เพียงแค่เงินสามสี่ร้อยบาท ทำให้เธอต้องถึงแก่ความตาย แต่ทำไม๊ ทำไม ต้องมาอยู่ในร่างของเด็กไม่มีหัวคิดแบบนี้ “มีอย่างที่ไหนหนีหมีขึ้นต้นไม้ ใครสั่งใครสอนกัน”
เพียงแค่เงินสามสี่ร้อยบาท ทำให้เธอต้องถึงแก่ความตาย แต่ทำไม๊ ทำไม ต้องมาอยู่ในร่างของเด็กไม่มีหัวคิดแบบนี้ “มีอย่างที่ไหนหนีหมีขึ้นต้นไม้ ใครสั่งใครสอนกัน”
วันนี้อวี้จื่อลู่แต่งกายเรียบง่ายสบาย ๆ หมายมั่นจะออกไปเดินตลาด หลังผ่านเรื่องราววุ่นวายหลายอย่าง อีกอย่างในตอนนี้นางเองก็มิมีสิ่งใดต้องเป็นห่วง บ้านกู้สายรองก็ล่มลายไปแล้ว สตรีน่ารำคาญนางนั้นก็ได้หายไปจากโลกนี้ บิดามารดาเองจะได้ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายเสียที ท่านปู่และพวกท่านลุงต่างก็วุ่นวายอยู่กับการจัดระเบียบภายในจวนครั้งใหญ่ ไหนจะเรื่องที่นางมอบของล้ำค่าให้อีก กว่าจะตั้งสติกันได้ก็ปาเข้าไปสามวัน ทำให้ท่านพ่อมีเรื่องเอ่ยหยอกล้อพวกเขาอยู่ทุกวี่ทุกวัน จึงไม่แปลกหากจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงท่านปู่กับท่านลุงตะโกนขึ้นมาเสียงดังลั่นเรือน ตัวต้นเหตุก็มิใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นบิดานางเองแหละ ขิงเก่ง อวดเก่ง จนท่านแม่เอือมระอา จัดการบิดาไปชุดใหญ่ จึงได้สงบเสงี่ยมลงมาบ้าง ส่วนท่านปู่ ลุงใหญ่ ลุงรองคงหายหน้าหายตาไปพักใหญ่ ๆ
ส่วนตัวนางเองก็ขอใช้ชีวิตลั้นลาอีกหน่อยก็แล้วกัน ก่อนจะเริ่มเสาะหาตัวคนที่จะต้องรักษา ออกไปหาอะไรอร่อย ๆ กินดีกว่า
“เนี่ยนเจิน”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
“ป่ะ ข้าหิวแล้ว”
“เอ๋ จะไปกินที่ใดหรือเจ้าคะ”
“ที่นี่มีอะไรอร่อยข้าก็กินหมดนั่นแหละ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเหล่าอาหารขึ้นชื่ออันดับหนึ่งของที่นี่”
“อย่างนั้นหรือเจ้าคะ งั้น บ่าวจะแนะนำร้านเล็ก ๆ ตามริมทางเดินเองเจ้าค่ะ รับรองว่าอร่อยทุกอย่าง”
“มีร้านไหนบ้างที่เจ้าว่าไม่อร่อย หืม”
“โถ่ คุณหนูเจ้าคะข้าก็เหมือนท่านนั่นแหละเจ้าค่ะ กินอะไรก็อร่อยไปเสียหมด”
สองนายบ่าวต่างพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกอย่างอารมณ์ดี ทำเอาพ่อค้าแม่ขายที่อยู่บริเวณนั้นพลอยรู้สึกดีไปด้วย พวกเขาเองก็สงสัยเช่นกันว่าเป็นบุตรสาวบ้านใด ไยถึงได้ร่าเริงสดใสนัก ทั้งยังไม่ถือตัวมีกิริยามารยาท ช่างแตกต่างกับบุตรสาวตระกูลใหญ่นัก เจอพวกนางคราใดมักจะมีแต่คำด่าทอดูถูกอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังชอบกดขี่ชาวบ้านตาดำ ๆ แต่ใครเล่าจะกล้าทำตัวมีปัญหากับพวกนาง ถ้าไม่อยากเดือดร้อนจึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับไป หากบุตรสาวบ้านใดมีรูปโฉมงดงามมักจะถูกกันแกล้งหนักจนไม่กล้าออกจากบ้าน พวกเขาได้แต่ภาวนาอย่าให้ตรีนางนี้ต้องเจอกับพวกคุณหนูจวนใหญ่เหล่านั้นเลย จึงได้เอ่ยเตือนเรื่องดังกล่าวแก่นางด้วยความเป็นห่วง ดู ๆ แล้วเหมือนว่านางจะพึ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนักคงจะไม่รู้เรื่องเป็นแน่
