ผู้ชายคนนั้นยังคงไม่เชื่อใจเธอเหมือนเดิม ต่อให้ผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายไปแล้ว เจียงจื่อเฉิงก็ยังร้ายกาจกับเธออยู่ดี
เธอไม่เข้าใจเลย ผู้ชายคนนี้จงเกลียดจงชังเธอขนาดนี้เลยหรือ?
คิดมาถึงตรงนี้ เด็กสาวก็รู้สึกถึงความขมขื่นที่พลันก่อตัวขึ้นมาในใจอย่างควบคุมไม่ได้ ช่วงเวลาแห่งชีวิตใหม่นี้ เธอพบว่าตัวเองยังไม่สามารถลบเลือนเรื่องราวในอดีตออกไปได้เลย
เมื่อเจอเจียงจื่อเฉิง เธอไม่อาจวางท่าเฉยเมยขณะที่เผชิญหน้ากับเขาได้ เธอเคยหลงรักเขา จะให้ลืมง่าย ๆ แบบนั้นได้อย่างไรกัน แม้ทุกวันนี้จะหลงเหลือไว้เพียงความเกลียดชัง เพียงแต่ความหลังในอดีตเหล่านั้นยังคงฉายเข้ามาในหัวอยู่ตลอดเวลา
นี่เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เธอเคยรักเขา หากแต่ตอนนี้เกลียดเขาไปแล้ว ความเกลียดชังประเภทนี้ต่างจากความเกลียดชังประเภทอื่น เหมือนกับไม่ใช่ความเกลียดล้วน ๆ แต่มีสิ่งอื่นปะปนอยู่ด้วย และมักจะรู้สึกอ่อนไหวเพราะสิ่งเหล่านั้นอยู่เสมอ บางครั้ง คำพูดและการกระทำของเขามักทำให้เธอเสียการควบคุมตัวอยู่บ่อย ๆ คล้ายกับว่าความฉุนเฉียวทั้งหมดของเธอมีสาเหตุมาจากเขา
เจียงจื่อเฉิงบอกว่าไม่ใช่คนที่ฆ่าเธอ ตามสัญชาตญาณเธอไม่ยอมเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง เธอต้องการยกความผิดทั้งหมดไปให้เจียงจื่อเฉิง และต้องการเค้นคอเอาความจากเขาว่าทำไม แต่...ทำไมล่ะ?
ก็แค่ความรักที่มันไปไม่รอดเท่านั้นเอง
เธอไม่ใช่คนโง่ เธอสามารถมองทะลุถึงความปรารถนาของผู้ชายและไฟริษยาของผู้หญิงมีต่อตนเองได้อย่างง่ายดาย แต่กลับไม่ยอมอ่านความในใจที่แท้จริงของเขา
ความรู้สึกแบบนี้ มีแต่จะทำให้อึดอัดมากขึ้น มนุษย์นั้นช่างแปลกประหลาด สิ่งที่ไม่อาจไขว่คว้ามักทำให้จดจำไม่ลืมอยู่เสมอ
สวี่เฉียวหลีได้แต่ถอนหายใจเฮือก บังคับตัวเองไม่ให้ไปคิดถึงเรื่องนี้อีก ก่อนจะหมุนตัวเดินไปอาบน้ำ เมื่อออกจากห้องน้ำ บนหน้าจอโทรศัพท์ก็มีสองข้อความส่งเข้ามา ข้อความแรกส่งมาจากเจียงเสี่ยวอี้ ถ้อยคำละมุนละม่อม ใจความก็คือหากสวี่เฉียวหลียินดีจะพูด อีกฝ่ายก็จะรับฟัง หากไม่ยินดี เธอก็จะไม่บังคับ
สวี่เฉียวหลีไม่ได้ตอบกลับ อีกข้อความถูกส่งมาจากซูหว่านถิง ไม่รู้ว่าหล่อนไปเอาเบอร์โทรศัพท์ของเธอมาจากไหน สิ่งที่ถามก็ยังคงเป็นเรื่องที่ว่าเธออยากจะเป็นคณะกรรมการนักเรียนหรือเปล่า
การถามย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ บวกกับอาการเร่งเร้า จะไม่ให้เกิดดความสงสัยก็คงยาก
สวี่เฉียวหลีพิจารณาชั่วครู่ แล้วตอบกลับไปว่า ‘ก็ได้’ พร้อมกับส่งอีโมจิหน้ายิ้มต่อท้ายไปรูปหนึ่ง
ซูหว่านถิงตอบกลับมาอย่างไว : งั้นพรุ่งนี้เธอไปแจ้งคุณครูที่ห้องปกครอง 307 แล้ว ห้าโมงเย็นมาที่ห้องประชุม 305 พวกเราจะได้มาประชุมย่อยกัน
เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น สวี่เฉียวหลีเพิ่งกลับมาจากออกกำลังกาย สวี่สี่ชิงก็รีบฉุดกระชากลากถูเธอไปที่สวนดอกไม้หลังบ้านอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าวิตกกังวล "ช่วงนี้เธอได้ติดต่อกับเหยียนหนานเซิงหรือเปล่า?"
