Your Wishlist

เทพเซียนไร้ลักษณ์ (ตระกูลหลิว รุ่นที่ 3) (บทที่ 69 จริงจัง)

Author: geesan

หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน

จำนวนตอน :

บทที่ 69 จริงจัง

  • 19/02/2567

   เมื่อหลิวชุนได้รับ โล่เกราะปลายแขนมาจากโรงสรรพาวุธแล้ว เขาจึงไปขอเข้าพบท่านขุนพล

 

 

 

   ท่านขุนพลผู้นี้ มีนามว่า อี้จาง เขามีรูปร่างที่สูงใหญ่ ขาข้างหนึ่งของเขาเป็นขาเทียม แต่มันก็มิได้ทำให้ความแข็งแกร่ง ในขั้นปราณวารีขั้นต้น ระดับที่ 1 ของเขาลดลงแต่อย่างไร

 

 

 

   ท่านขุนพลอยู่ในชุดเกราะรบ สีน้ำเงิน อันเป็นสีชุดเกราะรบประจำตำแหน่งขุนพล 

 

 

 

 

 

   ชุดเกราะของพลทหาร และหัวหมู่ มีสีดำ

 

 

 

   ชุดเกราะของนายกอง มีสีเขียวเข้ม

 

        

 

   ชุดเกราะของขุนศึก มีสีน้ำตาล

 

 

 

   ชุดเกราะของขุนพล มีสีน้ำเงิน

 

 

 

   ชุดเกราะของแม่ทัพ มีสีแดง

 

     

 

   ชุดเกราะของแม่ทัพใหญ่ มีสีม่วง

 

 

 

   ชุดเกราะของจอมทัพ และท่านอ๋อง มีสีเงินขลิบทอง

 

 

 

   ชุดเกราะขององค์จักรพรรดิ์ มีสีทอง

 

        

 

 

 

   กลับมาที่ห้องทำงานของท่านขุนพลอี้ หลังจากต่างฝ่ายต่างทำการคารวะกันแล้ว

 

 

 

  "ท่านขุนพลอี้ ข้าหลิวชุน ต้องขอขอบคุณท่านมาก ที่ท่านได้ให้โรงสรรพาวุธ ทำการสร้างโล่เกราะปลายแขนให้แก่ข้าขอนับ" ชุน 1 กล่าวออกมา

 

 

 

   "เชิญท่านผู้ตรวจราชการหลิว นั่งก่อนเถิดขอรับ"

 

 

 

  

 

 

 

    กองทหารมีระดับดังนี้

 

 

 

   1.หน่วยทหารย่อย 1 หน่วยจะมีทหารอยู่ 10 นาย มีหัวหมู่ เป็นหัวหน้าหน่วย 10 หน่วยย่อย จะรวมเป็น 1 กองร้อย

 

 

 

   2.กองร้อยทหาร 1 หน่วยจะมีทหารอยู่ 100 นาย มีนายกอง เป็นหัวหน้ากองร้อย 10 กองร้อย จะรวมเป็น 1 กองพัน

 

 

 

   3.กองพันทหาร 1 กองพันจะมีทหารอยู่ 1,000 นาย มีขุนศึก เป็นผู้กำกับการกองพัน 10 กองพัน จะรวมกันเป็น 1 กองพล

 

 

 

   4.กองพลทหาร 1 กองพลจะมีทหารอยู่ 10,000 นาย มีขุนพลเป็นผู้บังคับการกองพล

 

 

 

   กองพลทหาร จะเป็นกองทหารที่อยู่ประจำเมืองต่างๆ ของราชอาณาจักรต้าเหมิง

 

   ส่วนในระดับอำเภอ จะไม่มีกองทหารประจำการอยู่ แต่หากมีเรื่องทางทหารเกิดขึ้น กองพลทหารประจำเมือง ก็จะส่งทหารเข้าปฏิบัติการยังอำเภอต่างๆในทันที

 

 

 

   ชุน 1 ในฐานะผู้ตรวจราชการเเห่งมณฑลภาคเหนือ ได้พูดคุยเรื่องกิจการทางการทหารกับท่านขุนพลอี้ เกี่ยวกับเรื่องต่างๆของกองพลทหารประจำเมืองอันซุย

 

   ซึ่งในปัจจุบัณนี้กิจการการดำเนินงานของกองพลทหาร ก็ยังมิมีปัญหาใดๆ เมื่อพูดคุยกันแล้วเสร็จแล้ว ชุน 1 ก็ขอตัวกลับไปยังอำเภออันจง

 

 

 

   โดยท่านขุนพลอี้ ได้ให้เรือลาดตระเวณขนาดกลางของกองพลทหาร มาส่งชุน1 ถึงยังอำเภออันจง ซึ่งถือว่าเป็นการให้เรือลาดตระเวณไปปฏิบัติภารกิจ ลาดตระเวณตรวจตราทางลำน้ำไปด้วยในตัว