ด้านเนี่ยนเจินนั้นก็พูดจาแนะนำขนมแต่ละอย่างไม่หยุด อวี้จื่อลู่ส่ายหน้าอย่างคนอ่อนใจในความช่างจ้อของสาวใช้ข้างกาย เกรงว่าคนที่จะชอบกินคงมิใช่คนเดียวแล้วกระมัง เผลอ ๆ อาจจะกินเก่งกว่านางเสียอีก ในขณะที่อวี้จื่อลู่กับเนี่ยนเจินกำลังก้าวเท้าไปร้านถัดไปก็ต้องหยุดชะงัก
“นี่! แม่หนู”
“มีอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“เปล่าหรอกแค่ยายแก่คนนี้เป็นห่วงเจ้าก็เท่านั้น เลยอยากเอ่ยเตือนเรื่องบางเรื่องเสียหน่อย ไม่อยากให้คนดี ๆ เช่นเจ้าต้องมาเสียอนาคตเพราะพวกนาง” จากนั้นคุณยายร้านขนมจึงได้เอ่ยเล่าเรื่องราวเป็นฉาก ๆ เกี่ยวกับเหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่ทั้งหลายว่าผู้ใดมีนิสัยอย่างไร ทั้งยังกล่าวว่ามิอยากให้สตรีเช่นนางต้องโดนทำร้ายโดยใช่เหตุ เพียงเพราะแค่ความอิจฉาของสตรีกลุ่มหนึ่ง หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวจบอวี้จื่อลู่ก็กล่าวขอบคุณ แล้วเดินออกไปทันที
เมื่อทั้งสองเดินออกมาได้ซักระยะ นางก็เอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยหรือเนี่ยนเจิน” บ้าบอแค่มีคนที่งดงามกว่าถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือทำกันอย่างนั้นเชียวหรือ ไร้สาระยิ่ง!
“รู้สึกเหมือนว่าจะมีนะเจ้าคะ หากท่านยายร้านขนมไม่พูดขึ้นมาข้าเองก็เกือบจะลืมไปแล้ว”
“งั้น ข้าเองก็ต้องระวังด้วยหรือไม่!”
“ห้ะ!!”
อวี้จื่อลู่เห็นท่าทางตกใจเช่นนั้นของเนี่ยนเจิน เลิกคิ้วสงสัย ใบหน้านั้นมีแต่เครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด “ทำไม”
“จะให้ข้าพูดออกไปจริง ๆ หรือเจ้าคะ” สีหน้าขยาดของเนี่ยนเจินทำเอาอวี้จื่อลู่พูดไม่ออก
“…”
“แหม่ คุณหนูก็ลองนึกดูสิเจ้าคะว่าใครกันแน่สมควรที่จะต้องระวังตัว”
คราวแรก นางยังงุนงงและสงสัยอยู่แต่พอย้อนนึกถึงคำพูดของคุณยายร้านขนมถึงกับร้องอ๋อในใจ
“นี่เจ้าจะบอกว่า คุณยายร้านขนมคนนั้นโดนรูปลักษณ์ของข้าหลอกอยู่หรือ”
“อ้าว!! แล้วมันไม่จริงหรือเจ้าคะ”
“เนี่ยนเจิน ฝีปากเจ้านี่ไม่แผ่วเลยจริง ๆ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนู” กล่าวจบเนี่ยนเจินยิ้มรับตาหยี
“ข้าประชด มิได้เอ่นชม” เห้อ!! นับวันข้าเริ่มจะหมดคำพูดกับเจ้าเสียแล้วเนี่ยนเจินเอ๋ย
****
“โอ๊ะ!! เจอกันอีกแล้วนะแม่นางน้อย” ในขณะชิงอี๋กำลังจะเดินผ่านหน้าอวี้จื่อลู่ไป หางตาเหลือบไปเห็นสตรีคุ้นหน้ากำลังยืนกินขนมอยู่หน้าร้านเล็ก ๆ เคี้ยวขนมแก้มตุ่ย จึงปรี่เข้ามาหานางทันที เมื่อเห็นเด็กสาวที่เขาและหยางหลงบังเอิญเจอที่แผ่นดินเบื้องล่าง และเป็นคนที่หยางหลงให้ความสนใจ
