Your Wishlist

อวี้จื่อลู่ ณ หมู่บ้านม่านหมอก (บางสิ่งมาพร้อมกับภารกิจ)

Author: Ning Feng

เพียงแค่เงินสามสี่ร้อยบาท ทำให้เธอต้องถึงแก่ความตาย แต่ทำไม๊ ทำไม ต้องมาอยู่ในร่างของเด็กไม่มีหัวคิดแบบนี้ “มีอย่างที่ไหนหนีหมีขึ้นต้นไม้ ใครสั่งใครสอนกัน”

จำนวนตอน : 55

บางสิ่งมาพร้อมกับภารกิจ

  • 21/11/2566

ห้าวันให้หลัง ลุงหม่าก็ได้ให้คนมาจัดการสร้างรั้วจนเสร็จเรียบร้อยภายในสองวัน ด้านคนเจ็บแม้ว่าบาดแผลจะเริ่มหายดี ทว่ายังไม่ได้สติ สามพี่น้องต่างก็ใช้ชีวิตตามปกติ ตกดึกคืนหนึ่งอวี้จื่อลู่รู้สึกว่าในขณะที่กำลังเคลิ้มหลับ ตนเองได้ถูกพาเข้าไปอยู่ในสถานที่แปลกตากับชายชราคนที่พานางมาอยู่ในภพนี้

      “เอ๊ะ!! นี่ท่านคนที่พาข้ามาไม่ใช่หรือ?”

      “ใช่ เป็นข้าเองเจ้ามีปัญหาอะไรอย่างนั้นรึ?”

      “ข้าฝันอยู่ใช่ไหม”

      “นี่ไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นเรื่องจริงและข้าก็เป็นคนดึงเจ้าเข้ามาในนี้เอง”

      หน็อย มาแบบนี้ก็ดีเลยจะบ่นให้หูชาเลย “ท่านมาก็ดีแล้ว ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่านเยอะแยะเต็มไปหมดเลยเจ้าค่ะ” พร้อมแสยะยิ้มออกมาชวนหวั่นใจคนมอง

      “ไหนลองว่ามาสิ ข้ารอฟังอยู่” พร้อมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวสวยที่มาจากไหนไม่รู้

      “ขอข้าด้วยสิเจ้าคะ ยืนนาน ๆ มันเมื่อยนะเออ” พลางส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมา

      “เพ้ย!! เจ้าลูกเต่านี่” แม้มีท่าทางเหมือนจะไม่ชอบใจ แต่บนใบหน้ากลับประดับไปด้วยรอยยิ้มและเอ็นดู

      “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”

      “มาเข้าเรื่องเถอะ ข้ามีเวลาไม่มาก”

      “จะรีบไปไหนล่ะเจ้าคะ”

      “ข้ายังมีงานเบื้องบนต้องสะสางอีกเยอะ ไม่ได้มีเวลาว่างดั่งเช่นเจ้าหรอกนะ” (ได้ข่าวว่าท่านจะรีบไปสังสรรค์กับเหล่าเทพตนอื่นมิใช่รึ?)

      “ว่าแต่ท่านเถอะ มาหาข้ามีอะไรกันแน่ แล้วอีกอย่างนะส่งข้ามาที่นี่แต่กลับไม่ให้อะไรติดไม้ติดมือมาเลย ไหนล่ะ พลัง มิติ หรืออะไรที่มันพอจะช่วยไม่ให้ครอบครัวข้าอดตาย ข้ายังไม่อยากยากตายก่อนวัยอันควรนะท่าน”

      “หากข้าช่วยนั่นก็ย่อมได้ แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าต้องทำบางสิ่งที่ข้ามอบหมายให้สำเร็จลุล่วง ถือว่าเป็นภารกิจจากข้า หากเจ้ารับปากข้าจะให้ของขวัญเป็นการตอบแทน แต่ถ้าไม่...” หากนางรู้ว่าข้าหลอกให้ทำงานแทนส่วนที่ข้าทำพลาดแล้วล่ะก็มีหวัง...

