แสดงว่าในอีก ประมาณ 3 เดือนข้างหน้า ตระกูลหลิวของเราจะมีโกดังสินค้าให้เช่าแห่งใหม่ 36 โกดัง รวมกับโกดังเดิมที่เรามีอีก 12 โกดัง ก็จะเป็น 48 โกดัง จาก 4 ท่าเรือ ของเมืองอันซุยสินะ ดีๆๆ.." ท่านประมุขรุ่นที่ 2 กล่าวอย่างเบิกบาน
อนึ่ง แม่น้ำอันซุย-จิวไห่ มีต้นกำเนิดมาจากทะเลสาปอันซุย ไหลจากเหนือลงใต้ ผ่านเมือง 2 เมือง และอำเภออีก 7 อำเภอ มีความยาวลำน้ำทั้งสิ้น 560 กีลา
( 1กีลา = 1 กิโลเมตร )
แล้วจึงไหลลงสู่ทะเลสาปจิวไห่ อันเป็นจุดสิ้นสุด ของแม่น้ำอันซุย-จิวไห่ สายนี้
เมืองอันซุยนี้มีท่าเรืออยู่ 4 ท่าเรือ เป็นท่าเรือระดับเมือง 1 ท่าเรือ และระดับอำเภออีก 3 ท่าเรือ ไม่นับท่าเรือระดับหมู่บ้าน
ซึ่งตระกูลหลิว ที่ได้ร่วมลงทุนกับท่านอ๋องน้อย ซื้อที่ดินและทำการก่อสร้างโกดังสินค้าให้เช่า เพื่อเป็นแหล่งสร้างกำไร และรวบรวมข้อมูลข่าวสารด้านความมั่นคง จากบรรดาพ่อค้าที่มาเช่าโกดัง ไว้ได้ครบทั้ง 4 ท่าเรือ ของเมืองอันซุยแล้ว
แผนต่อไปของพวกเขาก็คือ ซื้อที่ดินและสร้างโกดังสินค้าให้เช่า ในเมืองจิวไห่ จำนวน 5 ท่าเรือ
แบ่งเป็น ท่าเรือระดับเมือง 1 ท่าเรือ และท่าเรือระดับอำเภออีก 4 ท่าเรือ
"แล้วทางเจ้าละ หลิวกวน กิจการตลาดสดเป็นเช่นไรบ้าง" ท่านประมุขรุ่นที่ 2 สอบถามไปทางคุณชายหลิวกวน บุตรชายของเขา
"กิจการตอนนี้อยู่ตัวแล้วขอรับ เงินที่ท่านอ๋องน้อยลงทุนไป คาดว่าในอีก 2 ปี ก็จะสามารถคืนทุนได้ขอรับ"
"ส่วนคนของตระกูลหลิวของเรา ที่ไปฝึกงาน ด้านการค้าขายกับตระกูลจิน ก็กลับมาช่วยเหลือในการบริหารจัดการตลาดสด ได้เป็นอย่างดีขอรับ" คุณชายหลิวกวนกล่าวตอบ
"แล้วเรื่องสัมปทานการบริหารจัดการท่าเรือละขอรับ ท่านพ่อ"
"ท่าเรือใดจะครบสัญญาสัมปทาน แล้วเปิดให้แข่งประมูลก่อน เป็นเเห่งเเรกขอรับ" ชุน 1 ถามขึ้นมาบ้าง
"เป็นท่าเรืออำเภอซืออยู่ ของเมืองจิวไห่ ที่จะมีการแข่งประมูลสัมปทาน ในอีก 6 เดือนข้างหน้า" บิดาของชุน 1 ตอบกลับมา
"การให้เช่าโกดังสินค้า เราอาศัยความสนิทสนม ในการสืบหาข้อมูลด้านความมั่นคง"
"แต่หากเราได้รับสัมปทานการบริหารจัดการท่าเรือ เราก็คือตัวแทนของทางการ มีอำนาจหน้าที่เต็ม ในการสอบถามทั้งข้อมูลของบุคคล และสินค้า"