ในขณะอวี้จื่อที่อวี้จื่อลู่กำลังยืนเลือกขนม ก็มีเสียงบุรุษเอ่ยทักทายขึ้นมาด้านหลัง นางเอี้ยวตัวไปมองหน้าอีกฝ่าย เลิกคิ้วสงสัยด้วยความมึนงง นางเคยเจอพวกเขาด้วยหรือ ตอนไหนกันเหตุใดนางถึงไม่คุ้นตาเลย
ทว่ากลับรู้สึกคุ้นเคยกับดวงตาอีกคู่หนึ่งที่จ้องมองมาของบุรุษชุดดำตัดแดง ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันราวกับพยายามค้นหาบางสิ่งนัยน์ตาคู่นั้น หัวใจของเธอหดเกร็งด้วยความตื่นเต้น จิตใจที่สงบนิ่งมาตลอดกลับไหวกระเพื่อมเป็นระลอกลื่นเพราะบุรุษผู้นั้น สองแก้มนวลของหญิงสาวดุจถูกย้อมด้วยชาติแดงระเรื่อเพริศพริ้งงดงามตราตรึงคน เวลานี้ในสมองอันว่างเปล่าของนางมีแต่บุรุษตรงหน้าเท่านั้นไม่มีที่ว่างให้สิ่งอื่นใดสอดแทรกลงไป
หยางหลงเองลอบพิจารณาสตรีตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ ทว่าความรู้สึกที่ยากเกินอธิบายเป็นคำพูดราวกับสายฟ้าสายหนึ่งพุ่งมาชนใจที่นิ่งสงบมาของเขา อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความงดงามของเธอปรากฏสู่ดวงตาอันลึกล้ำสุดยั่งคาดของเขา ภายในใจเขาราวกับคลื่นลมที่ปั่นป่วนโหมแรงซัดกระหน่ำใส่หินผาดังสนั่นหวั่นไหว ความรู้สึกอยากปกป้องคุ้มครอง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจู่โจมเข้ามาในหัวใจอย่างรุนแรง ภายในใจร่ำร้องว่าเป็นนางนี่แหละคือคนที่ใช่สำหรับเขา หยางหลงหลบเปลือกตาลงซ่อนงามประกายเต้นในดวงตาจากลื่นอารมณ์ที่ถาถมเข้ามาเอาไว้
“แฮ่มม!! ข้ายังยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคนนะ” ชิงอี๋ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางกรอกตามมองบนอย่างคนหมั่นไส้
เมื่อได้สติอวี้จื่อลู่ กลับสีหน้ากลับมาเรียบเฉยดังเดิม ก่อนตวัดตามองดูบุรุษในชุดสีเขียวลายไผ่ รวบผมขึ้นครึ่งศีรษะ สวมกวานสีเงินขนาดกลาง ในมือพัดลายก้อนเมฆ โบกไปมาตามแบบฉบับคุณชายรักสะอาด
“ไม่ทราบว่าข้าและท่านเคยรู้จักมาก่อนอย่างนั้นหรือ?”
“อ้อ! ขออภัย ขออภัย เป็นพวกข้าที่รู้จักแม่นางอยู่ฝ่ายเดียว” สีหน้าชิงอี๋ฉายแววนึกสนุก น้ำเสียงเปล่งออกมามีแววขี้เล่น ยียวนกวนอยู่ในที ก่อนเอ่ยแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ “ตัวข้านั้นมีนามว่า ชิงอี๋ ส่วนบุรุษอีกคนผู้นี้ชื่อว่าหยาง…”
กล่าวแนะนำไม่ทันจบอีกฝ่ายก็ชิงบอกกล่าวขึ้นมาเสียก่อน ทำเอาชิงอี๋แปลกใจและตกใจเป็นอย่างมาก คนอย่างหยางหลงเนี่ยนะจะเอ่ยแนะนำตนเองแก่ผู้อื่น วันนี้คงเกรงว่าฟ้าคงถล่มทลายลงมาเป็นแน่ เมื่อคนปากหนักเช่นเขาพูดกับสตรีก่อน
“ข้า หยางหลง” หยางหลงยิ้มกรุ้มกริ่ม นัยน์ตาฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมาคล้ายเจอของถูกใจ
“ข้ามีนามว่าอวี้จื่อลู่เจ้าค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักท่านทั้งสอง” นางเอ่ยแนะนำตัวอย่างมีมารยาท แล้วเอ่ยถามต่อเพื่อไขความข้องใจที่อีกฝ่ายกล่าวก่อนหน้า “ไม่ทราบว่าคุณชายชิงอี๋และคุณชายหยางหลงรู้จักข้าตั้งแต่เมื่อใดหรือเจ้าคะ”