      ไม่รอให้ชายชราพูดจบนางก็ตัดการสนทนาด้วยการโวยวาย 'ขี้งกจริงวุ้ย! แบบนี้นางก็แย่น่ะสิ ไม่ได้ ๆ' “อ้าว แล้วถ้าทำแล้วไม่สำเร็จล่ะ แบบนี้ข้าก็เหนื่อยฟรีสิ ช่างเป็นอะไรที่ไม่ยุติธรรมสำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ ที่น่าทะนุทนอมเช่นข้าเลย”

      “เจ้าช่วยหยุดฟังข้าสักประเดี๋ยวได้หรือไม่? นางหนูอวี้”

      “ก็ได้เจ้าค่ะ”

      “เอาล่ะ ตั้งใจฟังให้ดี ต่อไปในภายภาคหน้าหากเจ้าพบเจอกับบุรุษผู้มีนัยน์ตาสีฟ้า จงช่วยเขาให้ถึงที่สุด”

      “แล้วจะช่วยเขาได้ยังไงล่ะเจ้าคะ ในเมื่อข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แล้วไหนจะนัยน์ตาสีฟ้านั่นอีก มันมีเงื่อนไขอะไรอีกไหมที่พอจะช่วยให้ข้าได้รู้ว่าเป็นบุรุษผู้นั้น”

      “เฮ้อ ข้าจะบอกให้อีกนิดก็ได้ บุรุษผู้นั้นในยามพระจันทร์เต็มดวงจะปรากฏนัยน์ตาสีฟ้า ทั้งยังมีผลข้างเคียงที่แสนทรมานร่างกายจะถูกห่อหุ้มไปด้วยความเย็น จากนั้นไอเย็นจะค่อย ๆ ซึมลึกเข้าไปในเนื้อหนังและกระดูกเมื่อถึงเวลานั้นร่างกายจะถึงจุดที่ย่ำแย่และอ่อนแอเป็นที่สุด พิษนี้เรียกว่า เหมันต์หวนคืน พิษนี้เป็นพิษของตระกูลไป๋ที่หายสาบสูญไปนานนับพันปี ทว่าเมื่อสิบห้าปีก่อนได้มีคนนำพิษนี้ออกมาใช้กับใครบางคนและคนคนนั้นคือคนที่เจ้าต้องช่วย”

     “แล้วจะให้ข้าช่วยยังไง”

     “ข้าจะถ่ายทอดการหลอมโอสถทุกชนิดให้แก่เจ้า ไม่เว้นแม้แต่โอสถที่หายสาบสูญไปแล้วก็ตาม รวมไปถึงชื่อและสรรพคุณของสมุนไพรมั้งหมด แต่จงจำไว้ใช้มันด้วยความระมัดระวังเพราะโอสถบางชนิดอาจจะชักนำพาภัยมาสู่ตัวเจ้าได้” ชายชรากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อน เจือไปด้วยความห่วงใยเด็กสาวตรงหน้า

      “เจ้าค่ะ” เจองานหินเข้าให้แล้วไง จะไปรอดไหมนะข้ายิ่งไม่ค่อยจะฉลาดอยู่ด้วย นางได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ

      “มาเถอะข้าจะเปิดช่องมิติเจ้าให้”

      “ช่องมิติเหรอเจ้าค่ะ ใช่ที่มีของด้านในแล้วนำออกมาได้ใช่ไหม”

      “เป็นเช่นนั้น ส่วนพลังปราณเป็นเจ้าที่ต้องขยันฝึก ข้ามิอาจจะช่วยเจ้าได้”

      “ขอบคุณเจ้าค่ะ”

      “ได้เวลาที่ข้าจะต้องไปแล้ว และนี่เป็นของขวัญจากข้าที่รับปากเจ้าไว้” ชายชรายื่นมือไปแตะหน้าผากนาง จากนั้นก็เกิดแสงสีส้มทองสว่างจ้าไม่นานแสงนั้นก็หายไป ทว่าอวี้จื่อลู่รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย นานกว่าครึ่งชั่วยามที่นางจมดิ่งอยู่กับสัมผัสนั้น ครั้นลืมตาขึ้นก็พบว่าชายชราผู้นั้นได้หายไปแล้ว เหลือทิ้งไว้แค่นางให้อยู่ในสถานที่แปลกตา พลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็พบว่าภายในพื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยสมุนไพรรูปร่างแปลกตา บ้างก็มีรูปร่างใบห้าแฉกทว่าสีของดอกนั้นแดงฉานราวกับโลหิตหรือก็คือดอกเบญจมาศโลหิต บางดอกก็มีลักษณะเป็นเกลียวสีเหลืองทองเรียกว่าดอกจันทร์นวล ครั้นหันมองไปเรื่อย ๆ กลับพบว่าที่แห่งนี้มีทั้งต้นไม้และผลไม้ที่ทั้งรู้จักและไม่รู้จักเต็มไปหมด ไหนจะทะเลสาบกว้างเมื่อยามกระทบแสงแดดในน้ำก็จะมองเห็นเป็นสีเขียวมรกตหรือเรียกอีกอย่างว่าหยดวารีมรกต ทุกสิ่งที่อยู่ในมิติของนั้นล้วนเป็นสิ่งล้ำค่าหาได้ยาก โดยเฉพาะผลจิตวิญญาณ ผลผลึกม่วง หยดวารีมรกตและหญ้าปราณชีพจร

