เพียงแค่เงินสามสี่ร้อยบาท ทำให้เธอต้องถึงแก่ความตาย แต่ทำไม๊ ทำไม ต้องมาอยู่ในร่างของเด็กไม่มีหัวคิดแบบนี้ “มีอย่างที่ไหนหนีหมีขึ้นต้นไม้ ใครสั่งใครสอนกัน”
เพียงแค่เงินสามสี่ร้อยบาท ทำให้เธอต้องถึงแก่ความตาย แต่ทำไม๊ ทำไม ต้องมาอยู่ในร่างของเด็กไม่มีหัวคิดแบบนี้ “มีอย่างที่ไหนหนีหมีขึ้นต้นไม้ ใครสั่งใครสอนกัน”
องุ่นยืนจ้องมองร่างไร้วิญญาณของตัวเองด้วยแววตาสั่นระริก หยาดน้ำใสเอ่อคลอล้นขอบตาบวมช้ำ ไหลลงมาเปื้อนแก้มแดง นัยน์ตานั้นมีทั้งความผิดหวัง ความเสียใจและโล่งใจในคราวเดียวกัน อย่างน้อยเธอก็ได้ตามไปอยู่กับพ่อและแม่สักที
ในความเสียใจนั้น คือเธอยืนมองการกระทำของป้าและลุงเขย กำลังวิ่งเข้าไปกอบโกยทุกอย่างของเธอ ที่พอมีค่าหรือขายได้ ไม่แม้แต่จะหันไปสนใจร่างไร้วิญญาณของหลานสาว ที่นอนหมดสติเลือดไหลเจิ่งนอง จากฝีมือของทั้งคู่ แม้ว่าเธอจะเสียใจผิดหวังยังไงทั้งสองคนก็ไม่อาจรับรู้หรือไม่ก็ไม่ได้สนใจ
องุ่นมองพวกเขาใช้เวลาในการเก็บข้าวของของเธอออกไปเป็นเวลาชั่วโมงกว่า ๆ ก่อนจะเดินวกกลับมาที่ร่างของเธอ นางจันทร์เอามือไปแตะหญิงสาวผู้เป็นหลาน กลับพบว่าร่างนั้นเนื้อตัวเย็นเฉียบ ทำเอาผู้เป็นป้าร่างสั้นสะท้านด้วยความหวาดกลัว เพื่อความแน่ใจของตนเองจึงยื่นนิ้วไปตรงจมูก ก็ต้องตกใจจนล้มพับ นั่งมือไม้สั่นอย่างควบคุมไม่อยู่
“ปะ…เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่ได้ฆ่ามัน ไม่ได้ฆ่านะ ฉันไม่ได้ทำ ไม่จริง” หญิงสาววัยกลางคนพึมพำออกมาราวกับคนเสียสติ จนผู้เป็นสามีต้องรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นท่าทางของผู้เป็นภรรยา
“อีจันทร์ เป็นอะไรของเอ็งวะ” นายชัยถามออกไปด้วยความมึนงง
เมื่อได้ยินเสียงของสามีอยู่ด้านข้าง ไม่รอช้าเธอก็พุ่งเข้าไปกอดแขนแน่น เนื้อตัวสั่นระริกอย่างคนขลาดกลัว ก่อนจะชี้ไม้ชี้มือไปยังร่างของหลานสาวที่นอนเลือดอาบอยู่ใกล้ ๆ “พี่…พี่ชัย อีองุ่นมันตายแล้ว” พูดจบเธอก็ร่ำไห้ ลนลาน หวาดกลัว ราวกับคนคลุ้มคลั่ง
“เพ้อเจ้อน่า มันจะตายได้ยังไง เลือดที่ไหลก็แค่หัวแตกนิด ๆ หน่อย ๆ นั่นแหละ จะคิดมากไปทำไมวะ” นายชัยได้แต่ส่ายหัวให้ภรรยาอย่างเอือม ๆ คร้านจะใส่ใจ ถึงนังเด็กนี่มันจะตายจริง ๆ ก็แค่ทำศพ จะเอาอะไรมากมาย
องุ่นได้ยินที่ลุงเขยพูดขึ้นมาก็รู้สึกโมโหจึงก่นด่าทันที “หัวแตกนิดเดียวบ้านแกสิ เลือดท่วมขนาดนี้ ใช้สมองหรือใช้หัวแม่ตีนคิดเนี่ย พูดออกมาได้ แบบนี้มันต้องเจอดีสักที” ด้วยความขุ่นเคือง องุ่นจึงเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะยื่นมือออกไปกระชากหัวลุงเขยสุดแรง
“โอ้ย!!” นายใช่รู้สึกถึงแรงกระชากบนหัว ด้วยความเจ็บจึงร้องออกมาเสียงดัง แล้วหันไปตวาดภรรยา “อีจันทร์มึงจะกระชากหัวกูทำไมห้ะ! มันเจ็บรู้ไหม”
นางจันทร์ได้ยินสามีก่นด่าตนเอง ก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ เธอยังไม่ได้ทำอะไรเลย จึงปฏิเสธไปอย่างไว “ปะ…เปล่านะพี่ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ละ…แล้วนี่เห็นไหม มือฉันก็ยังเกาะแขนพี่อยู่เลย ฉันจะไปกระชากหัวพี่ได้ยังไง” พูดจบทั้งสองหันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย ขนแขนขาตั้งชัน ก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดังลั่น
“ผะ…ผีหลอกกกกก!!” ไม่ต้องรอให้ใครบอก ต่างคนก็ต่างวิ่งหนีกันหัวกระเซอะกระเซิง นายชัยวิ่งไปล้มไปแม้กระทั่งรองเท้าคู่ใจที่หวงนักหวงหนาตกหล่นก็ไม่สนใจที่เอากลับมา เมื่อลุกขึ้นได้อีกครั้งก็วิ่งหน้าตั้งออกไป ทิ้งภรรยาไว้เบื้องหลัง โดยไม่สนใจสิ่งใด
ทางด้านนางจันทร์ก็ไม่น้อยหน้าลุกขึ้นได้ก็หลับหูหลับตาวิ่งออกไปทันที ทว่าวิ่งได้ไม่นานก็สะดุดชายผ้าถุงตัวเอง จนล้มหน้าทิ่มลงไปในบ่อโคลน ปากก็ร้องโวยวายตะโกนลั่นว่าโดนผีหลอก พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากโคลน เพียงไม่นานก็ขึ้นมาสำเร็จ แล้ววิ่งหน้าตั้งออกไปด้วยกางเกงชั้นในตัวเดียว โดยทิ้งผ้าถุงผืนสวยไว้ในบ่อโคลนอย่างไม่คิดเสียดาย
“เป็นไงล่ะ สมน้ำหน้า” พูดจบก็นั่งมองภาพตรงหน้าด้วยความสะใจ ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น อย่างน้อยก่อนตายเธอก็ไม่ได้โศกเศร้าเสียใจมากนัก
เมื่อทั้งสองจากไป ความเงียบโรยตัวเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง เธอนั่งมองทุกอย่างบริเวณรอบ ๆ เพื่อบันทึกไว้ในความทรงจำ จวบจนรุ่งอรุณวันใหม่มาเยือน ร่างโปร่งแสงของเธอค่อย ๆ สลายจางหายไป ความรู้สึกที่เธอได้รับนั้น อบอุ่น จิตใจสงบ ราวกับว่าเธอนั้นได้ปลดบ่วงพันธนาการทุกอย่างลง ไม่หลงเหลือสิ่งใดให้เธอได้ห่วงหาหรืออาลัยอาวรณ์ ไม่นานเธอก็หลุดออกจากห้วงความคิด เมื่อมีเสียงชายชราดังแทรกเข้ามา
“พร้อมหรือยังนังหนู”
องุ่นหันไปตามเสียงก็พบว่า มีชายชราอายุประมาณหกถึงเจ็ดสิบปี ยืนลูบหนวดเคราสีขาวยาวเฟื้อยอยู่ด้านหน้าอย่างสงบมองเธอด้วยความอ่อนโยน เมื่อมองและพิจารณาคนตรงหน้ากลับพบว่า ใช่คนนี้แต่งกายด้วยชุดจีนยุคสมัยโบราณ แต่งกายด้วยชุดสีขาวเรียบง่ายแปลกตา แต่กลับดูสง่างามและสูงส่ง ผมสีขาวยาวพลิ้วไหวตามลม นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน มือถือพัดสีขาวอมฟ้า ลายด้านในเป็นรูปภูผาสวยงาม
องุ่นสังเกตุดูรอบด้านกลับพบว่าสถานที่นี้ดูงดงามแปลกตา สว่างไสว เมื่อสำรวจจนพอใจก็รีบเอ่ยถามคนตรงหน้า “ที่นี่ที่ไหนเหรอคะ แล้วที่ว่าพร้อมหรือยังหมายถึงอะไร” เธอมองคนตรงหน้าด้วยความงุนงงเต็มไปด้วยความสงสัย ‘คนคนนี้มาแปลก ๆ มิจฉาชีพหรือเปล่าเนี่ย’
ชราเหมือนรับรู้ความคิดของเด็กสาวจึงขำออกมาเล็กน้อยก่อนพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ข้าหาใช่คนประเภทนั้นที่เจ้ากำลังคิดอยู่หรอกนะนังหนูเอ้ย”
ได้ฟังคำตอบจากคนตรงหน้าทำเอาเธอสะดุ้งใจหายแวบ ‘อุ้ย! รู้ตัวด้วยแหะว่าคิดอะไรอยู่’ จึงได้ยกมือไหว้แล้วกล่าวขอโทษออกไปอย่างสำนึกผิด “ขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจ แค่คิดเฉย ๆ เอง ก็คนมันสงสัยอ่ะ” พูดจบก็ส่งยิ้มหวานไปให้กลบเกลื่อนความรู้สึกก่อนหน้า
“ช่างเถอะ ข้าหาได้ถือสาไม่” พร้อมโบกสะบัดมือแล้วยื่นไปยังด้านหน้าของเด็กสาว “จงเลือกแล้วหยิบออกมา”
องุ่นมองหินห้าสีด้วยตาเป็นประกาย เห็นหินพวกนั้นแล้วรู้สึกถูกชะตายังไงก็ไม่รู้ จึงยื่นมือไปหยิบออกมาเป็นจำนวนสามลูก ทำเอาชายชราอุทานออกมาเสียงดัง “เพ้ย! นี่นังหนูไยเจ้าหยิบออกมาตั้งสามลูกเล่า เหตุใดจึงไม่หยิบออกมาเพียงแค่ลูกเดียว” ทำเอาชายชราถึงกับกุมขมับ แค่สองยังพอว่า นี่นางถึงกับกล้าหยิบตั้งสาม
“อ้าว ก็ท่านไม่ได้บอกนี่คะ ว่าต้องหยิบกี่ลูก” คิ้วเรียวสวยได้รูปขมวดเข้าหากัน ก็เป็นคนบอกให้หยิบเองไม่ใช่เหรอ นี่เธอผิดว่างั้น องุ่นเบะปากอย่างช่วยไม่ได้
“ไหนเอามาให้ข้าดูสิ ว่าเจ้าหยิบสีใดไปบ้าง” องุ่นไม่รอช้าแบมือเผยให้เห็นลูกหินที่เธอหยิบไป มีทั้งสีเขียว สีดำและสีฟ้า ทำเอาเขาล้มตึงลงไปนั่งอย่างหมดแรง “ไอหยา นี่ข้าทำอะไรลงไป เฮ้อ…ข้าผิดเองที่ไม่ได้บอกเจ้าให้หมดก่อนจะหยิบไป” ชายชราเอ่ยออกมาด้วยความปลงตก เห็นทีเสร็จงานครั้งนี้ ตัวเขาคงต้องไปนั่งรับโทษอีกนานโขเลย
เธอเห็นท่าทางของคนตรงหน้าแล้ว อดรู้สึกผิดไม่ได้ “เอ่อ…ท่านตา เอาคืนไปก็ได้นะคะ เพื่อความสบายใจของท่านด้วย”
“เอาไปเถอะ อย่างน้อยเจ้าก็ได้เลือกไปแล้ว ถือเสียว่าเป็นของขวัญจากข้าก็แล้วกัน”
ได้ยินชายชราตรงหน้าพูดขึ้นมาทำเอาเธอน้ำตาซึม พร้อมยกมือไหว้ชายชราตรงหน้าแล้วเอ่ยขอบคุณอย่างซึ้งใจ “ขอบคุณคุณตามาก ๆ ค่ะ”
“ถึงเวลาแล้วล่ะ ขอให้เจ้าโชคดี” พูดจบก็สะบัดฝ่ามือทำให้ร่างโปร่งแสงจางหาย องุ่นมีความรู้สึกอยู่ ๆ ร่างกายก็เหมือนจะถูกบางอย่างดูดเข้าไปที่ไหนสักแห่งพร้อมกับสติที่ดับหายไปเช่นกัน
องุ่นค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง หันไปมองสิ่งรอบข้างก็ต้องแปลกใจ นี่เธอตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยังหายใจอยู่ ท่านตาคนนั้นส่งเธอมาอยู่ที่ไหนกันแน่เนี่ย สถานที่พวกนี้ก็แปลกตาช่างไม่คุ้นเคยเอาซะเลย ทว่าความคิดเหล่านั้นเป็นอันต้องหยุดชะงัก เมื่อความทรงจำต่าง ๆ ที่เธอไม่รู้จักของเด็กสาวคนหนึ่งค่อย ๆ ไหลทะลักเข้ามาในหัว ภาพแปลก ๆ พวกนั้นทับซ้อนเข้ามาเป็นฉาก ๆ ทำให้องุ่นรู้ว่าเด็กผู้หญิงแต่งตัวซอมซ่อคนนี้มีชื่อว่า อวี้จื่อลู่ อายุสิบเอ็ดหนาว มีพี่ชายอีกสองคน คนโตนั้นมีนามว่า อวี้เหิงเยว่ อายุสิบสี่หนาว และคนรองชื่อ อวี้เฉิงรุ่ย อายุสิบสองหนาว ส่วนบิดามารดาได้เสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน เมื่อไม่มีบิดามารดาคอยปกป้อง สามพี่น้องอวี้จึงโดนลุงและป้าสะใภ้ขับไล่และขับออกจากตระกูล จากนั้นก็พาพวกเขาทั้งสามไปทิ้งไว้ยังบ้านเดิมของมารดา และที่นั่นก็คือ หมู่บ้านม่านหมอก
สาเหตุที่องุ่นเข้ามาอยู่ในร่างของเด็กคนนี้ ก็เพราะอวี้จื่อลู่เดินเข้าไปยังบริเวณป่าชั้นนอกเพื่อหาผักและผลไม้ป่าให้พี่ชายทั้งสองได้กินอย่างเช่นทุกครั้งที่เข้ามา แต่ก็โชคร้ายนักเมื่อนางเจอเข้ากับหมีที่ออกมาจากป่าชั้นใน จึงโดนหมีทำร้ายอาการสาหัส เมื่อเห็นความทรงจำของร่างนี้ องุ่นก็ไม่รู้ว่าจะขำหรือสงสารเด็กตรงหน้าดีจึงได้แต่ส่ายหัวไปมา “มีอย่างที่ไหนหนีหมีขึ้นต้นไม้ ใครสั่งใครสอนกัน”
เธอทำได้แค่ถอนหายใจทิ้ง หันมองไปรอบ ๆ ทำให้รู้ว่าได้ล่วงเข้าสู่วันใหม่ พลางก้มหน้าสำรวจเนื้อตัวตนเองว่ามีบาดแผลตรงที่ใดบ้าง ปรากฏว่าบาดแผลทุกอย่างได้หายสนิท เหลือทิ้งไว้แค่รอยเปื้อนเลือดตรงชุดที่ใส่ จึงเดินไปบริเวณใกล้ๆ เพื่อหาผลไม้ป่ากิน เมื่อท้องน้อย ๆ เริ่มส่งเสียงประท้วง ทว่าสายตาของเธอปะทะเข้ากับผลไม้ลูกเล็กสีแดง จึงอุทานออกมาด้วยความดีใจ “นะ…นี่มันสตรอว์เบอร์รี่ป่า” เธอมองผลไม้ตรงหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย เก็บความตื่นเต้นดีใจไว้ไม่มิด
ไม่รอช้าเธอเดินพุ่งเข้าไปเก็บกินด้วยความสุข “อืม หวานนิดเปรี้ยวหน่อย ถึงจะลูกเล็กไปนิดก็เถอะ” เมื่อกินจนหนำใจแล้วจึงหันมองซ้ายขวา ก็ไปเจอเข้ากับใบไม้ใบใหญ่ รีบเอามาทำกระทง แล้วเก็บสตรอว์เบอร์รี่ป่าใส่ไว้เพื่อนำกลับไปให้พี่ชายทั้งสองได้กิน
องุ่นเดินออกมาได้สักพักก็พบว่าด้านหน้ามีไก่ป่าอยู่หลายตัว พลันนึกถึงกับดักไก่ป่าง่ายๆ ในโลกก่อนด้วยแววตาซุกซน ใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงก็ได้ไก่ป่ามาถึงสองตัว ก่อนกลับก็ไม่ลืมที่จะทำกับดักทิ้งไว้ พร้อมจัดแจงมัดไก่ทั้งสองตัวให้แน่นแล้วนำขึ้นมาพาดบ่า จากนั้นจึงเดินลัดเลาะกลับทางเก่า หากถามว่ารู้ทางออกได้อย่างไร คำตอบก็คือความทรงจำของร่างก่อนนั่นเอง องุ่นออกมาจากป่าใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง ก็เดินมาถึงชายป่า ก่อนหยุดทบทวนและทำใจยอมรับความจริงที่ต้องเผชิญต่อจากนี้
“เอาล่ะพร้อมแล้ว ต่อจากนี้เธอคืออวี้จื่อลู่” เมื่อเรียกความมั่นใจให้ตนเองได้แล้ว จากนั้นก็เดินออกจากป่า กลับพบว่าพี่ชายทั้งสองของนางยืนรออยู่ตรงหน้าลานบ้านอย่างกระวนกระวาย เพราะพวกเขาทั้งสองได้เข้าไปตามหานางในป่าจนทั่ว แม้จะเดินวนหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จึงตัดสินใจกลับออกมาดักรอที่ลานหน้าบ้านตรงข้างชายป่า
อวี้เหิงเยว่และอวี้เฉิงรุ่ยเห็นว่าน้องสาวของตนเองเดินออกมาจากป่าจึงตะโกนเรียกเสียงดังลั่น “ลู่เอ๋อร์!!”
ได้ยินเสียงพี่ชายทั้งสองตะโกนเรียกชื่อนางดังสนั่น ก็พาลตกใจมือไม้อ่อน “ตายละหว่า!! ยังไม่ได้คิดบทพูดเลย แกล้งเป็นลมดีกว่า”
คร่อกกก!!