 

 

 

   ซึ่งชุน 1 ก็มิได้ปฏิเสธแต่อย่างไร การเดินทางกลับในครั้งนี้ ใช้เวลา 2 วัน จากความเร็วสูงสุดที่เรือลาดตระเวณทำได้ในเวลาเพียงครึ่งวัน เนื่องจากเรือลาดตระเวณมิได้ใช้ความเร็วเต็มที่ ยังคงปฏิบัติภารกิจตรวจตราตามสถานที่ต่างๆ ไปในตัวด้วย

 

 

 

   เมื่อกลับมาถึงยังบ้านตระกูลหลิว หลิวชุนก็เริ่มรู้สึกได้ว่า ชีวิตของเขาเริ่มลงตัวแล้ว

 

 

 

   หลังจากที่ออกเดินทางกับท่านอาจารย์จ้าวฟูหยาง 5 ปี แล้วกลับมาพบเรื่องต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อโจรปล้นแร่เหล็กสีชาด เรื่องสัญญาเช่าโกดังสินค้า เรื่องลัทธิมารโลหิต ตลอดจนถึงเรื่องการล้มล้างตระกูลลั่วและตระกูลเย่

 

 

 

   เขาคงต้องเริ่มพัฒนาและขยายตระกูลหลิว ให้เป็นตระกูลอันดับ 1 ในอำเภออันจง อย่างจริงจังเสียที

 

 

 

   ในส่วนของสัญญาเช่าโกดังสินค้า เมื่อพ่อค้าซูเข่อเห็นพวกหลิวชุนทำลายล้างตระกูลลั่วและตระกูลเย่ลง

 

   เขาก็คุกเข่าอ้อนวอน ขอเป็นผู้ยกเลิกสัญญาเช่าโกดังสินค้า ด้วยตัวเองกับท่านพี่กวน ซึ่งก็จบไปได้ด้วยดี

 

 

 

   หลิวชุนเมื่อยามอยู่ในอำเภออันจง เขาก็มิได้สวมโล่เกราะปลายแขน และหิ้วแขวนหน้าไม้ เหยี่ยวเวหา 30 เวลาที่ออกไปไหนมาไหนนอกบ้าน

 

 

 

   เขาแขวนเพียงกระบี่ไว้ที่เอวข้างซ้ายเพียงเท่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องปรกติของผู้ฝึกวรยุทธ์ทั่วๆไป ที่จะพกอาวุธเช่น กระบี่ ดาบ มีด หรือหอก ติดตัวไว้ตลอดเวลา

 

 

 

   เวลาส่วนใหญ่ของหลิวชุน นอกจากฝึกยุทธ์ และศึกษาตำราพิชัยสงครามแล้ว หลิวชุนเริ่มเรียนรู้กิจการของตระกูลหลิวอย่างจริงจัง

 

 

 

   ทั้งการบริหารจัดการท่าเรือ โกดังสินค้าให้เช่า เหมืองแร่ และกิจการใหม่ คือกิจการบ่อนการพนันทั้ง 3 แห่ง และตลาดสด

 

 

 

   ส่วนในช่วงเวลาเย็น หลิวชุนก็ทำการสอนวิชาภูมิศาสตร์แผนที่ วิชากฏหมายทั่วไป และกฏหมายทางธุรกิจ

 

   ตลอดจนฝึกฝนวิชายุทธ์ ให้กับคนของตระกูลหลิวในรุ่นที่ 3 รุ่นที่ 4 รวมถึงรุ่นที่ 2 ที่มีความสนใจที่จะเข้ามาร่ำเรียน

 

 

 

   เพื่อเตรียมความพร้อมของคนในตระกูลหลิว เมื่อมีการขยายตระกูลในอนาคตอันไม่ไกลนี้

 

   โดยสลับกันสอนคนละวัน วันแรกสอนวิชาการ วันที่สองก็สอนวรยุทธ์ สลับกันไป

 

 

 

   ถึงแม้ชุน 2 จะไม่สามารถถ่ายทอดเคล็ดวิชาดูดซับพลังปราณ และวิชายุทธ์ของท่านอาจารย์จ้าวฟูหยาง ให้กับคนของตระกูลหลิวได้

 

 

 

   แต่เขาก็สามารถเป็นคู่ฝึกและให้คำแนะนำด้านวรยุทธ์พื้นฐาน กับคนของตระกูลหลิวได้เป็นอย่างดี

 

 

 

   โดยเฉพาะการใช้โล่ ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากท่านอารอง

 

 

 

   ชุน 2 มองว่าหากจะสังหารศัตรู โดยที่ตัวเองยังเสี่ยงที่จะตายได้นั้น เป็นการกระทำที่โง่เขลา ดังนั้นเขาจึงเน้นสอนการใช้โล่ ให้กับคนตระกูลหลิวทุกๆคน

 

 

 

 

 

        

 

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป