Your Wishlist

พลิกลิขิตฟ้าคว้าใจเธอ (บทที่ 46 : พี่สาว)

Author: อักษรเงิน

เมื่อถูกใส่ร้าย! อดีตนักแสดงสาวก็ตกหลุมพลางและถูกฆ่าตายในที่สุด ทว่าสวรรค์ยังมีตาให้เธอกลับมาเกิดใหม่ และคราวนี้เธอต้องการแก้แค้นและเพื่อค้นหาความจริง! คราวนี้เธอตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ตกหลุมพรางของความรักอีก แต่! ใครบอกเธอได้ว่าทำไมอดีตสามีที่น่ารำคาญถึงตามหลอกหลอนเธอทั้งวันทั้งคืนแบบนี้!

จำนวนตอน :

บทที่ 46 : พี่สาว

  • 28/06/2565

แม้แต่การปรับเปลี่ยนอารมณ์ยังเป็นไปได้อย่างลงตัว การรับส่งบทกันระหว่างไป๋หลิงหลิงและสวี่เฉียวหลีที่ถ่ายทอดออกมา ให้ความรู้สึกเข้ากันดีอย่างน่าทึ่ง สัมผัสได้ถึงความอึดอัดและความสะเทือนใจที่ส่งผ่านมายังผู้ชม

 

พอตกเย็น ทุกคนต่างซ้อมเนื้อเรื่องในฉากที่สามได้เกือบจะเข้าที่เข้าทางแล้ว แม้ฝีมือการแสดงของไป๋หลิงหลิงจะยอดเยี่ยม แต่เรื่องประสบการณ์การแสดงบนเวที เธอก็ยังน้อมรับคำชี้แนะจากรุ่นพี่ในสายงาน โดยไม่ถือตนเลยแม้แต่น้อย ส่วนเรื่องการเปลี่ยนตัวนักแสดงก็ไม่มีใครคัดค้านแต่อย่างใด

 

หลังเสร็จจากการซ้อม ไป๋หลิงหลิงก็เซ็นสัญญาโดยไม่คิดลังเลแม้เพียงนิด เธอพูดกับสวี่เฉียวหลีว่า "ที่ฉันเซ็นสัญญาเพราะเห็นแก่หน้าซินหรานหรอกนะ ถ้าแค่เจียงจื่อเฉิงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสอง ฉันไม่มีทางมาแน่"

 

"ไม่ชอบคุณเจียงขนาดนั้นเลยเหรอครับ?" โจวหรันถามกลั้วหัวเราะ

 

"ก็ใช่น่ะสิ อย่าบอกนะว่าพวกคุณอยู่ข้างไอ้ชายชั่วเจียงจื่อเฉิงนั่น ทั้งๆ ที่ตอนมีชีวิตอยู่ สวี่ซินหรานช่วยพยุงพวกคุณขึ้นมาได้ขนาดนี้ ฉันอดคิดไม่ได้เลยว่าเขานั่นแหละที่ทำร้ายเธอ"

 

"ใครทำร้ายสวี่ซินหรานนะ?"

 

ทุกคนต่างสะดุ้งตกใจกับเสียงของชายหนุ่มที่โพล่งขึ้นจากหน้าประตู สวี่เฉียวหลีขมวดคิ้วชนกัน ก่อนจะพบว่าเจียงจื่อเฉิงกำลังยืนอยู่ด้านนอก เธอควรจะจุดธูปสักดอกจริงๆ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงชอบทำตัวเป็นวิญญาณตามติดนัก โผล่ไปซะทุกที่

 

ไป๋หลิงหลิงเองก็นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเหยียดปากคว่ำ "ฉันยังไม่ได้พูดสักหน่อย สวี่ซินหรานไม่มีทางกระโดดตึกฆ่าตัวตายแน่ ก็คงจะมีแต่คนที่ไม่รู้จักเธอดีเท่านั้นแหละ ที่จะเชื่อข่าวลือพวกนั้น"

 

