Your Wishlist

อวี้จื่อลู่ ณ หมู่บ้านม่านหมอก (ว่าด้วยเรื่องหม้อไฟ)

Author: Ning Feng

เพียงแค่เงินสามสี่ร้อยบาท ทำให้เธอต้องถึงแก่ความตาย แต่ทำไม๊ ทำไม ต้องมาอยู่ในร่างของเด็กไม่มีหัวคิดแบบนี้ “มีอย่างที่ไหนหนีหมีขึ้นต้นไม้ ใครสั่งใครสอนกัน”

จำนวนตอน : 55

ว่าด้วยเรื่องหม้อไฟ

  • 21/11/2566

เมื่อเข้าห้องมาแล้ว อวี้จื่อลู่ก็เผลอวูบหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย จนเวลาล่วงเลยผ่านไปครึ่งชั่วยามนางก็เริ่มรู้สึกตัว คิ้วเรียวสวยได้รูปขมวดกันเป็นปม เพราะเสียงนกน้อยคอยส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวรบกวนอยู่ตลอดเวลา อวี้จื่อลู่ปรือตามองไปทางเสียงที่ได้ยิน กลับพบว่าหน้าต่างห้องได้ถูกเปิดทิ้งไว้ คงเป็นฝีมือพี่รองอีกตามเคย ในจังหวะที่จะหันกลับมาสายตาก็ปะทะเข้ากับฝูงผีเสื้อลวดลายพราวพร้อยกระพือปีกโผร่อนเล่นลมอยู่ด้านนอกอย่างงดงาม สายลมอ่อนพัดผ่านหอบเอากลิ่นอายของธรรมชาติในยามเย็นโชยผ่านเข้ามา ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งและสดชื่น

      “คืนนี้ต้องจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบ หมูกะทะ ชาบู สุกี้ มันต้องเข้า ถ้าอย่างนั้นก็ทำมันทั้งหมดทุกอย่างนี่หล่ะ” แค่คิดท้องน้อย ๆ ก็เริ่มส่งเสียงประท้วง ภาพนี่ลอยมาเต็มหัวเลย ต้องมีน้ำจิ้มอร่อย ๆ รสชาติเผ็ดนิดเปรี้ยวหน่อย แต่ถ้าหากทำทั้งสามอย่างพร้อมกัน มีหวังท้องนางต้องแตกตายก่อนเป็นแน่ งั้นเปลี่ยนมาทำหม้อไฟแทนดีกว่า

      ว่าแล้วอวี้จื่อลู่ก็เด้งตัวผุดลุกขึ้นจากฟูกนอน วิ่งพรวดพราดออกไปจากห้องโดยมุ่งหน้าไปยังห้องครัว ก็เจอเข้ากับท่านแม่และสาวใช้

      “ลู่เอ๋อร์ เจ้าเป็นสตรีไยถึงวิ่งเข้ามาเยี่ยงนี้กัน มันไม่งามรู้หรือไม่?”

      “แหะ ๆ ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ แต่ข้ามีอะไรดี ๆ อร่อย ๆ มาให้ทำกินกันนะเจ้าคะ แบบว่ามันอร่อยมากจริง ๆ” ลองคิดดูสิ น้ำซุปหอม ๆ มีเนื้อหมูแล่บาง ๆ วางเรียงรายอยู่บนจานอย่างสวยงาม พร้อมทั้งผักหลากหลายชนิด ไหนจะน้ำจิ้มหรือซอสงา ควบคู่ไปกับชาชั้นดีหรือน้ำเก๊กฮวย หม้อไฟนี่แหละเหมาะสุดแล้วกับอากาศหนาวเย็นในยามค่ำคืน

      “เจ้ายืนเหม่อคิดไปถึงที่ใดแล้วลู่เอ๋อร์ ดูสิน้ำลายเจ้าไหลออกมาจากปากแล้ว รีบเช็ดเสีย” ได้แต่ยิ้มขำกับท่าทางของนาง

