เพียงแค่เงินสามสี่ร้อยบาท ทำให้เธอต้องถึงแก่ความตาย แต่ทำไม๊ ทำไม ต้องมาอยู่ในร่างของเด็กไม่มีหัวคิดแบบนี้ “มีอย่างที่ไหนหนีหมีขึ้นต้นไม้ ใครสั่งใครสอนกัน”
เพียงแค่เงินสามสี่ร้อยบาท ทำให้เธอต้องถึงแก่ความตาย แต่ทำไม๊ ทำไม ต้องมาอยู่ในร่างของเด็กไม่มีหัวคิดแบบนี้ “มีอย่างที่ไหนหนีหมีขึ้นต้นไม้ ใครสั่งใครสอนกัน”
หลังผ่านพ้นเหตุการณ์ชวนหงุดหงิดหัวใจ อวี้จื่อลู่จึงเลือกที่จะเดินเข้าไปโรงเตี๊ยมฝั่งตรงข้าม เพื่อหาอะไรกินเป็นการระบายโทสะที่ปะทุขึ้นก่อนหน้านี้ แต่เป็นเพราะบุรุษปากสุนัขผู้นั้นคนเดียวแท้ ๆ ที่ทำให้วันดี ๆ ของนางต้องหมดสนุกไป ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ของกินนี่ล่ะจะช่วยเยียวยาได้ทุกสิ่ง แบบนี้ต้องกินให้ตัวแตกกันไปข้างหนึ่งเลย อ่าาาา!! แค่คิดท้องน้อย ๆ ก็ส่งเสียงร้องประท้วงซะแล้ว
“ไปกันเถอะ น้าอี้ถัง”
“ถ้าอย่างนั้น คุณหนูรออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวข้าไปดูให้ก่อน”
“เจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าเอาตัวรอดได้หากเกิดอะไรขึ้น” ว่าแต่จะมีอะไรอร่อย ๆ ให้ข้ากินบ้างนะ อืมๆๆ มันก็ต้องมีอยู่แล้วสิท่านน้าเป็นคนไปดูให้เชียวนะ คิก คิก คิก ท่าทางมีความสุขของอวี้จื่อลู่ ยามเมื่อคิดถึงของอร่อยริมฝีปากบางสวยคลี่ยิ้มออกมาอย่างแพรวพราว นัยน์ตาฉายแววซุกซน
โดยไม่รู้ตัวเลยว่าทุกการกระทำของนางได้ตกอยู่ในสายตาของคนผู้หนึ่งอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่อวี้จื่อลู่เดินออกมาจากตรอกเล็ก ๆ จนถึงตอนที่นางเดินตามหลังบุรุษอีกคนเข้ายังไปโรงเตี๊ยมของอีกฝั่ง ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือเป็นการจงใจของใครสักคนหรือเปล่า การกระทำของเด็กสาวมันสะกดสายตาชายหนุ่มไว้จนไม่อาจละไปจากนางได้ คล้ายดั่งโดนมนต์สะกด ถึงแม้เจ้าตัวจะเป็นเพียงแค่เด็กสาวคนหนึ่ง แต่เขาเชื่อว่าอีกไม่กี่ปีนางจะโตขึ้นมาเป็นสตรีที่งดงามแน่นอน ก่อนหันไปสั่งคนข้างกาย
“ไปสืบมา” ปากว่าแต่สายตาไม่เคยละไปจากเด็กสาวแม้แต่วินาทีเดียว
อวี้จื่อลู่ที่เข้ามานั่งตรงชั้นสองของโรงเตี๊ยมได้สักพัก ก็รู้สึกได้ถึงสายตาจ้องมองมายังตนเอง แม้จะไม่มีจิตสังหารหรือการมุ่งร้ายก็ตาม จึงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็ได้สบตาเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งดูรูปร่างโปร่งสูง ที่มีใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม จมูกโด่งเป็นคมสัน คิ้วเรียงโค้งได้รูป ริมฝีปากหนา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน ทว่านางกลับมองเขาอย่างเฉยเมย แม้ว่าจะมีความตื่นตระหนกปรากฎขึ้นในแววตาเพียงชั่วครู่ แต่นางก็ปรับสีหน้าแววตาให้กลับมานิ่งเฉยเหมือนผิวน้ำที่นิ่งสนิท
อวี้จื่อลู่เลิกสนใจบุรุษผู้นั้นแล้วหันกลับมาสนใจสิ่งตรงหน้าตัวเองต่อทันที เมื่ออี้ถังให้เสี่ยวเอ้อนำอาหารขึ้นมา ไม่นานอาหารขึ้นชื่อทุกอย่างถูกนำขึ้นมาจัดวางเรียงรายบนโต๊ะ พร้อมขนมสีสันสดใสน่ากินที่มาคู่กับน้ำชากลิ่นหอมชั้นเลิศหนึ่งชุด
“น้าอี้ถัง ลงมานั่งด้วยกันสิเจ้าคะ ข้าหิวจะแย่แล้ว ตั้งแต่เช้ามาข้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักอย่าง”