      นางจึงเดินมุ่งหน้าตรงไปยังบ้านหลังเล็ก เมื่อเปิดประตูเข้าไปกลับพบว่าด้านในมีพื้นที่กว้างขวางเต็มไปด้วยตำรามากมาย ทั้งยังมีเตาหลอมโอสถลายหงส์วางอยู่ตรงโต๊ะด้านซ้ายมือ ถัดไปขวามือเมื่อเปิดเข้าดูก็จะพบกับห้องนอนขนาดกลาง ครั้นสำรวจจนพอใจแล้วอวี้จื่อลู่จึงออกจากมิติ โดยนำผลผลึกม่วงออกมาสี่ผลและหยดวารีมรกตอีกหนึ่งขวดน้ำเต้า

 

      ปลายยามอิ๋น

      หลังจากที่นางออกมา ด้วยความอยากรู้ว่าผลผลึกม่วงจะมีรสชาติอย่างไร จึงกัดเข้าปากไปหนึ่งคำ เมื่อรสชาติของมันแผ่กระจายไปทั่วทั้งปาก พลันดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง 'นะ...นี่มัน รสชาติดีเกินสุดจะบรรยายเลย ขะ...ข้าไม่เคยกินผลไม้ที่มีรสชาติหวานล้ำเช่นนี้มาก่อน' อวี้จื่อลู่ปล่อยให้ตัวเองดื่มด่ำกับความหอมหวานกระจายไปทั่วทุกอณู ค่อย ๆ ซึมซับความรู้สึกดีนี้ ก่อนจะดึงตนเองออกมาจากความรู้สึกนั้นแล้วลงมือกัดกินผลไม้ในมือด้วยความตะกละตะกลาม

      ในช่วงจังหวะที่นางกลืนกินอยู่นั้น ก็รู้สึกได้ว่าเหมือนจะมีพลังบางอย่างกำลังไหลทะลักเข้ามาภายในกายและไหลเวียนไปทั่วทั้งร่าง และเหมือนนางจะขึ้นนึกได้ 'เอ๊ะ! หรือว่านี่จะเป็นพลังลมปราณ' คิดได้เช่นนั้นนางจึงลองทำตามสิ่งที่เคยอ่านจากนิยายในยุคก่อน

      จากนั้นก็ลองตั้งสมาธิเพื่อโคจรลมปราณที่กำลังไหลเวียนอยู่ในร่างกายไปรวมยังจุดตันเถียน แล้วค่อย ๆ ผลักดันลมปราณเพื่อเปิดเส้นชีพจร จนรู้สึกได้ว่าเส้นชีพจรทั้งหมดได้ถูกเปิด ทั่วทั้งร่างกายพลันรู้สึกบางเบาโล่งสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้กระทั่งอาการง่วงนอนหรืออาการเหนื่อยล้าก็ไม่มีให้เห็น

      “อืม สุดยอดไปเลยรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามาก ๆ แบบนี้ต้องแบ่งให้พี่ใหญ่และพี่รองกินด้วย ฮี่ฮี่ฮี่” อวี้จื่อลู่หัวเราะออกมาด้วยความสุขใจ นัยน์ตาซุกซนฉายแววระยิบระยับ สุขใดเล่าจะเท่าเห็นคนในครอบครัวมีความสุข

      ก่อนจะลุกขึ้นบิดไปมาแล้วออกจากที่นอน "วันนี้ทำไก่ตุ๋นหัวไชเท้าดีกว่า" พลางครุ่นคิดไปถึงบุรุษอีกคนที่นางและพี่ใหญ่พากลับมา "ท่านลุงคนนั้นจะฟื้นหรือยังนะ นี่ก็ไม่ได้สติมาหลายวันแล้ว"