      “โถ่ ท่านแม่”

      ตกเย็นวันนั้นสองแม่ลูกได้สั่งคนให้จัดเตรียมและซื้อวัตถุดิบทุกอย่างมา แม้หลายคนจะงุนงงกับชื่อเรียกอาหารในครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดปริปากบ่นออกมาแม้แต่ครึ่งคำ ต่างคนต่างขยันทำหน้าที่ของตนไปอย่างเรียบง่าย อวี้จื่อลู่ได้สอนคนครัวในการหั่นแล่เนื้อหมูให้เป็นชิ้นบาง พร้อมทั้งทำน้ำซุปและน้ำจิ้ม

      เริ่มจากการทำน้ำซุป ด้วยการรอให้น้ำเดือดแล้วใส่กระดูกหมูตามลงไป เคี่ยวน้ำซุปประมาณยี่สิบนาทีเพื่อให้มีกลิ่นหอมของกระดูกหมูออกมา ตามด้วยวัตถุดิบต่าง ๆ เช่น ขิง เก๋ากี้ พุทราจีน ใบกระวาน กานพลู โป๊ยกั๊ก พริกแดงแห้งทั้งเม็ด อบเชยเทศ ตามด้วยเครื่องปรุงรสและผัก รอจนน้ำในหม้อลดลงไปและมีรสชาติของวัตถุดิบต่าง ๆ ซึมซาบลงไปทั่ว จากนั้นค่อยกรองน้ำซุปแล้วแยกใส่อีกหม้อแทน

      ต่อมาก็สอนวิธีสไลด์เนื้อหมูและปลาที่จับมาจากลำธารให้เป็นชิ้นบาง ๆ เพื่อนำไปต้มลงในหม้อไฟ การสไลด์เนื้อให้บาง ๆ จะทำให้วัตถุดิบสุกเร็วและสุกทั่ว แม้ครั้งแรกจะมาการแล่เนื้อหนาบ้างบางบ้างแต่ไม่นานก็ทำมันได้จนสำเร็จ

      ส่วนผักต่างๆ อวี้จื่อลู่ได้ให้บ่าวชายและคนครัวช่วยกันไปซื้อ ผักกาดขาว มะเขือเทศ และแบ่งคนไปอีกส่วนเพื่อไปขุดหัวเผือก เก็บฟักทองและหัวไชเท้า ส่วนเห็ดหอมนั้นนางได้เก็บมาไว้ในมิติส่วนหนึ่ง เมื่อครั้งที่ได้แอบหนีออกไปเที่ยวเล่นยังป่าชั้นกลาง

จวบจนเวลาล่วงเลยเข้าสู่ปลายยามโหย่ว ทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องโถงบ้านตามคำไหว้วานของเด็กน้อย กู้หลงซานเดินนำเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ เท่าไหร่นัก

      “มีอะไรอย่างนั้นหรือ? จื่อเอ๋อร์ ถึงได้เรียกให้ทุกคนมารวมกันอยู่ที่นี่” พลางปรายตามองสองแม่ลูกที่ทำหน้ายิ้ม ๆ อย่างมีเลิศนัย

      “นั่นสิขอรับท่านพ่อ” อวี้เฉิงรุ่ยว่าด้วยน้ำเสียงจริงจังฮึกเหิม ราวกับมีเรื่องดีๆ กำลังจะเกิดขึ้น ความรู้สึกเขาบอกมาอย่างนั้นจริง ๆ ต้องเกี่ยวกับสิ่งที่ชอบมากที่สุดแน่นอนและคงไม่พ้นเรื่องของอร่อยแน่ ๆ