“เชิญคุณหนูกินได้เลย ข้ายังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ขอรับ อีกอย่างมันคงไม่เหมาะเท่าไหร่”
“อะไรคือไม่เหมาะกัน ท่านก็เปรียบเสมือนคนในครอบครัวข้าอีกคนนะเจ้าคะ นั่งลงเถอะนะ นั่งกินด้วยกัน ไม่สงสารลู่เอ๋อร์หรือเจ้าคะที่ต้องมานั่งกินข้าวคนเดียวอย่างนี้” แบบนี้มันต้องใช้ลูกอ้อนเยอะ ๆ จะไม่ใจอ่อนก็ให้มันรู้ไป
“แต่ว่า...” ยังไม่ทันได้ปฏิเสธอีกรอบ อี้ถังพลันรู้สึกได้ถึงแรงกดดันชวนหวาดหวั่น หนาวสั่นไปทั้งตัว “เห้อ!! น้ายอมแล้ว” เมื่อได้รับคำตอบเป็นที่น่าพอใจ เด็กน้อยคลี่ยิ้มออกมาอย่างยินดี แล้วก้มหน้าก้มตาลงมือกินอาหารตรงหน้า จนหลงลืมสิ่งรอบข้าง
แต่ทว่าความสุขมักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน ในขณะที่อวี้จื่อลู่กำลังดื่มด่ำอยู่กับรสชาติของมัน ก็ได้มีมารผจญขัดขวางการกินเข้ามาพร้อมส่งเสียงโหยหวนชวนแสบแก้วหูไม่น้อย และแน่นอนว่าไม่ชอบใจเอาเสียเลย ยิ่งตอนที่กำลังกินอยู่ด้วยแล้วบอกเลยว่ายอมไม่ได้ เพราะเรื่องกินมันเป็นเรื่องใหญ่ จึงไม่ได้ให้ความสนใจสตรีคนนั้น
“นี่...เจ้าคนสกปรก ไสหัวออกไปนั่งที่อื่นซะ”
อวี้จื่อลู่แหงนหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นชา ก่อนถอนสายตากลับมาแล้วก้มหน้ากินต่ออย่างไม่สนใจอีกครั้ง ‘หึ อยากแหกปากก็เชิญใครสนกัน ยิ่งหิว ๆ อยู่ ไม่สนหรอก’ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมเลิกรา
“ข้าพูดกับเจ้าอยู่ไม่ได้ยินหรืออย่างไร” ไม่พูดเปล่าสตรีคนนั้นก็ยื่นมือมากระชากตะเกียบและชามข้าวออกมาจากมือของอวี้จื่อลู่ ก่อนหันไปตวาดเสี่ยวเอ้อที่รีบวิ่งเข้ามา
“เสี่ยวเอ้อ!! ข้าต้องการนั่งที่โต๊ะตรงนี้ เท่านั้น!!”
“ตะ...แต่ว่า” เสี่ยวเอ้อตัวน้อยยืนตัวสั่นระริก ไม่กล้าพูดจาตอบโต้ทำได้เพียงยืนก้มหน้าลง คล้ายเกรงกลัวบางอย่างจากสตรีตรงหน้า ชาวบ้านต่างเริ่มเข้ามารุมล้อมพากันกระซิบกระซาบนินทาระยะเผาขน
‘แย่แล้ว นั่นมันคุณหนูสามตระกูลหลันไม่ใช่หรือ?’ ชาวบ้านหนึ่ง
‘ไหน ๆ ขอข้าดูด้วยคนสิ หืม!! ใช่จริงด้วยมาครั้งนี้ผู้ใดอีกเล่าที่โดนนางหาเรื่องอีก’ ชาวบ้านสอง
‘ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน’ ชาวบ้านสาม
‘แต่ข้าเห็นนะ เป็นแม่นางน้อยมากับบุรุษผู้หนึ่ง นางดูน่าตาน่าเอ็นดูเชียว’ ชาวบ้านหนึ่ง
‘แล้วแบบนี้เด็กน้อยคนนั้นไม่แย่เอาหรือ?’ ป้าข้างบ้าน น้ำเสียงคล้ายเป็นห่วงเป็นไยทว่าสายตานั้นแพรวพราวคอยสอดส่องจ้องมองดูเรื่องสนุกอยู่ตลอดเวลา
‘ตระกูลหลันนี่ก็จริง ๆ เลย เลี้ยงบุตรมาแต่ละคนช่างหาใครเปรียบมิได้เลยจริง ๆ’ ลุงขายหมั่นโถ
ยิ่งเวลาผ่านไปเสียงซุบซิบนินทาไม่มีท่าทีว่าจะลดน้อยลงเลย ทว่าเจ้าตัวที่เป็นที่เอ่ยถึงกลับไม่ทุกข์ร้อนอะไร พร้อมทำสีหน้ายิ้มรับยินดีคล้ายได้รับคำชมทั้งที่มันไม่ใช่เลยสักนิด และดูเหมือนว่านางจะไม่ยอมรามือจนกว่าจะได้ในสิ่งที่ตนต้องการ จนอี้ถังทนไม่ไหวผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่โดนอวี้จื่อลู่ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ข้าบอกว่าที่ตรงนี้ก็คือตรงนี้หรือเจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดกัน” ใบหน้าสวยหวานแดงจัดด้วยความโกธร สายตาที่จ้องมองมาแข็งกร้าวและดูแคลน
