เธอไม่ได้รักเขา แต่หลังจากรู้ว่าผู้หญิงที่เขากำลังจะแต่งงานด้วยนั้นเป็นศัตรูคู่แค้น เธอจึงตัดสินใจเข้าหาเขา ทำให้เขาสับสน มึนงง พัวพันเขาด้วยวิธีต่างๆ นานา
เธอไม่ได้รักเขา แต่หลังจากรู้ว่าผู้หญิงที่เขากำลังจะแต่งงานด้วยนั้นเป็นศัตรูคู่แค้น เธอจึงตัดสินใจเข้าหาเขา ทำให้เขาสับสน มึนงง พัวพันเขาด้วยวิธีต่างๆ นานา
“โอเค” ไป๋ซวนรู้ว่าเธอชอบพูดเล่น ดังนั้นหล่อนจึงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ยังไงก็ตาม ฉันแค่อยากเห็นพี่มีความสุข ไม่รู้สิ คุณยายเป็นห่วงพี่มาก ท่านโทรหาฉันเป็นระยะๆ ให้ช่วยคอยเตือนพี่ว่าอย่าไปยุ่งกับพ่อและแม่เลี้ยง อย่าทำอะไรโง่ๆ”
ไป๋เซินเซินหัวเราะ “ไม่มีทาง”
“จะว่าไปแล้ว ถ้าฉันเป็นพี่ ฉันก็คงใจสลายเหมือนกัน” ไป๋ซวนพูดด้วยอารมณ์ “ดูสิ พี่กับตู้หนานซีต่างก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ของตู้เซินเป่ย แล้วทำไมถึงมีช่องว่างแตกต่างกันขนาดนั้นล่ะ ตู้หนานซีได้ใช้ชีวิตสะดวกสบายอยู่ในบ้านหลังใหญ่ แค่กระเป๋าใบเดียวของเธอ ฉันยังต้องอดน้ำอดข้าวตั้งสี่ห้าปีเลยด้วยซ้ำมั้งถึงจะซื้อได้ แทนที่พี่จะได้ใช้ชีวิตสุดหรูแบบนั้นแต่กลับถูกยายแก่หวังหงข่มเหงรังแก ฉันล่ะสงสัยจริงๆ ว่าหวังหงไม่กลัวผีคุณอามาหักคอบ้างเลยเหรอ”
“หึ” ไป๋เซินเซินรู้สึกขำ “ทำไมต้องรอให้ตายเป็นผีก่อนถึงค่อยแก้แค้นล่ะ ตอนมีชีวิตอยู่สิ่งที่ควรทำกลับไม่ทำ ตอนนี้ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว แต่ดูตอนนี้สิ หวังหงยังอยู่สุขสบายดีไม่ใช่เหรอ”
ไป๋ซวนพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “การตายของคุณอาไม่คุ้มค่าเอาสักเลย ถ้าเป็นฉันนะ ต่อให้ฉันต้องตายก็จะลากคนสารเลวพวกนั้นตายตามไปด้วย แต่...เฮ้อ...ไม่มีประโยชน์จะพูดถึงเรื่องนี้แล้วล่ะ ถึงพวกเราจะโกรธแค้นแค่ไหนก็ได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บช้ำนี้เอาไว้”
พูดจบ ไป๋ซวนก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
ไป๋เซินเซินรู้จักนิสัยของไป๋ซวนดีกว่าใคร จึงไม่คิดจะแบ่งปัน ‘แผนการแก้แค้น’ ให้หล่อนทราบ
ไป๋ซวนเปิดปากพูดอีกครั้ง “ลองคิดดูสิ พ่อของพี่รวยแค่ไหน เขาต้องรู้จักกับพวกเจ้าหน้าที่รัฐแน่นอน ว่าที่สามีของตู้หนานซีก็เป็นใหญ่ในโลกธุรกิจ พี่สาว คนอย่างพวกเราสู้กับคนพวกนี้ไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ”
“เราคุยเรื่องอื่นกันดีกว่า” ไป๋เซินเซินเอ่ย “ดูสิ อากาศวันนี้ดีจัง ทิวทัศน์ก็งดงาม อาหารรึก็แสนอร่อย ดังนั้นอย่าพูดถึงเรื่องที่ทำให้เสียบรรยากาศเลย”
“อืม โอเค” ดูเหมือนไป๋ซวนจะเพิ่งนึกได้ว่าไม่ควรพูดถึงเรื่องเหล่านั้น ขณะที่กำลังหั่นสเต็กอย่างสบายอารมณ์ หล่อนก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย “งั้นเรามาพูดถึงผู้ชายกันดีกว่า”
ไป๋เซินเซินยังไม่ทันได้อ้าปากพูด ไป๋ซวนก็พูดต่อว่า “พี่สาว พี่มีแฟนใหม่แล้วใช่ไหม”
“แฟนใหม่? เก่ายังไม่มีเลยแล้วจะเอาใหม่มาจากไหน”
“ดูพูดเข้า คนสวยอย่างพี่ต้องมีผู้ชายให้เลือกเป็นโขยง พี่แค่ต้องเลือกให้ดีก็พอ แล้วยังพูดว่าไม่มีแฟนอีก”
ไป๋เซินเซินหยิบส้อมและจิ้มเนื้อสเต็กที่ไป๋ซวนหั่น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ “ไม่ได้มีแฟน ไม่ได้ความว่าไม่มีผู้ชายสักหน่อย”
ทั้งสองคนรู้จักกันตั้งแต่เด็ก จึงคุยกันได้ทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องหัวข้อลามกบนเตียงก็เคยคุยกันมาแล้ว ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
“....” ไป๋ซวนเงียบไปครู่หนึ่ง “โอ้ จริงเหรอ ยังไงๆ ไหนเล่าสิ”
ไป๋เซินเซินส่ายหน้า “ก็ไม่ได้มีอะไร”
ตอนที่อายุสิบสอง ไป๋เซินเซินจำได้ว่ามีผู้ชายมากมายตามจีบเธอนับไม่ถ้วน พอเข้ามหาวิทยาลัยเธอก็ได้พบกับผู้ชายคนหนึ่ง แต่ว่าตอนนี้เราไม่ได้ติดต่อกันแล้ว
เขาเป็นรุ่นพี่หนึ่งปี ไล่ตามจีบเธออย่างบ้าระห่ำถึงสองปี ตอนนั้นเป็นฤดูหนาวที่อากาศติดลบหลายองศา ลมกรรโชกแรงที่ด้านนอก ทุกคนต่างซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มนวมอันอับอุ่น เขากลับตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปซื้ออาหารเช้าแสนอร่อยมาให้เธอที่ด้านล่างหอและทำอย่างนั้นจนฤดูหนาวผ่านไป เธอคิดว่าเขาต้องคลั่งรักเธอมากแน่ๆ ถึงได้ทำอย่างนั้น อีกอย่างเขาก็หน้าตาหล่อเหลาและตัวยังสูงอีก แถมยังเป็นนักศึกษาหัวกะทิอีกต่างหาก ครอบครัวของเขาก็ร่ำรวยมาก เป็นผู้ชายในฝันของสาวมหาลัยในขณะนั้น