"คุณกับซินหรานไม่ได้สนิทอะไรกัน พูดแบบนี้ ไม่คิดว่ามันตลกเกินไปหน่อยเหรอ?" เจียงจื่อเฉิงเหลือบมองอีกฝ่าย เงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า "โจวหรันบอกว่าวันนี้จะมีนักแสดงใหม่เข้ามา ผมเลยตามมาดู แล้วก็ถือโอกาสบอกธุระกับพวกคุณด้วยว่าผมหาฝ่ายนายทุนที่ยินดีจะมาร่วมทุนให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ของพวกคุณได้แล้ว"

 

"ธุระเล็กน้อยแค่นี้ต้องลำบากคุณมาบอกด้วยตัวเองเลยเหรอคะ?" สวี่เฉียวหลีเอ่ย น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยรักษาน้ำใจเท่าไรนัก

 

"ดูเธอจะชอบขัดเจ้านายตัวเองจังนะ?" ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม

 

"ไม่กล้าหรอกค่ะ ฉันจะเลิกงานแล้ว" เด็กสาวเอ่ยเสียงเย็นชา ก่อนจะหันหลังเตรียมตัวกลับ

 

"เดี๋ยวก่อน คนอื่นออกไปก่อน ยกเว้นเธอ" เจียงจื่อเฉิงออกคำสั่ง

 

"ทำไมคะ? จะทำตัวเป็นสมภารกินไก่วัดเหรอ?" สวี่เฉียวหลีถามยียวน

 

โจวหรัน “…..”

 

ไป๋หลิงหลิง “…..”

 

ทั้งสองสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ  ไป๋หลิงหลิงเป็นห่วงสวี่เฉียวหลีพอสมควร จึงบอกกับเธอไปว่า "ฉันรออยู่ข้างนอกนะ"

 

"เธอกับไป๋หลิงหลิงสนิทกันขนาดนี้เลยเหรอ?" เจียงจื่อเฉิงถามพลางเหลือบตามองไปทางหญิงสาวที่เดินไปรออยู่ด้านนอก

 

"ประธานเจียงมีอะไรจะพูดกับฉันก็รีบพูดมาเถอะค่ะ" เด็กสาวเร่ง

 

ชายหนุ่มสีหน้าไม่สบอารมณ์ ยัยเด็กนี่ชักจะพูดจาลามปามขึ้นทุกวันแล้ว "เสี่ยวอี้บอกว่าเธอถูกที่โรงเรียนเรียกตัว เลยจะให้ฉันออกหน้าช่วย"

 

เด็กสาวโปรยยิ้มเสแสร้ง "รบกวนประธานเจียงแล้ว แต่ฉันจัดการเองได้ค่ะ"

 

คนคนนี้ไม่ว่าจะไม้อ่อนไม้แข็งก็ใช้ไม่ได้ผลจริงๆ แม้เจียงจื่อเฉิงจะประหลาดใจในตัวสวี่เฉียวหลีหลายส่วน แต่มันเป็นความประหลาดใจที่มาคู่กับความอดกลั้น เห็นได้ชัดว่าการกระทำของเด็กสาวยั่วโมโหจนเขาหัวเสียขึ้นมาแล้ว ชายหนุ่มยิ้มหยัน  "ได้ สมแล้วที่เธอเป็นเพื่อนกับสวี่ซินหราน ความสามารถในการทำร้ายคนอื่นนี่ไม่แพ้กันเลยจริงๆ!"

 

ใบหน้าเจียงจื่อเฉิงเคร่งขรึม เขาเดินออกไปพร้อมกับกระแทกประตูตามหลัง จนทำให้ไป๋หลิงหลิงตกใจกับการกระทำนี้ของเขา เธอรีบรุดเข้าไปดูสวี่เฉียวหลีด้านใน แต่พบว่าอีกฝ่ายยืนอึ้งอยู่กับที่ด้วยสายตาเหม่อลอย

 

"เขาคุยอะไรกับเธอน่ะ?"