      “ข้าเองก็อยากรู้ไม่ต่างจากเจ้าหรอกนะ น้องรอง” จะเป็นเรื่องใดกันนะ ที่ทำให้นางและท่านแม่ยืนยิ้มแก้มแทบปริออกมา แล้วหันไปหยอกล้ออวี้เฉิงรุ่ยน้ำเสียงหยอกเย้าต่อ “น้องรอง ช่วยเก็บสีหน้าและท่าทางของเจ้ากลับไปเสียเถอะ มันแสดงออกมาหมดแล้วว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่ อ้อ!! อย่าลืมเช็ดน้ำลายกลับไปด้วย”

      “พี่ใหญ่ ใส่ร้ายข้าแล้ว ข้านะหรือจะคิดแต่เรื่องกินอย่างเดียว อุ้ป!!” เมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดสิ่งที่คิดออกมาอย่างลืมตัวก็รีบเอามืออุดปากตนเองไว้อย่างไว พลางทำสีหน้าเจื่อน ๆ ที่ตนได้ปล่อยไก่ตัวใหญ่ออกมา เพลงเสหน้าหันไปทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องก่อนหน้า

      “ไม่ทันแล้วล่ะเจ้าค่ะพี่รอง ท่านเผยสิ่งที่คิดออกมาเสียขนาดนั้น ทุกคนเขาได้ยินกันหมดแล้ว” หลังจากอวี้จื่อลู่พูดจบ บริเวณรอบ ๆ ก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน บางคนกลั้นขำจนไหล่สั่น หน้าดำหน้าแดง แต่แววตาทุกคนแสดงออกมาว่ามีความสุข บ้างก็ส่ายหัวให้กับความตะกละของอวี้เฉิงรุ่ย

      “เอาเถอะ ๆ พวกเจ้าก็แยกย้ายไปนั่งที่ตนเองให้เรียบร้อย” ว่าแล้วก็หันไปสั่งบ่าวและสาวใช้ในเรือนไปยกของที่เตรียมไว้ออกมาวางบนโต๊ะ ของทุกอย่างต่างทะยอยยกเข้ามาทีละอย่างใช้เวลาไม่นานของก็ครบ ส่วนอีกชุดหนึ่งอวี้จื่อลู่ได้ให้บ่าวชายอีกคนนำไปส่งให้ท่านลุงหม่าที่บ้าน พร้อมกับอธิบายวิธีการกินอย่างละเอียดให้อีกฝ่ายฟัง

      “สิ่งนี้เรียกว่าอะไรรึ?”

      “สิ่งนี้เขาเรียกว่าหม้อไฟเจ้าค่ะท่านพ่อ รับรองว่าอร่อยและพวกท่านก็ยังมิเคยได้ลิ้มลองมาก่อนแน่นอน”

      “มันกินได้จริง ๆ ใช่ไหมลู่เอ๋อร์”

      “พูดอย่างนี้ ท่านไม่ต้องกินก็ได้นะพี่รอง ส่วนของท่านข้าจะยกให้พี่ใหญ่ให้หมดเลย เชอะ!!” เลยแกล้งยกจานหมูสไลด์ตรงหน้าอวี้เฉิงรุ่ยไปให้อวี้เหิงเยว่ที่กำลังนั่งมองทั้งสองแกล้งแหย่กัน ริมฝีปากหนายกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

      “โอ๊ะ!! พี่ใหญ่ท่านยิ้มเช่นนี้ แสดงว่าท่านชอบหมูจานนี้ใช่ไหม ดี ๆ ข้าจะยกมันให้ท่านทั้งหมดเลย ส่วนอีกคนนะหรือ? อดไปเถอะ”

      “ไม่นะหมูข้า ลู่เอ๋อร์พี่รองคนนี้ผิดไปแล้ว ได้โปรดอภัยให้พี่ชายที่แสนโง่เขลาคนนี้ด้วยเถิด”

