Your Wishlist

อวี้จื่อลู่ ณ หมู่บ้านม่านหมอก (จุดจบของเสี่ยวมี่)

Author: Ning Feng

เพียงแค่เงินสามสี่ร้อยบาท ทำให้เธอต้องถึงแก่ความตาย แต่ทำไม๊ ทำไม ต้องมาอยู่ในร่างของเด็กไม่มีหัวคิดแบบนี้ “มีอย่างที่ไหนหนีหมีขึ้นต้นไม้ ใครสั่งใครสอนกัน”

จำนวนตอน : 55

จุดจบของเสี่ยวมี่

  • 21/11/2566

ยามสายของอีกวัน

      แสงแดดอ่อนสาดส่องเข้ามายังภายในห้องของสตรีที่กำลังหลับใหลอยู่บนฟูกนอน เหล่านกน้อยแข่งกันส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวในยามเช้า พร้อมกับหนูตะเภาทองคำตัวจ้อยที่มาตะโกนเรียกอยู่ข้างหู ทำเอาคนที่กำลังนอนหลับฝันดีอย่างนาง อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมายามเมื่อได้ยินเสียง

      อวี้จื่อลู่ลุกขึ้นนั่งก่อนบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยล้า ในหัวก็พลันหวนนึกเรื่องราวของเมื่อวาน หลังจากช่วยให้ท่านพ่อปลอดภัยแล้ว ภาพทุกอย่างหน้าก็ดับวูบ ยิ่งนึกถึงเรื่องที่ท่านพ่อโดนวางยาพิษ ใบหน้าเรียวสวยก็มืดครึ้มลงทันที นัยน์ตาสวยคู่นั้นฉายแววล้ำลึกยากที่จะคาดเดา หากผู้ใดได้มาเห็นคงอกสั่นขวัญผวาไม่น้อย

      "นี่...เด็กน้อย เจ้าได้ยินที่ข้าเรียกบ้างไหม? แล้วเหตุใดถึงทำหน้าราวกับว่าจะไปฆ่าคนอย่างนั้นกัน"

      "ใช่! ข้าจะไปฆ่าคน" อวี้จื่อลู่เผลอพูดความคิดออกมาด้วยความลืมตัว

      "ห๊ะ!!! เจ้าพูดจริงหรือ?" แม่นางลูกเผ็ดผู้แซ่บยกสวนอดไม่ได้ที่จะถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ว่านางเองนั้นไม่ได้ฟังผิดไป

      "อืม...มันน่าตกใจขนาดนั้นเชียว ก็แค่...ต้องฆ่า!!!"

      เมื่ออวี้จื่อลู่ยืนยันชัดเจนแล้วว่านางจะไม่ปล่อยให้คนที่คิดร้ายกับครอบครัวนางมีชีวิตหลุดรอดไป

      "ช่างเถอะ!! หากเจ้าตัดสินใจเช่นนี้...ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิด ข้าจะนำทางเจ้าไปเอง" แม้จะอดขนลุกไม่ได้กับคำว่า 'ต้องฆ่า!!!' ของนาง เด็กตัวแค่นี้กลับพูดคำว่าฆ่าออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยเช่นนี้มันช่างน่ากลัวจริง ๆ ดีแล้วที่เลือกจะอยู่นางมิใช่เป็นศัตรู

      "ขอบคุณท่านมาก..."

      ก่อนจากไปนางก็ได้เขียนจดหมายทิ้งไว้ พร้อมกับเร้นกายหายออกไปเหลือทิ้งไว้เพียงห้องนอนที่ว่างเปล่าไร้เจ้าของ ส่วนเจ้าหนูตะเภาทองคำก็ได้พาตนเองเข้าไปอยู่ด้านในอกเสื้อของอวี้จื่อลู่ โผล่ออกมาแค่ส่วนหัวเท่านั้น อวี้จื่อลู่ใช้วิชาตัวเบาลัดเลาะไปตามช่องเขาลึกเข้าไปภายในป่า นานกว่าครึ่งชั่วยามก็มาถึงยังวัดร้างตรงตีนเขา

 

      ณ วัดร้างตีนเขาหลิงซาน

      เสี่ยวมี่หลังจากที่รู้สึกตัวกลับพบตนเองนั้นโดนใครบางคนมัดมือมัดเท้าตรึงเข้ากับกำแพง แม้จะดิ้นรนกระชากมันสักเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล กลับกันเชือกที่ผูกมัดนางอยู่กลับเสียดสีเข้ากับผิว จนข้อมือเกิดรอยแดงถลอกมีเลือดไหลซิบออกมมาเล็กน้อย ผมยาวสลวยที่เคยจัดเป็นทรงสวยตอนนี้กลับดูไม่น่ามองผมเผ้ากระเซอะกระเซิง