"เปล่าค่ะ" สวี่เฉียวหลีตอบ "มีอะไรหรือเปล่าคะ?"
"เธออย่าได้ติดต่อกับเหยียนหนานเซิงเป็นอันขาดเลยนะ!" สวี่สี่ชิงเอ่ยเตือน แววตาเคร่งเครียด "แล้วก็อย่าไปข้องเกี่ยวกับคนตระกูลเหยียน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม"
เด็กสาวเงียบไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยว่า "อืม ได้ค่ะ"
หากใช้วิธีกระตุ้นอาจจะทำให้สวี่สี่ชิงพูดความจริงออกมาได้ ว่าทำไมถึงไม่ให้เข้าใกล้เหยียนหนานเซิง แต่เธอก็ไม่ได้ถามออกไป ท้ายที่สุดแล้วสวี่สี่ชิงก็เป็นพี่สาวของเจ้าของร่างนี้ ซ้ำยังเป็นห่วงเจ้าของร่างมากด้วย
เธอดูออกว่าพี่สาวคนนี้จะต้องมีความรู้สึกผิดต่อเจ้าของร่างเป็นแน่ ความรู้สึกแบบนี้อาจมีต้นตอมาจากเรื่องนั้น
"พี่คะ พี่จะบอกเรื่องเหยียนหนานเซิงกับฉันได้เมื่อไหร่?" สี่เฉียวหลีเอ่ย
สวี่สี่ชิงชะงักงัน สวี่เฉียวหลีไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เป็นครั้งแรก เธอหลุบตาต่ำเล็กน้อย สุดท้ายจึงพูดเพียงว่า "พี่กลัวเธอจะรับไม่ได้ เธออาจจะลืมไปแล้ว สภาพของเธอตอนนั้น...ย่ำแย่มาก ทำเอาพ่อแม่กับพี่ตกใจกันหมด ต่อมาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ พอช่วงที่สูญเสียความทรงจำไป อาการของเธอก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นพี่จะไม่บอกเธอ ไม่อยากให้เธอเปลี่ยนไปเป็นเหมือนตอนนั้นอีก"
เด็กสาวครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะดึงมือผู้เป็นพี่มากุมไว้เบา ๆ มุมปากคลี่รอยยิ้มปลอบโยน "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะไม่ถามอีกแล้ว"
"ดีแล้ว ใส่ใจเรื่องเรียนให้มากหน่อยแล้วกัน อีกไม่นานก็จะสอบแอดมิดชั่นแล้ว ถึงตอนนั้นก็เลือกมหาวิทยาลัยที่ชอบดี ๆ"
เรื่องที่เด็กสาวครุ่นคิดมาตลอดทางคือ ทำไมจู่ ๆ สวี่สี่ชิงถึงได้เคร่งเครียดขึ้นมา มีทางเดียวที่เป็นไปได้คือต้องมีคนมาพูดอะไรกับเธอ จึงทำให้เธอกลายเป็นแบบนี้
หนำซ้ำเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันกับเธอและเหยียนหนานเซิง…
คณะกรรมการนักเรียนเหรอ ? หรือจะเป็นการเอาคืนเหตุจากภาพยนตร์เรื่องจากลา หากเป็นเรื่องคณะกรรมการนักเรียนนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าเหยียนหนานเซิงกับซูหว่านถิงรู้จักกัน และเรื่องเหล่านี้ก็เกี่ยวข้องกับเหยียนหนานเซิงด้วย ทว่าเบาะแสกับข้อมูลที่ไม่แน่นอนมีน้อยมาก สวี่เฉียวหลีไม่อาจฟันธงได้ว่าแท้จริงแล้วเรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร
เธอยังจำได้ ตอนที่เจอเหยียนหนานเซิงครั้งแรกหลังจากได้ชีวิตใหม่ อีกฝ่ายพูดเหมือนกับรู้จักกันมานานแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้มากว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะต้องเป็นคนที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน
และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน.... เช่นนั้นก็เป็นไปได้สูงว่าคนที่ชื่อ ALICE ก็คือเหยียนหนานเซิง และเป็นคนที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังเว็บกระทู้นี้ แต่เรื่องอื่นนอกเหนือจากนั้น สวี่เฉียวหลียังไม่สามารถปะติดปะต่อกันได้ ทำได้แค่อาศัยข้อมูลเพียงน้อยนิดมาตั้งสมมติฐานอย่างง่ายๆ ก็เท่านั้น
เวลาที่เหลือระหว่างคาบ สวี่เฉียวหลีไปที่ฝ่ายปกครอง กรอกแบบฟอร์ม เมื่อได้เอกสารยืนยัน ก็ถือเป็นการเข้าร่วมคณะกรรมการนักเรียนโดยสมบูรณ์
ส่วนเจียงเสี่ยวอี้ก็ทำเหมือนว่าเมื่อวานไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น ไม่เอ่ยถึงเลยแม้แต่คำเดียว เมื่อได้เวลาทานอาหารกลางวัน สวี่เฉียวหลีถึงได้พูดขึ้นว่า "ฉันรู้ว่าเธอมีคำถามมากมายที่อยากจะถาม แต่ตอนนี้ฉันยังตอบอะไรเธอไม่ได้ ถ้าเกิดวันนั้นมีจริง เมื่อถึงเวลา ฉันจะบอกเธอเอง"
เจียงเสี่ยวอี้นิ่งอึ้ง ก่อนจะพูดว่า "ฉันเข้าใจแล้ว ไม่เป็นไรนะ ฉันก็แค่สงสัยนิดหน่อยเท่านั้นเอง ฉันมักจะรู้สึกว่าเธอมีความลับที่ปกปิดเอาไว้มากมาย บางครั้งก็รู้สึกว่าฉันห่างกับเธอไกลแสนไกล"
ทันทีที่เด็กน้อยพูดจบก็หัวเราะคิกคิก "แบบนี้เหมือนกับสารภาพรักเลยอ่ะ"
"พูดออกมาเถอะ ฉันไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรทั้งนั้นแหละ" สวี่เฉียวพูดด้วยรอยยิ้ม
สิ้นเสียงนั้น ก็มีใครคนหนึ่งมานั่งข้าง ๆ เธอ เฉินฉือวางจานข้าวลงแล้วเอ่ยว่า "ไง กำลังคุยเรื่องของพวกผู้หญิงกันอยู่เหรอ?”
"ก็ใช่น่ะสิ นายรีบไปเลยนะ จะเข้ามาสอดทำไม!" เจียงเสี่ยวอี้พูดอย่างนึกรังเกียจ
"ไม่ได้พูดกับเธอสักหน่อย ยัยขาสั้น" เด็กหนุ่มสวนกลับ
เจียงเสี่ยวอี้เอ่ยด้วยความฉุน "ขานายยาวมากงั้นแหละ"
เฉินฉือยิ้ม ไม่พูดอะไร แล้วหันไปหาสวี่เฉียวหลี "เธอเป็นสมาชิกคณะกรรมการนักเรียนแล้วเหรอ?"
"ข่าวไปไวขนาดนี้เชียว?" เด็กสาวถาม
"คนในกลุ่มต้องรู้อยู่แล้ว ก็เลยมาถามเธอดู เธอยอมเข้าร่วมเองอย่างนั้นเหรอ?" เด็กหนุ่มถาม
สวี่เฉียวหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย "จะยังมีใครบังคับฉันได้อีกล่ะ?"
"ครับ ๆ ๆ เจ๊หลีของเราเจ๋งสุดยอดเลย กระผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอกครับ ก็แค่ถามดู แต่เธอระวังผู้หญิงที่ชื่อซูหว่านถิงคนนั้นเอาไว้หน่อยนะ"
มือที่กำลังจับตะเกียบของเด็กสาวชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยถามว่า "ทำไมล่ะ? มีเหตุผลหรือเปล่า?"
"ไม่มี ฉันพูดคุยกับหล่อนไม่มาก แต่เท่าที่ฉันเคยเจอผู้หญิงมา ซูหว่านถิงคนนี้ไม่ใช่ไก่อ่อนเลย”
เด็กสาวหันมาพูดว่า "ซูหว่านถิงน่าจะสนใจในตัวนายมากเลยนะ"
"ว่าไงนะ? คนแบบนายยังมีคนมาสนใจด้วยเหรอ" เจียงเสี่ยวอี้กระแหนะกระแหน
"ก็ดีกว่าเธอแล้วกัน ยัยขาสั้น" เมื่อเด็กหนุ่มทานอาหารคำสุดท้ายจนหมดก็หันหลังเดินจากไป
เจียงเสี่ยวอี้ยังไม่ทันจะได้ด่ากลับ เฉินฉือก็เดินตัวปลิวจากไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้ เธอก็สะบัดหน้าไปหาสวี่เฉียวหลี "ขาฉันสั้นมากจริง ๆ เหรอหลีหลี?"
"ไม่สั้นนะ ทั้งยาวแล้วก็สมส่วน ดูดีสุด ๆ เลยล่ะ" เด็กสาวกล่าว
เจียงเสี่ยวอี้ฉีกยิ้มออกมาทันใด นิ่งไปครู่หนึ่ง เธอก็ถามต่อว่า "จริงสิ เธอคิดดีแล้วเหรอที่จะเป็นคณะกรรมการนักเรียน? ฉันเองก็รู้สึกว่ายัยซูหว่านถิงนั่นไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน"
"เอาเป็นว่าฉันจะไม่เข้าใกล้ซูหว่านถิงมากจนเกินไปแล้วกัน วางใจเถอะ"
ตอนเย็น สวี่เฉียวหลีตามหาห้อง 305 จนพบ ซูหว่านถิงและเฉินฉือรออยู่ในห้องเรียนเรียบร้อยแล้ว แต่คนอื่น ๆ ยังมาไม่ถึง
ซูหว่านถิงยิ้มตาหยีเดินเข้ามาหา ดึงมือสวี่เฉียวหลีขึ้นมาจับไว้เบา ๆ แล้วเอ่ยว่า "สวี่เฉียวหลี ดีใจมาก ๆ เลยที่เธอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา"
สวี่เฉียวหลีดึงมือออกอย่างแนบเนียน จากนั้นก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วตอบกลับเบา ๆ "อืม"
ซูหว่านถิงพูดอย่างยิ้มแย้มคล้ายกับไม่ถือสาเลยสักนิด "เธอนั่งก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวพวกเขาก็มาแล้ว"
เวลาล่วงเลยไปสักพัก กู้เหลียงกับเหล่าคุณชายอีกสองสามคนก็เดินเข้ามา คนเหล่านั้นล้วนเป็นสมาชิกของคณะกรรมการนักเรียน สีหน้ากู้เหลียงเมื่อเห็นสวี่เฉียวหลีแปลกประหลาดไปเล็กน้อย เหลือบมองสองสามครั้งก็เบือนสายตาไปทางอื่น
