หลี่เยี่ยนไม่ได้พูดอะไร คนที่จางเจี๋ยฝากฝังมา เธอพูดอะไรมากไม่ได้ อาศัยเพียงความสามารถและต้นทุนของเด็กสาวก็สามารถเอื้อมถึงงานคุณภาพสูงได้แบบสบาย ๆ แต่จะคว้ามาได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับสวี่เฉียวหลีแล้ว
“ยังไม่ต้องรับงานรายการไปชั่วคราวนะคะ แล้วถ้ามีงานแนวปาร์ตี้สังสรรค์ก็ให้อ้างว่าฉันยังเป็นเยาวชนไปเลยค่ะ” สวี่เฉียวหลีกล่าว
“เข้าใจแล้ว” หลี่เยี่ยนตอบรับ แต่สิ่งที่เธอคิดในใจคือ คนไหนที่ชวนสวี่เฉียวหลีไปชนแก้วด้วยโดยไม่รู้ว่าเธอเป็นคนของประธานเจียง นั่นไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรอกเหรอ?
“วันนี้รบกวนพี่เยี่ยนแล้วค่ะ” สวี่เฉียวหลีเอ่ย แล้วหันหน้าไปกล่าวแสดงความเกรงใจกับคนขับรถ
หลังจากที่สวี่เฉียวหลีลงจากรถเดินเข้าไปในโรงเรียน คนขับจึงเอ่ยขึ้นด้วยความคันปาก “พี่เยี่ยนครับ ทำไมยัยหนูนี่ถึงได้เคี่ยวขนาดนี้? หลานอิ่งไม่เซ็นสัญญากับศิลปินหน้าใหม่ประเภทนี้ไม่ใช่เหรอครับ?”
“อย่าถามในสิ่งที่ไม่ควรถามให้มันมากนัก เธอเป็นคนของประธานเจียง” หลี่เยี่ยนตอบ
คนขับสีหน้าเปลี่ยนวูบ ก่อนจะพูดฉอเลาะว่า “พี่เยี่ยน เมื่อครู่ผมปากพล่อยเองแหละครับ” จากนั้นก็ออกรถโดยไม่ปากมากอะไรอีก
หลังจากเฉินลี่ถูกไล่ออก ห้องของสวี่เฉียวหลีก็เปลี่ยนครูประจำชั้นคนใหม่เป็นครูภาษาจีนคนก่อน เธอเห็นว่าเด็กสาวกลับมาเรียนในช่วงบ่ายแล้ว จึงถามไปว่า “นักเรียนสวี่ อาการดีขึ้นแล้วเหรอ?”
“ค่ะ” เด็กสาวพยักหน้า
เจียงเสี่ยวอี้เขยิบเข้ามาใกล้ “ฮึฮึ เธอไปงานเปิดกล้องมาใช่ไหม?”
“เธอไปล้วงลึกจากข่าวซุบซิบที่ไหนมาอีกแล้วล่ะ?” สวี่เฉียวหลียิ้มกริ่มถาม
“ก็เธอไม่บอกฉันสักคำ พี่กู้เฉินลงรูปบนไทม์ไลน์ ฉันถึงได้รู้ว่าเธออยู่ที่นั่นด้วย” เจียงเสี่ยวอี้พูด
“ฉันบอกเธอแล้ว ตอนนั้นเธอไม่ตั้งใจฟังเอง” สวี่เฉียวหลีเอ่ย ก่อนจะหันไปมองโทรศัพท์ของอีกฝ่าย กู้เฉินลงรูปบนไทม์ไลน์จริง ๆ แต่มีเพียงรูปเดียว นอกนั้นก็ไม่มีอะไรอีก
“ให้ฉันส่งวีแชทพี่กู้เฉินให้เธอเอาไหม?” เจียงเสี่ยวอี้ถาม
สวี่เฉียวหลีดึงสายตากลับมา “ไม่เป็นไร แค่ทำงานร่วมกันก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องแอดวีแชทหรอก ไว้ตอนที่มีเรื่องต้องติดต่อพูดคุยแล้วค่อยว่ากัน” สวี่เฉียวหลีหยุดพูดไปชั่วครู่ แล้วพูดต่อว่า “ช่วงนี้กู้เฉินสบายดีไหม?”