      "จะ...เจ้าเป็นใคร?" เสี่ยวมี่เอ่ยถามด้วยความหวาดระแวงเด็กตรงหน้า ที่มีจิตสังหารอันน่าสะพรึงวนอยู่รอบตัว

      "ข้าเป็นใครนะเหรอ...ไม่ใช่ว่าเจ้ารู้อยู่แล้วหรอกหรือ? เสี่ยวมี่สุนัขรับใช้ตระกูลกู้สายรอง" น้ำเสียงเย็นยะเยือกดังออกจากปากคู่สวย

      เสี่ยวมี่ได้ยินแบบนั้นก็ตกใจหน้าซีด เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครรับรู้ว่านางเป็นคนจากบ้านตระกูลกู้สายรองส่งมา "จะ....เจ้า!! ปะ...เป็นใครกันแน่" น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสั่นกลัว เสี่ยวมี่ยอมรับเลยว่าสตรีตรงหน้านางนี้ มีบรรยากาศรอบตัวที่น่าหวาดกลัว ให้ความรู้สึกเหมือนดั่งปีศาจร้ายที่พร้อมฉีกกระชากร่างของตนเองอยู่ตลอดเวลา

      "ขะ...ข้า ไม่รู้จักเจ้า!!" เสี่ยวมี่ยังคงส่ายหน้าปฏิเสธ ในใจลึกๆ ก็ยังคงหวาดหวั่นกับท่าทีนั้น

      "ถ้าอย่างนั้น!! ข้าจะทบทวนความทรงจำให้เจ้าเอง...ดีหรือไม่?" มุมปากยกยิ้ม นัยน์ตาฉายแววกระหายเลือด พร้อมที่จะลากอีกฝ่ายลงไปยังจุดสิ้นสุดของการมีชีวิตอยู่ จนเสี่ยวมี่ทนไม่ไหวเอ่ยโพล่งออกมาจนหมดเปลือก

      "ข้าผิดด้วยหรือ!! ที่โหยหาความรัก ต้องการความรักจากใครสักคน ข้าผิดตรงที่ใดกัน..."

     "ผิดสิ...ผิดที่เจ้าบังอาจมาวางยาท่านพ่อของข้าไง" จากนั้นอวี้จื่อลู่ก็ลงมือทรมานอีกฝ่ายอย่างเลือดเย็น ทั้งยังเอาวิธีทรมานจากในทีวีเมื่อชาติก่อนมาใช้อย่างไม่ลังแล โดยไม่สนใจเลยว่าชุดที่ตนเองสวมใส่จะเปรอะเปื้อนเลือดมากแค่ไหน กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ

      ในช่วงที่เสี่ยวมี่สติใกล้เลือนรางก็ได้หวนนึกย้อนไปยังเรื่องราวในอดีต

 

     ย้อนไปเมื่อ xx ปีก่อน

      ในคืนที่หิมะตกหนักและยาวนานกว่าทุกปี ทำให้หลังคาบ้านที่รับน้ำหนักของหิมะไม่ไหวพังร่วงหล่นลงมาทับร่างมารดาจนสิ้นใจ เด็กน้อยในวัยห้าหนาวนั่งร้องไห้กอดร่างของมารดาที่ไร้สิ้นลมหายใจ เพราะทนความหนาวเย็นและทนพิษบาดแผลไม่ไหว หลังจากมารดาสิ้นใจเด็กน้อยก็เริ่มออกไปทำงานรับจ้างทุกอย่างไม่ว่าจะยกของ ทำความสะอาด ทำทุกอย่างเพื่อประทังชีวิต จนวันหนึ่งในขณะที่เสี่ยวมี่กำลังเดินกลับบ้านก็พบเจอกับบุรุษวัยกลางคน เขาเสนอรับนางไปเลี้ยงดูอยู่ในจวน โดยยกเหตุผลต่างๆ มาหว่านล้อม จนในที่สุดเด็กน้อยอย่างเสี่ยวมี่ก็ตอบรับคำพูดของบุรุษผู้นั้นอย่างไร้เดียงสา หลังจากที่เสี่ยวมี่เข้าไปอาศัยอยู่ในจวนตระกูลกู้สายรองนานถึงสี่ปี สี่ปีที่อยู่ที่นั่นได้สร้างความหวาดกลัวขึ้นในใจให้นางเป็นอย่างมาก นางมักจะถูกผู้นำตระกูลเรียกเข้าไปห้องลับชั้นใต้ดิน แรกๆ เสี่ยวมี่โดนทุบทีทั้งโดนทรมานร่างกายจนแทบสิ้นใจในทุกๆ วัน ผ่านไปเพียงไม่นานผู้นำตระกูลก็ได้จับนางไปฝึกการต่อสู้เพื่อหวังผลบางอย่าง เท่านั้นยังไม่พอเสี่ยวมี่มักจะโดนกู้ฉิงบุตรสาวของผู้นำตระกูลกู้สายรองทุบตีอยู่บ่อยครั้ง เมื่ออะไรไม่เป็นไปตามที่นางต้องการ กู้ฉิงมักจะอารมณ์ร้ายและฉุนเฉียว หากอะไรไม่ได้ดั่งใจก็ขว้างปาข้าวของ ทุบตีบ่าวไพร่ จนแทบไม่มีใครกล้าเดินเฉียดเข้าไปใกล้เรือนของกู้ฉิง เสี่ยวมี่กัดฟันอดทนกับการกระทำของกู้ฉิงมาโดยตลอดได้แต่ภาวนาไว้ว่าสักวันหนึ่งหากนางออกไปจากตระกูลนี้ได้ ก็จะไม่ขอหวนกลับมาอีก จนในที่สุดความหวังของเสี่ยวมี่ก็เป็นจริงเมื่อผู้นำตระกูลกู้สายรองได้เรียกนางเข้าไปคุยบางสิ่ง พร้อมกับไหว้วานให้ทำงานบางอย่างหากงานนี้สำเร็จเขาก็จะปล่อยเสี่ยวมี่ไปตามทางที่นางต้องการ โดยจะไม่ตามไปยุ่งเกี่ยวใด ๆ ทั้งสิ้น