ตระกูลกู้ถือเป็นตระกูลที่ร่ำรวยขึ้นมาได้เป็นอันดับต้น ๆ ในบรรดาแปดตระกูล บารมี อำนาจและความมั่งคั่งก็มีมากกว่าใครอื่น แต่คุณชายคนนี้กลับกลายเป็นคนปัญญาเขลา ถูกคนอื่นใช้เป็นเครื่องมือในโรงเรียน
หากคนในตระกูลกู้รู้เข้าล่ะก็…
สวี่เฉียวหลีมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ เธอปรายตามองไปยังเฉินฉือที่อยู่ด้านข้าง ปรากฎว่าอีกฝ่ายก็กำลังจับจ้องเธออยู่ พอทั้งสองสบตากัน เฉินฉือก็เสมองไปทางอื่น
ซูหว่านถิงเห็นว่าทุกคนมากันพร้อมเพรียงแล้ว จึงได้กระแอมพูดขึ้นว่า "การประชุมในวันนี้มีด้วยกันสองเรื่อง เรื่องแรกก็คือการต้อนรับสมาชิกใหม่ของพวกเรา สวี่เฉียวหลี"
เสียงปรบมือดังเปาะแปะ นอกจากเฉินฉือแล้ว คนอื่น ๆ ดูจะไม่ต้อนรับเธออย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าอย่างไรสวี่เฉียวหลีก็เคยเป็นแค่สวะระดับ D มาก่อน ทว่าตอนนี้กลับไต่ขึ้นมาอยู่ระดับ A ไปแล้ว
ตั้งแต่เรื่องอันดับนี้ถูกเปิดโปงออกสู่สาธารณชน ความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นทั้งหมดก็เริ่มหายไปจากโรงเรียน มีเพียงคนที่เคยอยู่ระดับสูง ๆ เท่านั้นที่ยากจะทำใจยอมรับคนที่อยู่ระดับต่ำให้ขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับตัวเองได้
ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาต่างก็เป็นเด็กกันทั้งนั้น ในช่วงที่ยังไม่ได้ถูกป้อนค่านิยมอย่างถูกต้อง ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะหลงผิด
“เรื่องที่สอง ฉันคิดว่าจำเป็นต้องยกเลิกระบบชนชั้นของโรงเรียน” ซูหว่านถิงกล่าว
สวี่เฉียวหลีเริ่มแปลกใจ ทั้งที่ประธานคณะกรรมการนักเรียนคือคนที่ชื่อกู้เหลียง ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ คนที่ถือสิทธิในการตัดสินใจในเรื่องราวต่าง ๆ กลับเป็นซูหว่านถิง
เฉินฉือและกู้เหลียงไม่ปริปาก กลับเป็นสมาชิกคนอื่น ๆ อีกสิบกว่าคนที่ประท้วงขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
ซูหว่านถิงจึงพูดขึ้นอีกว่า "พวกเรามาเริ่มโหวตกันตอนนี้เลย"
แต่ไม่มีใครขยับเขยื้อนเลย ผ่านไปครู่หนึ่งกู้เหลียงจึงพูดตัดรำคาญ "ฉันไม่คัดค้าน"
เฉินฉือถึงได้พูดตามขึ้นมาว่า "ไม่คัดค้าน"
แต่ละคนจึงค่อยๆ พากันเอ่ยปาก เสียงข้างมากบอกว่าไม่คัดค้าน ขณะโหวตคะแนน ทุกคะแนนเสียงออกมาว่าเห็นด้วย ขอเพียงเฉินฉือและกู้เหลียงเลือกแล้ว พวกเขาถึงจะแสดงเจตจำนงของตัวเอง พูดตามตรงก็คือขอแค่กู้เหลียงกับเฉินฉือออกคำสั่ง ทุกคนก็จะเชื่อฟัง ทว่าคนที่ออกคำสั่งกลับเป็นซูหว่านถิง
"สวี่เฉียวลหลีล่ะ? เธอมีความเห็นยังไง?" ซูหว่านถิงหันไปถามสวี่เฉียวหลีพลางยิ้มอ่อนหวาน