ด้วยความรำคาญอวี้จื่อลู่จึงเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง ทั้งที่ปากยังคาบตีนเป็นน้ำแดงอบแห้งอยู่ สีหน้านางตอนนี้บ่งบอกถึงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน เมื่อโดนขัดจังหวะในการกิน “จะเอาอย่างไรก็ว่ามา ข้าไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะมาเล่นไร้สาระกับเจ้าหรอกนะ”
“ข้าต้องการที่จะนั่งตรงนี้ ส่วนคนเช่นเจ้ามันเหมาะกับชั้นล่างมากกว่าบนนี้เสียอีก ลุกออกไปซะ เอ๊ะ!! หรือว่าข้าพูดไปเข้าฟังไม่เข้าใจ” แล้วนั่นอะไรสายตาเหยียดหยามราวจะกดข้าให้จมดินแบบนั้น
“แล้วทำไมข้าต้องทำตามที่เจ้าบอกกัน” เลิกคิ้วถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไร้เดียงสา แต่นัยน์ตานั้นมีแววขบขันอยู่ในที
“เพราะข้าสั่ง และเจ้าก็ต้องไป”
“ดูปากข้านะ ไม่!!” สั้น ๆ ง่าย ๆ ได้ใจความ อี้ถังที่นั่งดูรับรู้ทุกเหตุการณ์ แม้จะไม่พอใจดรุณีน้อยสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่สามารถยื่นมือเข้ามาได้ เพราะโดนสั่งห้ามไว้ เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าหากคุณหนูโมโหขึ้นมาจริง ๆ โรงเตี๊ยมแห่งนี้จะมีสภาพเป็นเช่นไร ถ้าจะโทษก็ต้องโทษคนที่ยั่วยุคุณหนูในเวลาหิวนี่แหละช่างกล้าหาญยิ่งนัก แม้แต่นายท่านที่ว่าแน่ยังไม่กล้าเลย
“แต่ข้าต้องได้ เจ้าไม่ได้ยินหรือไง?”
“ได้ยินแล้วยังไง? ก็ข้าไม่อยากลุกและข้ามาก่อนเจ้า แล้วทำไมต้องมาเสียสละให้คนที่มาทีหลังแถมยังไร้มารยาทเอามาก ๆ ที่บ้านเจ้าเขาไม่สั่งสอนหรือว่าสอนแต่เจ้าไม่จำกัน ช่างน่าอับอายเสียจริง”
“จะจำไม่จำมันก็เป็นเรื่องของข้า ไม่ต้องให้คนอย่างเจ้ามาสอน”
“เหอะ!! ประสาท” คนแบบนี้ยิ่งคุยด้วยยิ่งประสาทเสีย
“เจ้า!!” สิ้นเสียงคุณหนูตระกูลหลัน ลูกบอลไฟขนาดเล็กถูกซัดออกไปทางด้านหลังของอวี้จื่อลู่ ทำให้คนในโรงเตี๊ยมหนีตายกันให้จ้าละหวั่น ข้าวของหล่นกระจัดกระจาย แต่มีหรือที่คนอย่างนางจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ในเมื่อจิตสังหารที่ปล่อยมามันช่างรุนแรงขนาดนั้น หากอยากเจ็บตัวนักนางก็สามารถจัดการให้ได้ จะเอาให้ร้องไห้ตามบรรพบุรุษมาช่วยเลยเชียวล่ะ
ก่อนพลังของอีกฝ่ายมาถึงตัว อวี้จื่อลู่จึงหยิบจอกน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดีดออกไปปัดลูกบอลไฟส่งคืนยังเจ้าของตัวจริง จนอีกฝ่ายพลาดพลั้งด้วยความไม่ระวังโดนพลังของตนเองเข้า ทำให้เสื้อคลุมตัวสวยติดไฟส่งกลิ่นไหม้ไปทั่วบริเวณ
“กรี๊ดดดดดดด!! คุณหนู ไฟไหม้เสื้อคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ ถอดมันออกมาเร็วเข้า” สาวใช้ของหลันลั่วอิงถลาเข้ามากระชากเสื้อคลุมด้วยความเป็นห่วงนายของตน โดยไม่ได้มองรอบกายว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง แล้วหันไปสั่งบ่าวชายเสียงดัง “ไปแจ้งนายท่านว่าคุณหนูโดนทำร้าย เร็วเข้า!!”
แปะ แปะ แปะ!!
เสียงปรบมือของอวี้จื่อลู่ดังขึ้นเรียกความสนใจของผู้คนอีกครั้ง จากหลังตกตะลึงกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ “ช่างเป็นนายบ่าวที่เข้ากันได้ดีจริง ๆ หวังว่าคงจะไม่มีคนประเภทเดียวกับพวกเจ้าโผล่มาอีกหรอกนะ”
ทว่า...
“ใครมันบังอาจมารังแกบุตรสาวข้ากัน ช่างกล้าเสียจริง”