      อวี้จื่อลู่หอบพาร่างของตนเองที่เปื้อนจากคราบไคลสกปรกสีดำไหลซึมออกมาตามร่างกาย เพื่อชำระล้างร่างกายให้สะอาดและรู้สึกสดชื่น แล้วมุ่งหน้าเข้าครัวทำอาหาร นานกว่าหนึ่งชั่วยามที่อวี้จื่อลู่ใช้เวลาเคี่ยวน้ำซุปให้เข้าที่และตุ๋นไก่ให้เนื้อเปื่อยนุ่ม ก่อนจะใส่หัวใชเท้าตามลงไปรอจนเปื่อยสุกได้ที่แล้วยกออกจากเตา

      นางทำอาหารเพิ่มอีกสองสามอย่างจนเสร็จเรียบร้อย ไม่นานพี่ชายทั้งสองก็เดินเข้ามาพร้อมกับคนเจ็บที่พากลับมาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าจะหายดีแล้วหลังจากไม่ได้สติมาหลายวัน ทั้งสามเดินเข้ามานั่งไม่รอช้าอวี้จื่อลู่ก็นำทุกอย่างขึ้นโต๊ะ พร้อมลงมือกิน ทว่ากลับมีอีกคนที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ยอมขยับขเยื่อน

      กู้หลงซานยังไม่ทันจะได้เอ่ยคำพูดออกมา ก็มีเสียงเล็กเจื้อยแจ้วของเด็กสาวตรงหน้าขัดขึ้นมาเสียก่อน

      “ทานข้าวก่อนเจ้าค่ะ เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง” พูดจบนางก็หันไปคีบผักและเนื้อใส่ลงไปในจานข้าวของอีกฝ่าย

      กู้หลงซานมองเด็กสาวด้านหน้าด้วยแววตาสั่นระริก ยากจะอธิบายความรู้สึกเหล่านี้ที่พร่างพรูออกมา พลางย้อนคิดไปช่วงที่ยังเยาว์วัยภาพเหล่านั้นต่างผุดพรายขึ้นมาราวกับดอกเห็ด เขายังจำได้ดี

      พร้อมเอ่ยขอบคุณของนาง “ขอบใจเจ้ามาก” ก่อนนำอาหารเข้าปากด้วยมือสั่นระริก

      เด็กทั้งสามเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเริ่มทานอาหาร ต่างก็ลงมือจัดการข้าวในจานของตนเอง มื้อเช้าได้ผ่านไปอย่างเรียบง่าย ในระหว่างที่นั่งกินอาหารอวี้จื่อลู่ แอบลอบสังเกตท่าทางของอีกฝ่าย ทว่าน่าแปลกนางกลับสัมผัสได้ว่าคนผู้นี้มีวรยุทธขั้นสูง ไม่แน่อาจจะอยู่ขั้นปราณนภาระดับแปดเกือบจะขึ้นระดับเก้าแล้วด้วยแข็งแกร่งไม่น้อยเลย คนผู้นี้เป็นใครและไปทำอะไรมากันแน่ถึงได้รับบาดเจ็บขนาดนี้ หวังว่าการที่นางและพี่ชายยื่นมือเข้าช่วยเหลือคงไม่ผลอะไรร้ายแรงตามมาหรอกนะ ทว่ารอบกายกลับมีละอองสีขาวบริสุทธิ์แผ่ออกมาเหมือนกับพี่ใหญ่และพี่รองไม่มีผิด แสดงว่าเป็นคนดีไว้ใจได้สินะ

 

      กู้หลงซานที่มีประสาทสัมผัสไวอยู่แล้วก็รับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ่ง กำลังลอบมองพิจารณาตนเองอย่างเงียบ ๆ เขาจึงปล่อยให้นางทำตามที่ต้องการ 'หากนางอยากรู้ ข้าก็พร้อมให้นางได้รู้ หากจะถามว่าเหตุใดถึงกล้าปล่อยให้เด็กน้อยคนนี้ตรวจสอบ กู้หลงซานเองก็หาคำตอบไม่ได้เช่นกัน รู้แค่เพียงว่าตัวเขานั้นรู้สึกไว้วางใจครอบครัวนี้อย่างไม่มีสาเหตุ ความรู้สึกสงบและผ่อนคลายโดยไม่ต้องคอยปั้นหน้ารับมือคนในตระกูลรองหรือคนอื่น ๆ ทั้งยังไม่ต้องคอยระแวงคนรอบตัวอยู่ตลอดเวลา มันทำให้ปลอดโปร่งดีแบบนี้นี่เอง'

      "ฮะ...แฮ่ม! นังหนู หากเจ้าสงสัยสิ่งใดก็เอ่ยปากถามมาเถอะ หากเป็นเรื่องที่พอจะตอบได้ข้าก็ยินดีตอบ" กู้หลงซานพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

      ในขณะที่อวี้จื่อลู่ลอบมองผู้ใหญ่ตรงหน้าด้วยความลืมตัวก็ถึงกับสะดุ้ง ยามเมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้นมา "ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ข้าเสียมารยาท" พูดจบนางก็หน้าลงคล้ายคนสำนึกผิด ทว่าหาใช่ไม่ 'ขายหน้าเขาไหมล่ะอวี้จื่อลู่ มองเพลินไปนิดหน่อยเอง'

      "ไม่เป็นไร ข้ามิถืออันใด"

      "ข้าถามได้จริง ๆ หรือเจ้าคะ" นัยน์ตาฉายแววระยิบระยับ ปิดความอยากรู้ไว้ไม่มิด

      "ได้สิ อยากรู้สิ่งใดก็ถามมาเลย" น้ำเสียงที่เปล่งออกมามีแต่ความเอ็นดูเด็กน้อย

      "น้องเล็กอย่าเสียมารยาท" อวี้เหิงเยว่ดุน้องน้อยของตน แล้วหันไปพูดกับผู้อาวุโสกว่า "ต้องขออภัยผู้อาวุโสแทนน้องสาวของข้าด้วย นางยังเด็กอยู่โปรดอย่าได้ถือสา"

      "ข้าเองก็อภัยแทนน้องเล็กด้วยขอรับ"

      ยามที่รู้ว่าตนเองได้เสียมารยาทก็รีบเอ่ยออกมาเสียงอ่อยหน้าหงอย "ข้าขอโทษเจ้าค่ะ"

      เด็กพวกนี้ช่างรู้ความยิ่งนัก นับเป็นวาสนาของบิดามารดาที่ให้กำเนิดบุตรและสั่งสอนมาได้ดี ช่างแต่งต่างกับเหล่าลูกคุณหนูเหล่านั้นเสียจริง แค่คิดก็ได้แต่ส่ายหน้าและถอนหายใจ พลางแนะนำตัวเองให้สามพี่น้องได้ฟัง "ข้าชื่อ กู้หลงซาน จะเรียกลุงกู้ก็ได้"

      "เจ้าค่ะลุงกู้ ข้าชื่ออวี้จื่อลู่เป็นน้องเล็กสุด จะเรียกลู่เอ๋อร์ก็ได้นะเจ้าคะ" เด็กน้อยส่งเสียงแนะนำตนเองด้วยไปหน้ายิ้มแย้ม นัยน์ตาดอกท้อฉายแววซุกซนไม่น้อย

      "ข้าอวี้เฉิงรุ่ย เป็นพี่ชายคนรอง เรียกอารุ่ยก็ได้ขอรับ"

      "ข้าอวี้เหิงเยว่เป็นพี่ชายคนโต เรียกอาเยว่ก็พอขอรับ"

      ด้วยเหตุนี้กลับกลายเป็นว่าหนึ่งสตรีสามบุรุษได้พูดคุยกันอย่างออกรส ทำให้กู้หลงซานรู้ว่าสามพี่น้องอวี้นั้นแท้จริงแล้ว ได้สูญเสียบิดามารดาไปเมื่อหลายปีก่อน กระนั้นก็โดนญาติผู้ใหญ่ที่มีศักดิ์เป็นถึงลุงและป้าสะใภ้ขับชื่อออกจากตระกูลและไล่ออกจากบ้าน โชคดีหน่อยที่มารดาของเด็กเหล่านี้ยังพอมีที่ดินและบ้านเก่าทรุดโทรมให้กลับมาอยู่อาศัย แม้ว่าบางครั้งจะโดนป้าสะใภ้และญาติผู้พี่มารังแกทุบตี หยิบจับข้าวของไปไม่น้อยต่างก็พยายามอดทน เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีพระคุณอยู่บ้างจึงมิอาจทำอะไรได้มากมาย จนวันหนึ่งในขณะที่อวี้เหิงเยว่ไม่อยู่บ้านเพื่อนำของป่าไปขายในเมือง จึงทำให้เหลือเพียงแค่น้อง ๆ ของตนประจวบเหมาะกับป้าสะใภ้และญาติผู้พี่มาที่บ้าน สองแม่ลูกนั่นพยายามขนข้าวของทุกอย่างที่คิดว่ามีค่า ไม่เว้นแม้แต่ข้าวสารหรือเครื่องเทศก็ขนไปจนหมด อวี้เฉิงรุ่ยที่กำลังนั่งย่างไก่ให้อวี้จื่อลู่ผู้เป็นน้องเล็กอยู่ด้วยความสุขใจ ก็ต้องตกใจเมื่อตนเองโดนป้าสะใภ้แย่งไก่ไปจากมือพร้อมกับโดนทุบตี น้องเล็กที่กลับมาจากลำธารเห็นว่าพี่รองของตนเองโดนป้าสะใภ้ทำร้าย นางจึงบันดาลโทสะลงไม้ลงมือกับสองแม่ลูกไป ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็ไม่เคยเห็นทั้งคู่มารบกวนอีกเลย 'ช่างเป็นเด็กที่อดทนอดกลั้นดีเสียจริง'

      หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวทุกอย่างแล้ว กู้หลงซานก็เล่าเรื่องราวของตนเองให้เด็กทั้งสามฟังทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาเป็นผู้นำตระกูลและเป็นฝึกยุทธที่อยู่ในขั้นปราณเทวะระดับแปด หรือเป็นคนจากแผ่นดินใหญ่ที่ชาวแคว้นต่างเรียกกันว่าชาวเซียนสวรรค์ ส่วนเรื่องที่โดนมือสังหารตามฆ่านั่นก็เพราะน้องชายของเขากู้เยี่ยนลั่วที่เป็นตระกูลสายรอง ต้องการครอบครองตำแหน่งผู้นำตระกูลสายหลัก จึงได้วางแผนจ้างมือสังหารอันดับหนึ่งจากหอเสี้ยวจันทรา ทำให้เกิดการปะทะขึ้นคนของเขาต่างล้มตายไปไม่น้อย เหลือเพียงอี้ซื่อและอี้ถังที่เป็นคนสนิท แต่ตราบใดที่เขายังไม่ตายมือสังหารเหล่านั้นก็จะไม่รามือ ทำให้อี้ถังล่อพวกมันไปอีกทางเพื่อเปิดโอกาสให้อี้ซื่อพาเขาหนีออกมา จนกระทั้งได้มาเจอกับนางและพี่ชาย ตัวเขาจึงมีชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้

      "ด้วยเหตุนี้ข้าจึงโดนตระกูลสายรองลอบวางยาพิษมาตลอดโดยไม่รู้ตัว และเขาก็เป็นน้องชายของข้า" น้ำเสียงของกู้หลงซานสั่นเครือเจือไปด้วยความผิดหวังและความเสียใจ ยามที่เอ่ยถึงน้องชายของตน

     หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวของกู้หลงซาน ทำเอาสามพี่น้องน้ำตาซึมด้วยความเห็นใจ

      จนกลายเป็นนางที่ทนไม่ไหวเอ่ยออกไป การที่พี่น้องสายเลือดเดียวกันเข่นฆ่ากันเองเป็นอะไรที่นับว่าสะเทือนใจนางไม่น้อย "ลุงกู้ หากท่านยังไม่พร้อมกลับไป จะอยู่ที่นี่กับพวกเราก็ได้นะเจ้าคะ พวกเราสามพี่น้องต่างรักใคร่กลมเกลียวไม่มีทางที่จะเข่นฆ่าพี่น้องตนเองแน่นอน"

      "ขอบใจเจ้ามากเด็กน้อย" กู้หลงซานนัยน์ตาแดงก่ำฉ่ำไปด้วยหยดน้ำตาฉายแววสั่นระริก ทำเอานางถึงกับร้องไห้ตามอย่างช่วยไม่ได้ เดือดร้อนพี่ชายทั้งสองต้องเข้ามากอดปลอบอยู่ชั่วครู่

 

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า