      “พอได้แล้วลู่เอ๋อร์ หยุดแกล้งพี่รองเสีย ประเดี๋ยวก็ไม่ได้กินกันพอดี ดูบิดาเจ้าสินั่งมองของตรงหน้าตาเป็นประกายแล้ว ไหนจะพี่ใหญ่เจ้าอีกคน” ลู่เยวี่ยนได้แต่ส่ายหน้าให้ทั้งสามคนพ่อลูก ด้วยความอ่อนใจ เรื่องกินนี่เรื่องใหญ่จริง ๆ ยอมกันไม่ได้เลย ดูสิตะเกียบในมือพร้อมกันเชียวแต่ละคน

      “เจ้าค่ะท่านแม่” อวี้จื่อลู่เห็นท่าทางของพี่ชายและบิดาของตนก็ถึงกับถอนหายใจออกมา ดวงตานุ่มนวลทอเป็นประกายฉายแววขบขัน

      จากนั้นนางก็เริ่มอธิบายและขั้นตอนการกินหม้อไฟให้ทุกคนดูเป็นตัวอย่าง นำหม้อที่ใส่น้ำซุปมาตั้งด้านหน้ารอจนน้ำเดือด เริ่มหยิบจับผักในจานใส่ลงหม้อ ระหว่างรอผักเปื่อยตามที่ต้องการ ก็ใช้ตะเกียบคีบหมูแผ่นบางขึ้นมาหนึ่งชิ้น ก่อนจุ่มลงไปในหม้อเพียงครู่เดียวก็ยกขึ้นมา แล้วจิ้มลงในถ้วยน้ำจิ้มก่อนนำเข้าฝาก ยามที่หมูนุ่ม ๆ และน้ำจิ้มรสเด็ดอยู่รวมกัน ยามอยู่ในปากมันช่างให้ความรู้สึกนุ่มฟูดีต่อใจเหลือเกิน หมูก็นุ่มเด้งสู้ลิ้นน้ำจิ้มก็กลมกล่อมรสชาติติดปาก ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าลิ้มลองและน่าคิดถึงไม่น้อย ครั้งหนึ่งที่นางเคยกินยามตอนมีชีวิตอยู่อีกที่ น้ำตาเจ้ากรรมก็พาลไหลออกมาอาบแก้ม มันไม่ใช่ความรู้สึกเศร้าเสียใจแต่มันคือความรู้สึกของการคิดถึง

      ลู่เยวี่ยนและคนอื่น ๆ ต่างตกใจเมื่อจู่ ๆ เด็กน้อยที่สีหน้ากำลังมีความสุขกับการกินแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองหยาดน้ำใสไหลลงมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำเอาแต่ละคนเซื่องซึมตามนาง

      “ลู่เอ๋อร์!! เกิดอะไรขึ้น” ทั้งสี่พร้อมใจกันลุกขึ้นเดินเข้าไปโอบกอดนาง น้ำเสียงที่เปล่งออกมามีแต่ความเป็นห่วงเป็นใย คล้ายจะแตกสลายได้ทุกเมื่อหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอวี้จื่อลู่ เพราะนางคือแก้วตาดวงใจของทุกคนในบ้าน

      “ใครทำอะไรเจ้า ประเดี๋ยวบิดาคนนี้จะไปจัดการให้เจ้าเอ…”

      เพี๊ยะ!!

      “โอ้ย!! มันเจ็บนะน้องหญิง”

      “มันใช่เวลามั้ยท่านพี่”

      “โถ่ พี่แค่ไม่อยากให้ลูก…” เมื่อเจอกับสายตาพิฆาตของภรรยา กู้หลงซานแทบจะเก็บและกลืนคำพูดลงคอเอาไว้ไม่ทัน

      “น้องทราบเจ้าค่ะ” ลู่เยวี่ยนเมินสายตาของสามี ก่อนหันไปมองเด็กน้อยอีกครั้ง ก็พบว่าในระหว่างที่นางและสามีกำลังพูดคุยกัน เด็ก ๆ ทั้งสามต่างก้มหน้าก้มตากินคล้ายคนอดอยากมานานนับปี ช่างเด็กที่เกินความคาดหมายในทุก ๆ เรื่อง