“ไม่ค่อยดีเท่าไร ตั้งแต่พี่สะใภ้เสียชีวิต อาการเขาก็ไม่ค่อยดีเลย แต่หลัง ๆ มานี้ก็เริ่มดีขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ” จากนั้นเจียงเสี่ยวอี้ก็โน้มตัวเข้ามากระซิบใกล้ๆ “ก่อนหน้านี้พี่กู้เฉินเก็บตัวเงียบเป็นเดือนเลย กว่าจะออกมาให้ทุกคนเห็นหน้าเห็นตาอีกครั้ง แต่พี่เขาผอมลงไปเยอะมาก เฮ้อ พี่เขาต้องเข้มแข็งแค่ไหนเนี่ย”
“จริงเหรอ?” สวี่เฉียวหลีรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นแปลบขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ “วันนี้ฉันก็เห็นว่าเขายังดี ๆ อยู่นะ”
“อื้ม งานที่ต้องไปออกช่วงนี้มีเยอะมาก ฉันกลัวว่าเขาจะไม่ยอมออกมา แต่ความสัมพันธ์ของเขากับพี่สะใภ้แน่นแฟ้นมากจริง ๆ ก็อย่างว่าแหละ เขาสองคนโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ๆ นี่นะ” เจียงเสี่ยวอี้พูดอย่างละเหี่ยใจ หลังหมดคาบ คุณครูไป๋ครูประจำชั้นคนใหม่ก็เอ่ยว่า “สวี่เฉียวหลี ตามครูไปที่ห้องพักครูหน่อย”
เมื่อมาถึงห้องพักครู คุณครูไป๋ก็หยิบเอกสารฉบับหนึ่งออกมา แล้วพูดว่า “เธอคิดจะเป็นคณะกรรมการนักเรียนไหม? คะแนนของเธอโดดเด่นมาก อีกอย่างครูก็คาดหวังไว้เยอะว่าเธอจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งที่มาทำหน้าที่ของคณะกรรมการนักเรียนได้”
“การเข้าไปอยู่ในนั้น นอกจากได้คะแนนเพิ่มแล้ว ยังมีข้อดีอย่างอื่นอีกไหมคะ?” เด็กสาวถาม
คำถามนี้ของสวี่เฉียวหลีทำให้ครูไป๋จุกในลำคอ ไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรไปชั่วขณะ “ครูจำได้ว่าเธอเคยรับโทษไปครั้งหนึ่ง ถ้ามาเป็นกรรมการนักเรียน ก็จะสามารถลบล้างความผิดนั้นได้”
“หนูลงแข่งวิ่งสามพันเมตรหญิงระดับมณฑลไปแล้ว แบบนี้ก็ชดเชยแทนได้เหมือนกันค่ะ”
ครูไป๋ถอนหายใจ แล้วยิ้มอย่างจนปัญญา “เอาะเถอะ ครูจะไม่บังคับเธอแล้วกัน แค่ลองถามดูน่ะ ถ้าเธอไม่ยินยอมก็ไม่เป็นไร”
“หนูจะลองคิดดูอีกทีค่ะ” สวี่เฉียวหลีเอ่ย
“ถ้าคิดได้แล้ว เธอก็ไปหาหัวหน้าฝ่ายบริหารได้เลยนะ” ครูไป๋กล่าว
“ค่ะ”
อีกฝ่ายคะยั้นคะยออยากจะให้เธอเป็นคณะกรรมการนักเรียนให้ได้ เห็นได้ชัดว่าคงกำลังคิดจะทำอะไรบางอย่าง ไม่อย่างนั้นคงไม่รบเร้าชักชวนเธอขนาดนี้
การซ้อมเรื่องแปรผันดำเนินมาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว สิ้นเดือนก็จะถึงเวลาเริ่มต้นการแข่งขัน การแข่งขันหน้ากากทองคำแตกต่างจากการแข่งขันอื่น ๆ พอสมควร เพราะใช้กฎกำจัดคู่แข่ง โรงละครและสถานีโทรทัศน์จะออกอากาศพร้อมกัน สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือ กลิ่นอายของการเป็นวาไรตี้โชว์จะไม่เข้มข้นมาก ละครสามเรื่องเท่ากับสามการแข่งขัน โดยจะนับคะแนนโหวตของผู้ชม คะแนนโหวตจากการวิเคราะห์ของคณะกรรมการในงาน จนไปถึงคะแนนโหวตของผู้กำกับมืออาชีพสิบคน แล้วนำจำนวนคนมารวมกันเพื่อแบ่งอันดับเป็นขั้นตอนสุดท้าย
แต่การแข่งขันหน้ากากทองคำไม่ได้รับความสนใจบนเว่ยป๋อเลย เนื่องจากละครเวทีไม่ได้รับความนิยมมากเหมือนเมื่อก่อน คนวัยหนุ่มสาวที่ชอบดูละครเวทีมีจำนวนลดน้อยลงไปทุกที ส่วนดาราละครเวทีเองก็เริ่มผันตัวไปทางด้านภาพยนตร์และโทรทัศน์แล้วเช่นกัน
แต่ว่าละครเวทีเรื่องใหม่ของเหยียนหนานเซิงกลับได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม โดยละครเรื่องนี้มีชื่อว่า ‘สองชีวี’ ซึ่งภาพโปสเตอร์โปรโมทเป็นรูปผู้หญิงสองคนที่มีคาแรคเตอร์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เหยียนหนานเซิงรับบทผู้หญิงสวมแว่นที่ดูไม่สู้คนคนนั้น
และคำโปรยของเรื่องสองชีวีได้ถูกเขียนเอาไว้ว่า : พี่น้องร่วมสายเลือดที่มีนิสัยต่างกันสุดขั้ว อาเยว่ผู้ธรรมดาต่ำต้อยเฝ้าริษยาอาชิงผู้เป็นพี่สาวที่สวยและฉลาดมาโดยตลอด เหตุจากการได้กุญแจนำโชคมาโดยบังเอิญจึงทำให้สลับร่างกัน แล้วเรื่องร้ายที่ซุกซ่อนอยู่ในครอบครัวอันอบอุ่นของคนเหล่านั้นก็เริ่มเผยตัวออกมาทีละนิดๆ…
ตอนเห็นข่าวนี้ ไป๋หลิงหลิงด่าสาปส่งเหยียนหนานเซิงว่าหน้าด้านเสียยกใหญ่ แต่โจวหรันกลับยังสุขุมใจเย็น “คุณไม่กลัวว่าพวกเราจะเป็นฝ่ายไปเลียนแบบหล่อนเหรอ?”
“ไม่มีทาง มีแต่คนที่กมลสันดานแบบเหยียนหนานเซิงนั่นแหละ ถึงจะทำเรื่องต่ำช้าแบบนี้ได้” ไป๋หลิงหลิงค้านเสียงแข็ง จากนั้นก็เหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถามออกไปด้วยความคลางแคลงใจ “คุณไม่เครียดเลยเหรอ? ละครของคุณถูกคนอื่นก๊อปไปนะ!”
“ที่จริงบทอาชิงเป็นของนักแสดงอีกคนก่อนหน้า แล้วเธอก็ออกไปด้วยเหตุผลนี้”
“มิน่าล่ะ ฉันถึงได้เข้ามาแทนกลางคัน ถ้าอย่างนั้นคุณก็หมายความว่าสวี่เฉียวหลีรู้เรื่องนี้ด้วยงั้นสิ?” หญิงสาวถาม
“ใช่ครับ ละครเรื่องนี้ชื่อว่าแปรผัน ความจริงมันถูกดัดแปลงมาจากนิยายที่มีชื่อเดียวกัน แต่หลังจากหนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์ก็มีคนอ่านไม่มากนัก” โจวหรันกล่าว
“ถึงว่าล่ะ ทำไมพวกคุณถึงได้นิ่งกันขนาดนี้” ไป๋หลิงหลิงยิ้มออกทันที แล้วก็ไม่เคร่งเครียดเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว “ใช้ได้เลยนี่นา ฉันชอบลูกไม้นี้ของหลีหลีน้อยนะ”
ขณะกำลังพูดอยู่นั้น สวี่เฉียวหลีก็เดินเข้ามา “คุยอะไรกันคะ ดูสนุกกันจัง”
“โอ๊ย คุยเรื่องอะไรน่ะเหรอ เธอเห็นข่าวนี้หรือยัง?” ไป๋หลิงหลิงส่งโทรศัพท์ให้เด็กสาวด้วยท่าทางตื่นตัว
สวี่เฉียวหลีอ่านดูแวบหนึ่ง แล้วส่งโทรศัพท์คืนกลับไป “เหยียนนานเซิงมั่นใจในตัวเองมาก แล้วก็ขึ้นแสดงก่อนพวกเราวันหนึ่งด้วย”