“มา ประเดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟัง…” ทว่าชิงอี๋กำลังจะอ้าปากเล่าเรื่องราวให้ฟัง ก็โดนเนี่ยนเจินสาวใช้ของอวี้จื่อลู่ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“คุณหนูจะยืนคุยอยู่อย่างนี้หรือเจ้าคะ บ่าวว่าคุณหนูไปหาที่นั่งในเหลาอาหารดีหรือไม่ คุณหนูจะได้ทานมื้อกลางวันเสียเลย”
ความคิดนี้ดีนางเห็นด้วย จึงหันไปเอ่ยถามบุรุษทั้งสองคน จะไปหรือไม่นางก็หาได้บังคับไม่ เพียงแค่เอ่ยถามตามมารยาทแค่นั้นเอง “แล้วพวกท่านเล่าว่าอย่างไร”
“ไป!! ข้าไป” ชิงอี๋เก็บพัดแล้วเดินนำลิ่วไปข้างหน้าโดยมิรีรอผู้ใด เพราะอย่างไรปลายทางก็คงมิพ้นเหลาเหมยกุ้ยฮวาแน่นอน ของขึ้นชื่อที่นั่นล้วนอร่อยทุกอย่าง โดยเฉพาะหมั่นโถวกับขาหมู ขนมเหมยกุ้ยและชาดอกโม่ลี่ เพียงแค่คิดท้องเจ้ากรรมก็ประท้วงเสียแล้ว
อวี้จื่อลู่มองชิงอี๋เดินตัวปลิวออกไปด้วยความรวดเร็ว คนอะไรไปไวมาไว แล้วหันไปมองคนข้าง ๆ
“แล้วท่านล่ะ” นางเอ่ยถามคล้ายคาดหวังคำตอบของเขา
“อืม”
“ไปกันเถอะ”
ทั้งสองเดินเคียงคู่กันไปโดยมีเนี่ยนเจินเดินตามอยู่ด้านหลัง โดยมิต้องกังวลว่าผู้ใดจะมองว่าไม่ดี
“จะว่าไป หยางหลงท่านรู้จักข้าได้อย่างไร”
“ข้าเคยเห็นเจ้าตอนอยู่ในเมืองใกล้ ๆ หมู่บ้านปราณน้ำค้าง”
“เอ๊ะ!! นั่นมันตั้งหลายปีแล้วนะ” ผ่านมาตั้งขนาดนั้นยังจะจำได้อีกหรือ นับถือ นับถือ
“แน่นอน หากเป็นเจ้าข้าย่อมจำได้เสมอ” ราวกกับรู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่
เอากับเขาสิผู้ชายที่นี่เขาเกี้ยวสตรีกันแบบนี้เลยหรือ ดวงหน้าน้อย ๆ ของอวี้จื่อลู่ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน พริบตาเดียวก็แดงเปล่งปลั่งไปทั้งใบหน้า บ้าจริง!! เจ้าหัวใจทรยศจะตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น ประเดี๋ยวก็เด้งหลุดออกจากอกข้าหรอก บอกเลยข้าไม่เก็บกลับหรอกนะ เจ้าบ้า งื้อออ!!
หยางหลงที่จับจ้องทุกการกระทำของหญิงสาวก็รู้สึกพึงพอใจกับปฏิกิริยาของนาง นัยน์ตาสีดำรัตติกาลส่องประกายคมกล้าวาววับ หมายมาดไว้นางต้องเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ก่อนคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาปานประหนึ่งแผนการที่ตนวางไว้กำลังจะบรรลุผลแล้ว ทว่าความคิดของเขาเป็นต้องหยุดชะงัก
“ระวัง!!” แล้วดึงหญิงสาวเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแกร่ง พลิ้วกายออกจากจุดที่เคยอยู่
ฟิ้ววว!!
อวี้จื่อลู่นั้นสัมผัสได้อยู่ว่ามีมือสังหารตามมา แต่ไม่ทันที่นางจะได้ขยับตัวก็โดนหยางหลงคว้ามือแล้วโอบกอดนางไว้จนมิด
ส่วนเนี่ยนเจินช้ากว่าหยางหลงไปนิด จึงทำให้คุณหนูตกไปอยู่ในอ้อมอกของบุรุษ แม้จะไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา