“สำหรับอาจารย์ผู้หญิงจากมหาวิทยาลัยที่พ่อของผมพูดถึงเมื่อคราวที่แล้ว…” เซี่ยเจ๋อเกาหัว “จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาเธอเป็นยังไง ลืมไปเถอะ อย่าพูดถึงเธออีกเลย”
มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะสนใจคนเหล่านี้ในตอนนี้ ท้ายที่สุด เขาได้ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะแต่งงานกับใคร
“เอาล่ะ นายตัดสินใจเรื่องการแต่งงานของตัวเองแล้ว ตราบใดที่เฉียวเหม่ยผ่านการพิจารณาทางการเมือง ฝั่งฉันไม่มีปัญหา!”
ฉินตงถามด้วยความสงสัยว่า “งั้นนายตกหลุมรักลูกสาวของครอบครัวไหนตั้งแต่แรกเห็นเลยสิ สำหรับนายถึงได้ตัดสินใจเรื่องสำคัญเช่นการแต่งงานในตอนนี้? เธอสวยมากเหรอ?”
เมื่อถึงจุดนี้ เซี่ยเจ๋อทำอะไรไม่ถูกแต่สั่นสะท้าน เธอดู..........บางทีเธออาจจะทำให้คุณกลัวจนช๊อคตายก็ได้
“มาจดทะเบียนสมรสกันก่อน เมื่อผมทำภารกิจเสร็จแล้ว ผมจะพาเธอกลับบ้านเพื่อไปพบพวกคุณ” เขากล่าว
ในเมื่อทั้งสองนอนด้วยกันทั้งคืน พวกเขาต้องแต่งงานกันเพื่อที่จะไม่มีใครวางแผนต่อเฉียวเหม่ยได้ ในเวลาเดียวกัน ปู่เฉียวเฉียงก็จะได้รู้สึกสบายใจมากขึ้นด้วย
แม้ว่า...เฉียวเหม่ยจะดูไม่ค่อยเจริญหูเจริญตานัก ตอนนี้เธอเป็นของเขาแล้ว ในเมื่อมันเป็นเช่นนั้นไปแล้ว เขาจะปกป้องเธอ
“ผมกำลังปฏิบัติภารกิจที่นี่ และไม่คิดว่าจะทำเสร็จได้ในเร็วๆนี้ ได้โปรดช่วยผมทำทะเบียนสมรสให้เสร็จ จากนั้นไปที่หมู่บ้านและเลี้ยงอาหารชาวบ้าน เราจะจัดเตรียมงานแต่งงานและมอบทะเบียนสมรสมให้กับเธอ แล้วเราค่อยพิจารณาเรื่องที่จะทำกัน”
นี่จะทำให้ญาติของเธอยอมแพ้
“ไวปานนั้น?” จู่ๆฉินตงก็นึกถึงบางสิ่งและถามว่า “เป็นไปได้ไหมว่านายยังคงปิดบังบางอย่างจากฉันอยู่?”
เมื่อเซี่ยเจ๋อได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของเขารู้สึกเหมือนถูกไฟไหม้ มันเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันทีและเหมือนเขาจะได้ยินเสียงคร่ำครวญจากคืนนั้นและความสุขที่ได้ปลดปล่อย...
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากวันไนท์สแตนด์ พวกเขาทำมากกว่าหนึ่งครั้งในคืนนั้น ถ้าพวกเขามีลูก… เขาจะไม่ให้ใครนินทาเกี่ยวกับลูกที่จะเกิดมา
“ผมเมาเมื่อตอนวันนั้น ผมเลยพลาดไป...” เซี่ยเจ๋อพูดเบาๆ
“ฮ๊ะ? คนเลว… แกนี่มัน…” ฉินตงได้ยินอย่างชัดเจน ในขณะที่เขากำลังตักเตือนหลานชายของเขา เขายังอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ผู้หญิงแบบไหนที่จะทำให้หลานชายใจแข็งของเขาเสียการควบคุมได้?
ในฐานะผู้ชาย เขารู้ดีว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการสูญเสียการควบคุมเมื่อเมา นั่นเป็นเพียงข้อแก้ตัว ถ้าผู้ชายเมาจริงๆ เขาจะไม่สามารถทำอะไรได้ ถ้าเขาทำอะไรสักอย่าง ถ้าอย่างนั้นเขาเป็นคู่หูที่เต็มใจอย่างแน่นอน
เซี่ยเจ๋อหน้าแดง เขาไม่สูญเสียการควบคุมหลังจากเมาและไม่ได้แสร้งทำเป็นบ้าภายใต้ฤทธิ์แอลกอฮอล์ เขาเผลอตกลงไปในกับดัก…
เซี่ยเจ๋อพรูลมหายใจออกมาและพูดช้าๆ “อย่าบอกพ่อแม่ผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมจะบอกพวกเขาเองเมื่อผมกลับไป”
ฉินตงตอบทันทีว่า “ฉันเข้าใจ นายพูดมันเองเลย เมื่อนายกลับมา!”
เขาจดที่อยู่ของผู้หญิงคนนี้และสังเกตว่าเธอน่าจะเป็นเด็กผู้หญิงในหมู่บ้าน ด้วยบุคลิกลักษณะของน้องสาวและพี่เขยของเขา ตระกูลเซี่ยจะไม่ระเบิดเมื่อพวกเขารู้เรื่องนี้เหรอ?
การระเบิดไม่ใช่ส่วนที่น่ากลัว ส่วนที่น่ากลัวก็คือหากพวกเขาคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้
เขาคิดแตกต่างจากตระกูลเซี่ยคู่นี้ เขารู้สึกว่าผู้ชายที่แท้จริงต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อสร้างอาชีพของเขา เขาต้องแก้ไขทีละช็อตและไม่พึ่งพาวิธีการนอกรีตซึ่งไม่น่าเชื่อถือเลย
นอกจากนี้ ถ้าผู้ชายทำงานหนักเพื่ออาชีพการงานนอกบ้านและไม่มีผู้หญิงที่เขาชอบรออยู่ที่บ้าน เมื่อนั้นชีวิตก็จะรู้สึกว่างเปล่า เขาจะไม่สบายใจแม้ว่าเขาจะมีชีวิตที่ดีก็ตาม
ในที่สุดหลานชายของเขาก็เจอคนที่ถูกใจแล้ว เขาต้องปกป้องการแต่งงานครั้งนี้และไม่ให้คู่รักตระกูลเซี่ยทำลายมัน
หลังจากวางสาย ฉินตงก็ลงมือทันที เขาโทรศัพท์สองสามสายไปที่เขตตะวันออกเฉียงเหนือ และมีคนขึ้นรถไฟไปที่บ้านของเฉียวเหม่ยทันที
เรื่องแต่งงานควรจัดการอย่างรวดเร็ว ไม่ล่าช้า เพื่อให้ทุกคนสบายใจเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย
ทั้งหมดทั้งมวลเขาเป็นลุงของเซี่ยเจ๋อ
ตอนที่ 32: บำรุงพริก
เฉียวเหม่ยนำเกาลัดชามใหญ่ไปแลกกับข้าวครึ่งชั่ง
ในเวลานี้ ธัญพืชมีราคาแพงกว่าขนมขบเคี้ยวอย่างแน่นอน หากเฉียวเหม่ยไม่ได้ปรุงเกาลัดแบบพิเศษและนำมันมาด้วยกลิ่นที่ทำให้มึนเมา ครอบครัวอื่นจะไม่ให้ข้าวเธอแน่นอน
มันเป็นเพราะผลผลิตจากภูเขาเช่นเกาลัด ทุกครอบครัวสามารถออกไปเก็บมันได้เมื่อว่าง ไม่มีครอบครัวใดขาดสิ่งนี้ ดังนั้นจึงไม่มีตลาดสำหรับเกาลัด
ครอบครัวของเฉียวเหม่ยเล็กมาก และคนชราก็อ่อนแอ ในขณะที่คนหนุ่มก็เกียจคร้าน ไม่อย่างนั้น ครอบครัวของเขาคงสามารถเก็บผลผลิตจากภูเขาได้เต็มครึ่งหนึ่งของห้องเก็บแล้ว
หลังจากทำงานเสร็จ เฉียวเหม่ยนึกถึงลูกไก่ ลูกเป็ดและลูกห่านในห้องเก็บของ เธอจึงปรุงเกาลัดครึ่งชามให้พวกมัน หัวใจของเฉียวเฉียงปวดร้าวเมื่อเห็นสิ่งนั้น และเขามองพวกมันอย่างหม่นหมองจากด้านข้าง
“เมื่อถั่วงอกของเราพร้อมขาย เราจะได้รำข้าวมาเลี้ยงพวกมันค่ะ” เฉียวเหม่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
แน่นอนว่าเธอพูดแบบนั้นเพื่อปลอบใจปู่ของเธอเท่านั้น ถ้าเนื้อไก่จะมีรสดี โดยธรรมชาติแล้วพวกมันต้องได้รับอาหารที่ถูกกระตุ้นโดยจี้หยกมากขึ้น
เช้าวันรุ่งขึ้น เฉียวเหม่ยไปตรวจสอบถั่วงอกของเธอเมื่อเธอตื่นขึ้น
ถั่วงอกเริ่มยาวแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็ต้องรีบเปลี่ยนน้ำอย่างรวดเร็วและวางพวกมันใส่ตะกร้า
เฉียวเฉียงยังยืนอยู่ด้านข้างและมองดูถั่วงอกอย่างมีความสุข
ถ้าก้าวแรกง่ายขนาดนั้น ขั้นตอนที่สองจะง่ายกว่าแน่นอน ทันใดนั้นเขาก็เริ่มตั้งตารอมันและตัดสินใจว่าตอนนี้เขาต้องทำงานและทำตะกร้าในสวนให้มากขึ้น
หลังจากเฉียวเหม่ยทำงานเสร็จ เธอแบกไม้ค้ำขึ้นไปบนภูเขาอีกครั้งและหยิบผลไม้และฟืนขึ้นมา
ทุกๆปี เฉียวเฉียงจะเป็นคนไปเก็บฟืน เจ้าของร่างเดิมนั้นขี้เกียจมากและไม่ทำงานบ้านเลย ในปีนี้ สุขภาพของเฉียวเฉียงแย่ลง เขาจึงไม่ได้ไปเก็บฟืนมากมานัก และตอนนี้ มีฟืนในครัวไม่เพียงพอ
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายหลังของเฉียวเหม่ยในการออกไปข้างนอกคือใช้โอกาสนี้กำจัดสิ่งสกปรกบนร่างกายของเธอให้หมด แต่คราวนี้เธอไม่ได้เดินไปที่บ่อน้ำพุร้อน เพราะเธอเห็นเด็กสองสามคนกำลังไปที่นั่น
ข่าวเรื่องเกาลัดเมื่อวานแพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้าน เด็กๆ ที่ไม่มีอะไรทำก็มุ่งหน้าไปยังบริเวณบ่อน้ำพุร้อน
เธอไม่ได้ใส่ใจ คราวนี้ เธอจะแค่เดินไปภูเขาด้านหลัง
บริเวณนี้ของภูเขาไม่สูงมากนัก รอบๆ มีเพียงต้นไม้เล็กๆ ทุกคนมาที่นี่เพื่อทำสิ่งต่างๆ เช่น สับฟืนและเก็บเห็ดเท่านั้น หากพวกเขาต้องการผลผลิตอื่นๆ จากภูเขา พวกเขาต้องขึ้นไปบนภูเขาที่สูงขึ้น
ในช่วงเวลานี้ของฤดูกาล ไม่มีผลไม้ แต่มันก็ไม่สำคัญสำหรับเฉียวเหม่ย เธอสามารถทำผลไม้ได้แม้ไม่มีมัน
เฉียวเหม่ยพบสถานที่ที่มีต้นไม้เขียวขจีและผลักเธอเข้าไปในขณะที่ใบอ่อนและกิ่งก้านใหม่กำลังเติบโตในต้นฤดูใบไม้ผลิช่วยปิดบังเธอ เธอขุดหลุมและฝังเมล็ดพืชไว้ในดิน
คราวนี้ เธอปลูกพริก
หลังจากนั้นไม่กี่นาที พริกก็เปลี่ยนจากเมล็ดเป็นต้นกล้า และจากต้นกล้าสู่ต้นพริกที่โตเต็มที่ ไม่นานก็มีพริกแดงห้อยลงมาจากกิ่ง
เฉียวเหม่ยไม่ได้เด็กพวกมันทันที เธอพยายามสื่อสารกับพวกมันแทน “บอกฉันที อันไหนเผ็ดน้อยที่สุด?”
เธอเคยชอบอาหารรสจัดและรู้สึกว่าทุกอย่างจืดชืดถ้าไม่ใส่พริก แต่เมื่อเธอกินพริกมากเกินไป เธอจะท้องเสีย การกินพริกเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกสำหรับเธอเสมอ
ตอนนี้มีสิ่งที่ดี เธอต้องการพัฒนาพริกชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นหอมแต่ไม่เผ็ด เธอจะได้กินอิ่มและสวมเสื้อผ้าอย่างดีด้วยมือของเธอเอง
เธอชอบกลิ่นหอมของพริกแต่ไม่ชอบความเผ็ดร้อน ทุกครั้งเธอจะปวดท้องเพราะความเผ็ดทำให้อึดอัดมาก
พริกแดงบนกิ่งไม้สั่นไหวและดูเหมือนจะมีเสียงมาจากพวกเขา เสียงแผ่วเบาแต่เธอก็เข้าใจ
หลังจากฟังมานาน เฉียวเหม่ยเด็ดพริกแดงแล้วชิม มันยังคงเผ็ดมาก เธอหยิบเมล็ดพริกออกมาและปลูกมันอีกครั้ง
ไม่กี่นาทีต่อมา พริกแดงเต็มกิ่งก้านอีกครั้ง
“บอกฉันที คุณว่าใครเผ็ดน้อยที่สุด?”