“ใช่ แถมยังบอกว่าเป็นการแสดงเพื่อการกุศลอีกต่างหาก ฉันมองเรื่องนี้ขาดมาก ถ้าพวกเราไม่มีหลักฐานอยู่ในมือ ไม่แน่ว่าตอนนั้นอาจจะถึงคราวซวยกันหมด” หญิงสาวพูดเสริม แต่ชั่วขณะนั้นก็เกิดกังวลขึ้นมาอีก “แต่เหยียนหนานเซิงเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายมาก เราทำแบบนี้จะไม่เป็นไรจริงเหรอ?”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ” สวี่เฉียวหลีส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “เหยียนหนานเซิงจะต้องตรวจสอบงานต้นฉบับของบทละครนี้อย่างแน่นอน ความนิยมของหนังสือเล่มนี้อยู่ในระดับปานกลาง แต่พักหลังมามันค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้น สิ่งที่เราต้องทำคือปล่อยข่าวออกไปตอนกลางเดือนก็พอ ถึงตอนนั้นพวกเราก็มาดูกันบนเวทีว่าใครจะเหนือกว่ากัน”
จากนั้นเด็กสาวก็หันไปพูดกับโจวหรันว่า “ช่วงนี้เหยียนหนานเซิงจะต้องติดต่อคุณมาแน่นอน ถึงตอนนั้นคุณก็เล่นตัวไปแล้วกันค่ะ”
“เข้าใจแล้ว วางใจเถอะ” โจวหรันผงกศีรษะรับคำ
พอมีข่าวออกมา แน่นอนว่าต้องมีคนในทีมเริ่มกังวลใจขึ้นมา เพราะมันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ พลาดพลั้งเพียงนิดเดียวก็สามารถกระทบไปถึงหน้าที่การงานของตัวเองได้เลย การซ้อมยังไม่ทันได้เริ่มก็มีคนเข้ามาซักถามโจวหรันแล้ว
สวี่เฉียวหลีมองไปยังคนกลุ่มนั้นพร้อมเอ่ยว่า “ทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟค่ะ ทนยังไงก็ยังคงทนอยู่แบบนั้น วันนั้นจะเป็นล้อเทียมหรือม้าแท้ เดี๋ยวก็ได้รู้กัน”
ในเมื่อสวี่เฉียวหลีพูดเช่นนี้ สมาชิกในทีมจึงสงบจิตสงบใจลง เพราะใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าแม่หนูวัยละอ่อนคนนี้สนิทสนมกับประธานเจียง คนหนุนหลังมีอำนาจล้นฟ้า ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร คนอื่น ๆ ก็รู้สึกอุ่นใจ
เมื่อจิตใจอันสั่นคลอนของทีมงานสงบลง การฝึกซ้อมจึงดำเนินต่อไป…
สถานที่ฝึกซ้อมที่สวี่เฉียวหลีหามาคือห้องซ้อมใต้ดินแห่งหนึ่ง คนส่วนใหญ่ที่มาซ้อมที่นี่เป็นวงดนตรีใต้ดิน ในอดีตเธอเคยมากับกู้เฉินและวงของเขาเพื่อซ้อมเพลงที่นี่ ต่อมาเมื่อมีชื่อเสียง บริษัทจึงได้จัดห้องซ้อมแยกให้ต่างหาก หลังจากนั้นพวกเขาจึงไม่ค่อยได้มาที่นี่อีกเลย
เธอต้องการมาที่นี่เพื่อตามหาบรรยาศเก่า ๆ แต่เฉินฉือกลับรู้สึกทึ่งพอสมควรที่สวี่เฉียวหลีรู้จักสถานที่แบบนี้ด้วย ในขณะที่เจียงเสี่ยวอี้ไม่เคยมาสถานที่แบบนี้มาก่อน เธอจึงอดไม่ได้ที่จะมองสำรวจไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เสี่ยวอี้อย่าวิ่งซนนะ” สวี่เฉียวหลีกำชับอย่างไม่วางใจเล็กน้อย แล้วค่อยหันหลังเดินไปจ่ายเงิน
เจียงเสี่ยวอี้พยักหน้ารับคำ แต่ก็ยังไม่วายอยากจะเข้าไปสำรวจด้านในอย่างซุกซน
รอจนสวี่เฉียวหลีหันกลับมาก็ไม่พบทั้งสองแล้ว ขณะที่เตรียมจะโทรศัพท์หา เฉินฉือก็เดินถือชานมสามแก้วเข้ามา มองไปรอบ ๆ แล้วถามขึ้นว่า “ยัยขาสั้นนั่นล่ะ?”
