Your Wishlist

อวี้จื่อลู่ ณ หมู่บ้านม่านหมอก (เริ่มล่า)

Author: Ning Feng

เพียงแค่เงินสามสี่ร้อยบาท ทำให้เธอต้องถึงแก่ความตาย แต่ทำไม๊ ทำไม ต้องมาอยู่ในร่างของเด็กไม่มีหัวคิดแบบนี้ “มีอย่างที่ไหนหนีหมีขึ้นต้นไม้ ใครสั่งใครสอนกัน”

จำนวนตอน : 55

เริ่มล่า

  • 21/11/2566

สามวันผ่านไปอวี้หนิงซวงใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง เพราะทุกคืนที่นอนหลับนางมักจะฝันถึงเรื่องร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นกับตนเองเสมอ จนสภาพจิตใจรับไม่ไหว นางจึงตัดสินใจส่งสารลับขอความช่วยเหลือจากชายปริศนา แม้นางจะเป็นหญิงสาวในเมืองเล็ก ๆ แต่ก็ไม่โง่จนดูไม่ออกว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับนาง และคนผู้นั้นก็ต้องช่วย อวี้หนิงซวงคิดอย่างมีความหวัง ส่วนเจ้าบุตรชายตัวดีก็หายหัวไปตั้งแต่อยู่ที่บ้านนังเด็กคนนั้น คงไปเถลไถลที่ไหนอีกตามเคย แต่เดี๋ยวก็กลับมาเองแหละอย่างเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา ตอนนี้ช่างเรื่องนั้นไปก่อนเพราะเรื่องของต่างหากที่สำคัญที่สุด ใครจะตายก็ช่างมัน แต่นางจะไม่ยอมตายเป็นอันขาด

      ล่วงเข้าวันที่สี่ วันทั้งวันอวี้หนิงซวงเดินวกไปวนมาอยู่ภายในบ้าน จมอยู่กับความคิดของตนเอง ว่าทำอย่างไรตัวนางถึงจะปลอดภัยจนตลอดรอดฝั่ง นางรออยู่อย่างนั้นจนกระทั่งผ่านไปครึ่งวัน สิ่งที่หวังก็ได้ส่งมาถึงมือ เมื่อเงามืดตรงหลังม่านได้ยื่นบางอย่างมาให้ แล้วหายไปต่อหน้าต่อตา แต่นางไม่มีเวลามานั่งตกใจหรือสงสัยในเรื่องนี้ จึงให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่ในมือมากกว่า นางค่อย ๆ คลี่ม้วนกระดาษออกแล้วอ่านเนื้อหาด้านใน มุมปากยกยิ้มขึ้นน้อย ๆ นัยน์ตาฉายแววยินดี ในที่สุดนางก็มีทางรอดแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า

 

      ด้านอวี้จื่อลู่

      “เรียนคุณหนู มีใครบางคนให้ความช่วยเหลือแก่อวี้หนิงซวงจริงๆ ขอรับ”

      นิ้วเรียวสวยเคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ อืม เป็นอย่างที่นางคิดไว้ไม่มีผิด คนอย่างท่านป้านะหรือจะหนีไปได้ไกลขนาดนั้น หากไม่มคนคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง แค่คิดก็เริ่มสนุกขึ้นมาซะแล้วสิ “แล้วรู้หรือไม่? ว่าเป็นผู้ใดที่สอดมือเข้ามา”

      แม้จะสงสัยใคร่รู้เพียงใด แต่นางรู้ตัวดีว่าไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่าม ให้อีกฝ่ายรู้ตัว เพราะหากรีบร้อนจนเกินไป มันจะกลายเป็นว่าทุกอย่างที่เริ่มทำมาจะพังลงทั้งหมด

      “ข้าได้ส่งคนไปส่วนหนึ่งแล้วขอรับ อีกไม่นานก็รู้ตัวอีกฝ่ายอย่างแน่นอน”

      “ขอบคุณท่านมาก”

      “ไม่เป็นไรขอรับ เรื่องแค่นี้เองสบายมาก”

      “แล้วนางล่ะ เดินทางไปถึงไหนแล้ว”

      “สายของเรารายงานว่า ตอนนี้นางได้แวะพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งของเมืองตงชิง ข้าได้ตรวจดูเส้นทางเดินรถม้าแล้ว นางคงคิดจะข้ามไปยังแคว้นสุ่ย มีคนของทางนั้นคอยอยู่คุ้มกันประมาณสามถึงสี่คน แต่ข้าได้ส่งคนของเราเข้าไปปะปนกับขบวนเดินทางนั้นแล้ว คุณหนูวางใจได้”

      “ดีล่ะ อย่างนั้นให้คนของเราค่อย ๆ ปะปนเข้าไปสวมรอยเป็นพวกเขาซะ แต่อย่าลืมเก็บพวกเขาสักหนึ่งคน เพราะเราต้องการข้อมูลจากทางนั้นด้วยเช่นกัน อีกอย่างรอให้นางเดินทางไปถึงอำเภอซ่างโซ่วที่เมืองลู่ก่อน แล้วเราค่อนไปพบนางที่นั่น”

      “ขอรับ”

      “อีกสิบวัน เราจะออกเดินทาง เตรียมตัวให้พร้อมเราจะออกล่ากัน” ข้าเองจะรอดูว่าท่านไปได้ไกลสักเท่าใดกัน ยิ่งถ้าหากไม่มีคนพวกนั้นคอยอยู่ช่วยเหลือแล้วด้วย มันจะออกมาเป็นยังไงกันนะ คิดแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ช่างเป็นอะไรที่ดีต่อใจจริง ๆ อวี้จื่อลู่มัวจมอยู่กับความคิดของตนเอง จนไม่ทันสังเกตุว่าพี่ชายคนรองของนางได้เดินมาอยู่ใกล้ ๆ

      “ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นสินะ ถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่แบบนี้” อวี้เฉิงรุ่ยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยหยอกล้อน้องสาวของตน

      “ก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดาเจ้าค่ะ พี่รอง”

      “แล้วเหตุใดพี่รองถึงสัมผัสได้ว่ามันไม่ใช่แค่ธรรมดาล่ะ ยิ้มเสียจนแก้มปริขนาดนั้น ไหนจะท่าทางมีความสุขนั่นอีก” พลางหรี่ตามองน้องสาวคล้ายคนไม่เชื่อในสิ่งที่น้องน้อยของตนแสดงออกมา

      “ใช่เจ้าค่ะ ตอนนี้ข้ามีความสุขมาก ๆ และจะมีความสุขมากขึ้นไปอีก ถ้าหากสิ่งที่ข้าคิดไว้ไม่มีอะไรผิดพลาดเสียก่อน”

      “เจ้าคงมิได้คิดที่จะไปเล่นซนที่ใดอีกใช่ไหมน้องรัก หากท่านพ่อท่านแม่รู้เข้าจะเป็นอย่างไรกันนะ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยเย้าแหย่ แม้จะเป็นห่วง แต่ก็มิได้เอ่ยคัดค้าน หากสิ่งใดที่นางทำแล้วมีความสุข เขาก็ไม่คิดที่จะขัด เพราะหากสิ่งนั้นที่นางทำล้วนแต่ไม่เป็นอันตรายต่อตนเอง

      “โถ่…พี่รองเจ้าขา แมวมิอยู่เช่นนี้ หนูอย่างข้าก็ต้องมีร่าเริงบ้างเป็นธรรมดาสิเจ้าคะ หากข้าไม่พูด ท่านไม่พูดและทุกคนที่นี่ไม่พูด แค่นี้ก็ไม่รู้แล้วจริงหรือไม่? พี่รอง” แต่แล้วอวี้จื่อลู่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ยินเสียงดังมาทางด้านหลัง

      “เจ้าแน่ใจว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?” อวี้เหิงเยว่เดินเข้ามายังด้านในพร้อมกับอี้ถัง ในขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่น้องสาวของตน

      "ก็แน่สิเจ้าคะ…" อุ้ป!! ไอหยาน้ำเสียงอันคุ้นเคยแบบนี้ เหตุใดถึงได้กลับกันมาเร็วนักเล่า ไหนว่านี้จะเดินทางไปนานนับสิบวัน แล้ว…

      “ว่าอย่างไร จะบอกพี่ใหญ่คนนี้ได้แล้วหรือยัง ว่าในช่วงที่พี่ไม่อยู่เจ้าไปซุกซนที่ใดมาบ้าง”

      “ข้าเปล่านะ!! ใครซุกซนกัน ไม่มี๊ ไม่มี ใช่ไหมเจ้าคะพี่รอง”

      “อะ…อืม ดั่งเจ้าว่ามา”

      “เห็นไหมล่ะพี่ใหญ่ ข้าออกจะเป็นเด็กดีปานนั้น” พลางแอบไขว้นิ้วไว้ด้านหลังอย่างแนบเนียน แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของอี้ถังไปได้ อวี้จื่อลู่ที่รู้ตัวว่าโดนน้าอี้ถังจับได้ จึงหันไปขยิบตาให้อีกฝ่ายแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ

      โป๊ก!!

      “โอ้ย! หัวข้าแตกแล้ว หัวแตกแล้ว พี่รองช่วยข้าด้วย” อวี้จื่อลู่แกล้งทำเป็นโวยวายกลบเกลื่อน แล้วเดินไปแอบด้านหลังพี่รอง ก่อนจะโผล่ออกมาแค่หัวเพียงเล็กน้อย

      “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะน้องเล็ก พี่เห็น!! ส่วนเจ้าน้องรองก็เลิกตามใจนางเสียบ้าง มิใช่ว่านางพูดอะไรเจ้าก็เห็นดีด้วยไปเสียหมดทุกอย่างเช่นนี้” ได้แต่ส่ายหัวด้วยความอ่อนใจกับสองพี่น้องคู่นี้ที่ดูเข้าคู่กันเหลือเกิน คิดหรือว่าการที่นางแอบไขว้นิ้วไว้ด้านหลังแล้วเขาจะไม่รู้ไม่เห็น หมดคำจะเอ่ยเสียจริง

      “ข้าเปล่าตามใจนางนะพี่ใหญ่ ออกจะดุนางบ่อยด้วยซ้ำ”

      “ที่พูดมาเจ้าแน่ใจว่าเป็นแบบนั้นแล้วใช่ไหม ข้าให้เจ้าคิดใหม่อีกรอบ”

      “ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเนอะ พี่รอง”

      “ใช่ ๆ ๆ” ว่าแล้วพยักหน้ารัว ๆ

      อวี้เหิงเยว่เห็นแล้วก็ต้องยอมยกธงขาวให้ทั้งคู่ในความลื่นไหลไปเรื่อย โดยเฉพาะน้องเล็กยิ่งแล้วใหญ่ “พี่ไม่คุยกับพวกเจ้าแล้ว ไปกันเถอะน้าอี้ถัง เดินทางกลับมาเหนื่อย ๆ ไปพักผ่อนกันดีกว่า”

      “เช่นนั้นข้าขอตัว” ก่อนจะหันไปเอ่ยลาคุณหนูและคุณชายทั้งสอง แล้วหายออกไปอย่างรวดเร็ว

      “พักผ่อนเยอะ ๆ นะเจ้าคะ น้าอี้ถัง …อ้าว หายไปซะแล้ว” กล่าวยังไม่ทันจบอีกฝ่ายก็ชิ่งหนีไปซะก่อน ตามด้วยพี่รอง

      “แล้วพี่ใหญ่ท่าน…” นี่ก็อีกคน ไปเร็วเสียจริง ยังไม่ทันได้ถามเลยว่ากินอะไรมาหรือยัง เห้อ!! เอาเป็นว่าทำต้มซุปกระดูกหมูใส่หัวไชเท้ากับผัดผักไว้ให้กินก็แล้วกัน

      ว่าแล้วก็มุ่งหน้าไปยังห้องครัว เริ่มทำอาหารไว้สองสามอย่างทิ้งไว้ให้ ในขณะที่นางกำลังเดินกลับห้อง ระหว่างทางก็เจอกับสาวใช้จึงได้ฝากเรื่องอาหารไว้กับนาง หากพี่ใหญ่และน้าอี้ถังหิวเมื่อไหร่ ก็อุ่นอาหารที่นางทำไว้และยกไปให้ ก่อนเดินจากไปด้วยความอารมณ์ดี พลางร้องเพลงฮึมฮัมในลำคอ “ช่างเป็นวันที่ดีจริงๆ อากาศก็ดีดี๊ ท้องฟ้าก็แจ่มใสปลอดโปร่ง ดีต่อจายยยย”

      ทว่า…

      ครืน!! ครืนนนน

      เปรี้ยง!! เปรี้ยงงง

      “โอ้ยยยยเนาะ ให้ดีใจสักนิดก็บ่ได้น้ออออ…”

 

      และแล้ววันที่นางรอคอยก็ได้มาถึง วันที่ทำให้นางรู้สึกครื้นเครงและสุขใจมากที่สุด นั่นคือการนั่งเฝ้าดูเหยื่อตัวน้อยกำลังดิ้นรนอย่างสุดชีวิต

      โดยมีนางเป็นผู้เฝ้ามองอยู่บนจุดสูงสุด นางจะปล่อยให้อีกฝ่ายได้เสวยสุขแค่ก่อนที่จะไปถึง นางจะค่อยๆฉุดลากอวี้หนิงซวงให้จมลงอยู่ใต้ฝ่าเท้านางทีละนิด ทว่ากลับมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ทำเอาอวี้จื่อลู่ถึงกับเผยยิ้มกว้าง

      "ลูกเผ็ด ท่านอยู่หรือไม่?" สิ้นเสียงอวี้จื่อลู่ ลูกเผ็ดก็ปรากฏร่างอันงดงามดั่งภาพวาดของสตรีในชุดสีฟ้าอ่อน ใบหน้าแลดูเย่อหยิ่ง คล้ายมีอารมณ์คุกรุ่น

      "เจ้าเรียกข้าออกมามีอะไร รู้ไหมว่าข้ากำลังติดธุระสำคัญมาก ๆ" ว่าแล้วก็แอบหงุดหงิดเล็กน้อย จะไม่ให้นางรู้สึกเช่นนี้ได้อย่างไรในเมื่อ นางกำลังหลอกล่อบุรุษที่หมายตาเอาไว้เกือบจะสำเร็จอยู่แล้วเชียว เห้อ! กรรมของข้าแท้ ๆ

      "ท่านมิต้องทำหน้าเบื่อหน่ายข้าเช่นนั้นก็ได้ คิดหรือว่าข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังล่อลวงบุรุษอยู่" พลางกลอกตาขึ้นลงอย่างเคยชิน

      "ชิ!! ข้าละเบื่อเจ้าเสียจริง เลิกรู้ทันข้าสักเรื่องบ้างก็ได้นะ ข้าจะขอบใจเจ้ามาก ๆ"

      "อืม...ไว้ข้าจะทำเป็นมองไม่เห็นในครั้งหน้าก็แล้วกันนะ" พูดจบก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่รักษากิริยาที่พึงมีของสตรีในห้องหอเลยสักนิด

      "ช่างเป็นสตรีที่ไม่สมกับสตรีเลยจริง ๆ ระวังจะไม่มีผู้ใดกล้ามาสู่ขอเจ้า ตบแต่งเข้าเรือนก็แล้วกัน"

      "นั่นก็ช่างพวกเขาปะไร ข้าต้องสนใจด้วยรึ? ก็ไม่นะ"

      "เอาเถอะ ๆ เข้าเรื่องเสียที เรียกข้าออกมามีอะไร"

      "ญาติผู้พี่ของข้ายังอยู่ดีใช่ไหม?" และแน่นอนว่าการที่อยู่ดีนั่นคือร่างกายยังอยู่ครบสองร้อยหกชิ้น โดยไม่มีสิ่งใดหายไป

      "ก็ยังอยู่ดีนะ ข้าออกจะเป็นคนดีมีเมตตาปานนั้น" รอยยิ้มหวานที่อาบไปด้วยยาพิษร้ายแรงเผยออกมา

      "ท่านนะหรือมีเมตตา หากท่านมีเมตตาข้าก็คงเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว"

      "แล้วเจ้าจะเอาอย่างไร"

      "ข้าขอยืมตัวที่เป็นของเล่นท่านสักระยะก็แล้วกัน ว่าแต่ท่านสนใจจะร่วมลงไปเล่นเป็นผู้ล่าในครั้งนี้ไหม"

      "ข้านะหรือ? จะพลาดเรื่องพวกนี้ เอาสิข้าชอบ"

      "เช่นนั้นก็ตามนี้ จัดปายยยย"

 

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า