"เราต้องช่วยกันหาข้อมูลด้านความมั่นคง มาจากทั้ง 2 ส่วน คือทั้งในส่วนของสัมปทาน และในส่วนของโกดังให้เช่า มาให้ครบถ้วน"
"ดังนั้น เราต้องประมูลสัมปทานท่าเรือนี้ มาให้ได้ขอรับ"
"ข้ารู้ดี ตอนนี้ เราผูกติดกับท่านอ๋องน้อย แต่ต่อไปหากกิจการใด ที่เรามีเงินลงทุน เราก็จะทำเอง"
"เอาละ ข้าจะประสานกับท่านอ๋องน้อย ในเรื่องเงินทุน ในการแข่งประมูลสัมปทานให้ขอรับ" ชุน 1 กล่าวอย่างหนักแน่น
เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง หลิวชุน ก็ไปยังร้านอาหารของบิดาเฉินเป่า สหายตัวโตหุ่นหมีของเขา เพื่อหาข้าวกิน
ช่วงหลังมานี้ น้องชายทั้ง 2 คนของเฉินเป่า เติบโตขึ้นมาก จนสามารถช่วยเหลือกิจการร้านอาหารของบิดาแทนเฉินเป่าได้
ตัวของเฉินเป่าเองนั้น ขณะนี้เขามิได้อยู่ในอำเภออันจง เมื่อตอนที่เฉินเป่าอายุครบ 18 ปี เขาก็ไปสมัครฝึกเพื่อจะเป็นทหาร ยังค่ายกองพลทหารแห่งเมืองอันซุย
ปัจจุบันนี้ เฉินเป่า อายุ 19 ปี เขาเข้ารับการฝึกทหารมาได้ 1 ปีแล้ว
โดยเฉินเป่า จะต้องทำการฝึกทหารอีก 1 ปี แล้วจึงจะบรรจุเป็น พลทหาร เมื่ออายุ 20 ปี
ทางด้านหลิวชุนนั้น เขาก็มิได้ปล่อยเวลา 1 ปีให้ผ่านไปเฉยๆ
เขาได้ปรึกษากับท่านอาจารย์จ้าวฟูหยาง และศิษย์พี่เตียถึงอนาคตของเขา
ทั้งท่านอาจารย์จ้าว และศิษย์พี่เตีย ต่างก็สนับสนุนให้หลิวชุน ทำการสอบคัดเลือกเข้าเป็นนักกลยุทธ์ทางการทหาร
ซึ่งหลิวชุนก็เห็นด้วย เพราะตำแหน่งผู้ตรวจราชการแห่งมณฑลภาคเหนือ แม้จะฟังดูยิ่งใหญ่ แต่ก็เป็นตำแหน่งลอยๆ มิได้มีอำนาจสั่งการใดๆ
หลิวชุนต้องการตำแหน่งนักกลยุทธ์ทางการทหาร มาก็เพื่อสนับสนุนตระกูลหลิวของเขา
ในอาณาจักรต้าเหมิง ขุนนางไม่ว่าฝ่ายบุ๋นหรือฝ่ายบู๊ สามารถทำกิจการได้ มิได้มีความผิดอันใด แต่กิจการนั้นๆ จะต้องดำเนินการอย่างถูกต้องตามตัวบทกฏหมาย หากขุนนางทำผิด ขุนนางจะได้รับโทษหนักกว่าสามัญชนถึง 3 เท่า
ดังนั้นช่วงเวลาที่ผ่านมา ชุน 1 จึงศึกษาด้านยุทธพิชัยสงครามอย่างจริงจัง
เขาได้ทำการศึกษาสำเนาของตำรายุทธพิชัยสงครามทั้งขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสูง
ที่ท่านอาจารย์จ้าวฟูหยาง ส่งมาให้ มากมายหลายเล่ม
แทบทุกเล่ม เป็นสำเนาของตำรายุทธพิชัยสงคราม ที่มีเนื้อหาอยู่ในขั้นระดับสุดยอดตำรา ที่หาได้ยาก ในอาณาจักรต้าเหมิงนี้