      “ท่านแม่ลองกินนี่สิเจ้าคะ มันอร่อยมาก ๆ แต่ถ้าไม่อร่อยลู่เอ๋อร์เอาหัวพี่รองเป็นประกันเลย” พลางหัวเราะคิกคักอย่างคนชอบใจ

      “อ้าว!! แล้วมันเกี่ยวอันใดกับหัวพี่ละน้องเล็ก”

      “เจ้าก็ยอม ๆ ให้นางสักครั้งเถอะน้องรอง”

      “ท่านก็พูดได้สิ ไม่ใช่หัวท่านนี่พี่ใหญ่ แต่มันเป็นหัวข้านะ” ว่าแล้วยู่ปากใส่ ก่อนหันไปสนใจหม้อไฟตรงหน้าต่อ

      “ลู่เอ๋อร์ เจ้าคงลืมบิดาคนนี้ไปแล้วสินะ ถึงได้แต่หยิบตักให้แต่มารดาของเจ้า”

      “ใช่เจ้าค่ะ เอ้ย!! ไม่ใช่ ๆ นี่อย่างไรละเจ้าคะลูกกำลังทำให้ท่านพ่ออยู่เลย”

      และแล้วสงครามหม้อไฟขนาดย่อมก็ได้เกิดขึ้น ต่างคนต่างไม่มีใครยอมใคร หมูข้าบ้างละ ผักข้าบ้างละ ทางด้านน้าอี้ถังและน้าอี้ซื่อก็ไม่ได้แตกต่างจากฝั่งของนางสักเท่าไหร่ เผลอ ๆ อาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำถึงขั้นยกหม้อหนีกันเลยทีเดียว และแล้วคืนแห่งความสุขก็จบลง ทว่าใบหน้าของทุกคนกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พวกเขาต่างแยกย้ายกันเข้านอน

      อวี้จื่อลู่ได้แต่คิดว่าค่ำคืนนี้ช่างเป็นคืนที่อบอุ่นหัวใจ เท่านี้ก็นอนหลับฝันดีไปอีกคืน อ่าาาา หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนเสียแล้ว ไปนอนดีกว่า

      “ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ พี่รอง คืนนี้ลู่เอ๋อร์มีความสุขมาก ๆ ขอบคุณนะเจ้าคะ”

      “พวกเราทุกคนก็มีความสุขไม่ต่างเจ้า ต้องขอบใจเจ้านะลู่เอ๋อร์ที่ทำให้ค่ำคืนนี้มีแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่สดใส”

      “งั้นลู่เอ๋อร์ขอตัวไปนอนก่อนนะเจ้าคะ ง่วงไม่ไหวแล้ว”

      “อืม เจ้าไปเถอะ เจ้าใหญ่ เจ้ารอง เดินไปส่งน้องให้ถึงห้องด้วยละ”

      “ขอรับท่านพ่อ”

      “เช่นนั้นพวกลูกขอตัวก่อนนะขอรับท่านพ่อ ท่านแม่”

      “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ แม่และพ่อพวกเจ้าเองก็จะแยกย้ายไปพักผ่อนเช่นเดียวกับพวกเจ้าแล้วเหมือนกัน”

      "ฝันดีนะเจ้าค่ะ ท่านพ่อท่านแม่" พูดจบก็เขย่งเท้าขึ้นแล้วกดจมูกเล็กๆ ของนางลงบนแก้มของทั้งคู่ ก่อนวิ่งออกไปทิ้งให้พี่ชายทั้งยืนมองด้วยความเสียดาย สองพี่น้องได้แต่มองหน้ากันด้วยสายตาละห้อย พร้อมกับพูดออกมาพร้อมกันอย่างคาดโทษ

      “ฝากไว้ก่อนเถอะเจ้าตัวแสบ” x2

 

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า