      เสี่ยวมี่ในวัยเก้าหนาว หลังจากออกมาจากจวนตระกูลกู้ นางได้บังเอิญช่วยชีวิตของลู่เยวี่ยนจากการโดนรถม้าพุ่งใส่ ทำให้ลู่เยวี่ยนที่รู้สึกทราบซึ้งใจในการกระทำของเสี่ยวมี่ จึงได้รับนางเข้ามาเป็นบ่าวข้างกาย ตลอดเวลาที่เสี่ยวมี่อยู่รับใช้ข้างกายลู่เยวี่ยนในตระกูลลู่ ลู่เยวี่ยนกลับไม่เคยตบตีหรือทำร้ายบ่าวไพร่ในจวน ทั้งยังปฏิบัติกับเสี่ยวมี่ไม่ต่างจากคนในครอบครัว มีอะไรลู่เยวี่ยนก็มักนำมาแบ่งปันกับนางทุกครั้ง จนเวลาล่วงเลยไปจากเด็กน้อยกลายเป็นเด็กสาวลู่เยวี่ยนที่นางคอยดูแลรับใช้มาตลอดเริ่มโตขึ้นกลายเป็นสตรีที่งดงามและน่าหลงไหล จากนั้นความรู้สึกเสี่ยวมี่ก็เริ่มเปลี่ยนไป หากได้ยินจากคนในเรือนเอ่ยถึงบุรุษที่มาชอบพอลู่เยวี่ยนถึงขั้นจะส่งแม่สื่อมาทาบทาม ในใจก็ร้อนรนดั่งไฟสุมอกคิดเพียงอย่างเดียวคนผู้นั้นมันต้องตาย และแล้วก็เป็นจริงดั่งที่เสี่ยวมี่ต้องการ ทุกครั้งที่มีข่าวเช่นนี้ออกมาเสี่ยวมี่ก็จะจัดการสังหารคนผู้นั้นทันที ทว่ามีเพียงคนเดียวที่เสี่ยวมี่ทำไม่สำเร็จนั่นก็คือกู้หลงซาน แม้กู้หลงซานจะไม่ได้มีท่าทีว่าจะชอบลู่เยวี่ยน แต่นางก็มิอาจปล่อยกู้หลงซานไปได้เพราะเขาคือคนที่ผู้นำตระกูลกู้สายรองต้องการให้นางกำจัดเขาทิ้ง ยิ่งมารู้ว่าลู่เยวี่ยนนั้นมีใจชมชอบในใจก็ยิ่งเจ็บปวด คิดหาวิธีการต่างๆ ในการกำจัดเขาก็ไม่สำเร็จสักครั้ง จนในที่สุดโอกาสของเสี่ยวมี่ได้มาถึงเมื่อลู่เยวี่ยนให้นางไปนัดพบกู้หลงซานที่เหลาอาหารแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่กู้หลงซานและลู่เยวี่ยนเปิดใจพูดคุยปรับความเข้าใจกัน เสี่ยวมี่จึงใช้โอกาสที่ทั้งสองไม่ทันระวังทำทียกชามารินให้ลู่เยวี่ยนและกู้หลงซาน เพียงแค่ชั่วครู่เสี่ยวมี่แอบใส่ยาลงไปในถ้วยชาของกู้หลงซาน จากนั้นก็ทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะรับออกมาตรงๆ ต่อหน้าอวี้จื่อลู่ด้วยน้ำเสียงสะใจ

      "ใช่!!...ข้านี่แหละที่เป็นคนวางยาเขา เป็นยังไงบ้างล่ะ!!...มันตายไปรึยัง?" พลางส่งเสียงหัวเราะด้วยความสุขใจ "อ้อ...แต่คงจะไม่รอดสินะ ช่างน่ายินดีอะไรเยี่ยงนี้"

      "เจ้านี่มัน!!!...ช่างเป็นคนที่น่าสะอิดเอียนเสียจริง แต่...ไม่เป็นไรข้ายังพอมีเวลาอยู่เล่นกับเจ้าอีกสักหน่อย" จากนั้นอวี้จื่อลู่ก็ลงมือทรมานอีกครั้ง ส่วนแม่นางลูกเผ็ดผู้แซ่บยกสวนก็ได้เข้าไปอยู่ในมิติของอวี้จื่อลู่ก่อนแล้ว เพราะนางรู้สึกว่าอวี้จื่อลู่นั้นน่าหวาดกลัวจนเกินไปยามที่นางมีโทสะ เลยเลือกจะไม่อยู่ดูต่อขอนางเข้านอนแทะสมุนไพรเล่นยังจะดีกว่า

      ต่างจากเสี่ยวมี่ที่ตอนนี้สภาพดูไม่ดีสักเท่าไหร่ "ถุ้ย!!...หากข้าไม่ได้ครอบครองตัวคุณหนู คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะได้ครอบครอง ต่อให้ต้องฆ่านางข้าก็จะทำเพื่อที่นางจะได้อยู่กับข้าไปจนนิรันดร์ดั่งเช่นท่านแม่ของข้า..." เสี่ยวมี่แสยะยิ้มออกมาอย่างน่าสะอิดสะเอียน ส่งเสียงหัวเราะดังลั่นใบหน้าที่เคยดูดีบิดเบี้ยวอาการคล้ายคนจิตไม่ปกติ

      "ก็ดี...เช่นนั้นข้าจะส่งเจ้าไปอยู่กับมารดาของเจ้าแทนก็แล้วกัน อ้อ...อีกอย่างนะท่านน้าลู่เยวี่ยนน่ะ เป็นของท่านพ่อข้าหาใช่ของเจ้าไม่!!" พอกันที่ข้าไม่อยากเวลามากไปกว่านี้แล้ว "แม่นางลูกเผ็ด!!...เอามันออกมาให้ข้า" พูดจบอวี้จื่อลู่ก็จับปากเสี่ยวมี่อ้าออกพร้อมกับกรอกพิษโลหิตสลายหรืออีกความหมายคือหากใครโดนพิษชนิดนี้เข้าไป จะโดนดูดเลือดออกจากร่างกายจนหมดเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกแทนพร้อมกับดับลมหายใจไปด้วยเช่นกัน

      แม้ว่าเรื่องราวเหล่านี้จะบีบหัวใจคนฟังสักแค่ไหน ก็ไม่อาจทำให้อวี้จื่อลู่รู้สึกสงสารหรือเห็นใจแม้แต่น้อย เพราะสตรีชั่วช้าคนนี้เกือบทำให้นางต้องกลายเป็นคนไร้บิดาอีกครั้ง ต่อให้เป็นแม่นางลู่เยวี่ยนที่เป็นคนรักของท่านพ่อคุกเข่าขอร้องยังไง นางก็ไม่มีทางปล่อยสตรีผู้นั้นไปได้

 

      ด้านกู้หลงซานหลังจากได้อ่านจดหมายของอวี้จื่อลู่ ก็รีบเร่งรุดหน้าไปหาลู่เยวี่ยนพร้อมกับพาตัวนางไปยังวัดร้างที่เขาหลิงซานตามที่อี้ซื่อได้บอกมา ทว่าเมื่อมาถึงยังไม่ทันที่ทั้งสองได้ก้าวเท้าเข้าไปก็ได้ยินเสียงพูดคุยด้านในดังออกมา จึงได้หยุดอยู่ด้านนอกเพื่อฟังเรื่องราวทุกอย่าง หลังจากได้ฟังเรื่องทั้งหมดลู่เยวี่ยนถึงกับเข่าทรุดลงไปนั่งกับพื้นโดยมีกู้หลงซานคอยกอดปลอบประโลมอยู่ข้างๆ น้ำตามากมายไหลรินออกมาเปื้อนใบหน้างดงาม ความรู้สึกต่างๆ ตีกันปนเปไปหมด มีทั้งความผิดหวัง ความเสียใจ นางไม่เคยเฉลียวใจเลยสักนิดว่าเสี่ยวมี่จะกลายมาเป็นแบบนี้ 'นางช่างเป็นตัวโง่งมโดยแท้'

 

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า