พูดเพิ่งจบ ก็ได้ยินเสียงแก้วแตก พร้อมด้วยเสียงกรีดร้องของเจียงเสี่ยวอี้ดังมาจากใกล้ ๆ ทั้งสองรีบวิ่งเข้าไปดู เห็นชายร่างกำยำแต่งตัวสีสันฉูดฉาด ย้อมผมสีแดงแสบตาคนหนึ่ง ยืนอยู่ตรงหน้าของเจียงเสี่ยวอี้
“นี่ ยัยเด็กบ้า เดินดูตาม้าตาเรือบ้างสิ!” ชายร่างกำยำผลักเจียงเสี่ยวอี้ออกไป แล้วใช้มือปัด ๆ เสื้อผ้าของตัวเอง “เสื้อตัวนี้แพงมากเลยนะ เธอมีปัญญาชดใช้หรือเปล่า?”
เจียงเสี่ยวอี้ทำหน้าเหลอหลา แล้วถามกลับว่า “เท่าไหร่คะ? ฉันชดใช้ให้คุณก็ได้”
ชายคนนั้นเห็นว่าเธอหลอกง่าย จึงยิ้มกริ่ม “หนึ่งแสน”
เจียงเสี่ยวอี้เริ่มควานหาเงินในกระเป๋า
สวี่เฉียวหลี : …. เธอล่ะอยากจะถามเจียงเสี่ยวอี้จริง ๆ ว่าตอนอยู่ต่างประเทศโดนคนเอาเปรียบแบบนี้บ่อยหรือเปล่าเนี่ย
“เจียงเสี่ยวอี้!” ทันทีที่สวี่เฉียวหลีตะโกนห้าม ผู้ชายสวมหน้ากากและสวมแว่นดำคนหนึ่งก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กสาวแล้ว ในเวลาเดียวกันนั้น เฉินฉือก็เข้าไปคว้าตัวเจียงเสี่ยวอี้ให้ถอยออกมาหลบอยู่ด้านหลังเขา
ตอนนี้สวี่เฉียวหลีรู้สึกว่าตัวเองดูเป็นส่วนเกินเล็กน้อย
“ไสหัวไป!” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงขรึม
“แกเป็นใครวะ?” ชายหนุ่มแสดงความไม่ยอมอ่อนข้อ มองเฉินฉือตั้งแต่หัวจรดเท้า “คิดจะกร่างเหรอเด็กน้อย อยากจะลองกำลังตัวเองดูหรือไง…โอ๊ย!”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ชายคนนั้นก็ร้องเสียงหลง เพราะชายสวมหน้ากากคนนั้นพุ่งเข้าไปบิดข้อมือของเขา ชายชุดสีฉูดฉาดเจ็บจนต้องร้องโอดครวญ “ผิดไปแล้วๆ! พี่ใหญ่ ผมผิดไปแล้ว!”
ชายสวมหน้ากากปล่อยมือ ชายชุดสีแสบตาคนนั้นจึงวิ่งตาลีตาเหลือกหนีไป
เจียงเสี่ยวอี้ไม่รู้ตัวสักนิดเลยว่าเมื่อครู่ตัวเองกำลังจะถูกคนอื่นรีดไถ หากแต่หันไปมองชายสวมหน้ากากอยู่หลายรอบ จากนั้นใบหน้าก็ฉีกยิ้มกว้าง “กู้...”