เมื่อหลิวชุน ศึกษาจนเข้าใจได้อย่างดีแล้ว
ก็เหลือแต่เอาไปประยุกต์ใช้ เพื่อปฏิบัติจริง ตามสภาพพื้นที่ และสถานการณ์ในการรบ
และอีกประการหนึ่ง ที่สำคัญก็คือ
เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว หลิวชุนได้ไปทำการสอบขุนนางฝ่ายบุ๋น เพื่อเข้าเป็น นักกลยุทธ์ทางการทหาร ยังราชสำนักต้าเหมิงในเมืองหลวง
เขาสอบผ่าน ถึงแม้จะไม่ได้ติดอยู่ใน 20 อันดับแรก แต่ก็ได้อันดับที่ 26
ในขณะที่มีผู้สอบผ่าน ทั่วทั้งอาณาจักรต้าเหมิง เพียง 31 คนเท่านั้น
เขาคือผู้ที่อายุน้อยที่สุด ที่สอบได้ตำแหน่งนักกลยุทธ์ทางการทหารนี้
และคงอีกนาน กว่าจะมีผู้ที่อายุน้อยกว่านี้ จะทำลายสถิตินี้ลงได้
แต่แค่ 31 คนนี้ ยังไม่พอที่จะทดแทนนักกลยุทธ์ รุ่นก่อนที่เกษียณเพราะชราภาพ หรือเสียชีวิตลงได้เลย
นักกลยุทธ์ จึงหาได้ยากเป็นอย่างมาก
ส่วนเสนาธิการทหาร นั้น จากนักกลยุทธ์ทางการทหาร 100 คน
จะมีคนที่มีความสามารถพอ ที่จะขึ้นเป็นเสนาธิการทางการทหาร ได้เพียง 1 คน เท่านั้น
ส่วนหลิวชุน เมื่อผ่านการสอบขุนนางบุ๋น เป็นนักกลยุทธ์ทางการทหารมาได้แล้ว
หลิวชุน ยังมิสามารถรายงานตัวเข้าประจำการในตำแหน่งนักกลยุทธ์ได้
เพราะเขายังอายุไม่ถึง 18 ปี แล้วเมื่อเขาอายุ 18 ปี จึงจะไปฝึกทหารอีก 2 ปี เพื่อบรรจุเข้าเป็นพลทหาร ตอนอายุ 20 ปีเสียก่อน
หลังจากนั้นจึงจะสามารถ รายงานตัวเข้าเป็นนักกลยุทธ์ทางการทหารที่สมบูรณ์ได้
ในอาณาจักรต้าเหมิงแห่งนี้ ต่อให้มีวรยุทธ์สูงส่งเพียงใด ความรู้ความสามารถสูงเพียงไหน
หากจะเป็นทหาร ทุกคนต้องผ่านกระบวนการนี้มาแล้วทั้งสิ้น
คือต้องเข้ารับการฝึกทหารเป็นเวลา 2 ปี แล้วบรรจุเป็นพลทหาร จากนั้นจึงจะขยับขยายไปตามความสามารถส่วนตัวของแต่ละคนต่อไป
แล้วในคืนนั้นหลิวชุน ก็เดินทางไปยังบ่อนการพนัน 1 ใน 3 แห่ง ของตระกูลหลิว
บ่อนแห่งนี้ ตั้งอยู่ใกล้บ้านตระกูลหลิวที่สุด
ซึ่งบ่อนแห่งนี้ก็คือ ศูนย์บัญชาการ การรวบรวมข้อมูลข่าวสารด้านความมั่นคงนั่นเอง
เขาไปเพื่อพบกับ ท่านอารอง หลิงเทียนสง ของเขา
ผู้มาทำงานราชการลับทางการทหาร เพื่อเป็นหัวหน้าในการรวบรวมข้อมูลข่าวสารทางด้านความมั่นคง
ตามที่หลิวชุน ทำหนังสือราชการลับ เสนอไปยัง ท่านอ๋องน้อย และท่านเป่ยอ๋อง แห่งมณฑลภาคเหนือนั่นเอง