 

เด็กสาวตื่นจากภวังค์ ก่อนจะส่ายหน้า "ไม่มีอะไรค่ะ คุณพักอยู่ที่ไหนคะ? ฉันจะให้คนขับรถไปส่ง"

 

"บ้านเดี่ยวแถวๆ หนานต้าเฉียวน่ะ" ไป๋หลิงหลิงตอบ เธอมองสวี่เฉียวหลี พบว่าสีหน้าอีกฝ่ายยังดูกระวนกระวายอยู่ จึงถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง "ไม่เป็นไรแน่นะ?"

 

"ไม่เป็นไรค่ะ" เด็กสาวยิ้ม กลบเกลื่อนความรู้สึกภายในใจของตนเอง

 

หากแต่คำพูดนั้นของเจียงจื่อเฉิงทำให้จิตใจเธอไม่เป็นสุข เธออยากจะถามเหลือเกินว่าใครทำร้ายใครกันแน่ เขาดื่มเหล้าจนเมามายแล้วกดเธอลงบนเตียงเพื่อทำเรื่องพรรค์นั้น ซ้ำปากยังเอาแต่พร่ำเรียกชื่อเหยียนหนานเซิงไม่หยุด เขาลืมเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้วอย่างนั้นหรือ?

 

นับตั้งแต่ข่าวลือเหล่านั้นดังกระฉ่อน เจียงจื่อเฉิงก็ไม่เคยเชื่อใจเธออีกเลย แม้แต่สีหน้าดีๆ ก็ยังไม่เคยให้เธอได้เห็นเลยด้วยซ้ำ เขาเกลียดเธอ สายตาคู่นั้นทำให้เธอรู้สึกหัวใจเย็นเฉียบ

 

การเกี่ยวดองระหว่างตระกูลในครั้งนั้น เธอเป็นคนที่หวั่นไหวก่อน และเป็นคนแพ้ในคราวเดียวกัน

 

ตอนนี้เขาพูดว่าไงนะ? พูดว่าเธอคือคนที่ทำร้ายคนอื่น? สวี่เฉียวหลีจึงได้แต่รู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ เธออยากจะลากเขากลับมาพูดให้รู้เรื่องจริงๆ ว่าสรุปใครทำร้ายใครกันแน่ ทว่าเธอเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่มีประโยชน์ เพราะอย่างไรเจียงจื่อเฉิงก็คือคนไร้หัวใจอยู่วันยังค่ำ

 

ดูจากที่เธอแค่ท้าทายอำนาจเขานิดหน่อยเมื่อครู่ เจ้าตัวก็โมโหปึงปังออกไปแล้ว

 

คิดได้ดังนี้ เด็กสาวเริ่มรู้สึกสบายใจขึ้นมา ไม่ว่าจะอย่างไรเจียงจื่อเฉิงก็เป็นคนจิตใจหยาบกระด้าง เธอจะไม่มีวันตกไปอยู่ในเงื้อมมือของเขาอีกเด็ดขาด

 

ขณะที่ขายหนุ่มเดินทางกลับบ้านก็ทำหน้าบึ้งตึงตลอดเวลา เขาไม่เข้าใจเลย ผู้หญิงคนเดียว ไม่สิ แม้แต่คำว่าผู้หญิงก็ยังไม่ใช่ ก็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนเดียว เอ่ยวาจาไม่กี่คำ ก็ทำให้เขาโมโหได้แล้ว แถมยังทำให้เขาเก็บมารำคาญใจอีกต่างหาก

 

หากเขาต้องการกำจัดยัยเด็กนี่ทิ้งก็แสนจะง่ายดาย ทว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็ยังเป็นผู้เยาว์ หากเขาทำอะไรลงไปจริงๆ ก็เลวผิดมนุษย์มนาแล้ว แถมยัยเด็กบ้านี่ก็ชอบพุ่งเข้าหาปลายกระบอกปืนของเขาเหมือนไม่กลัวตายอยู่เรื่อย แล้วยัยเด็กแสบนี่ก็ยังเป็นเพื่อนกับเจียงเสี่ยวอี้อีก เขาเลยทำอะไรได้ไม่มากนัก

 

ขณะที่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้น สายโทรศัพท์จากเจียงเสี่ยวอี้ก็โทรเข้ามา  "พี่คะ เรื่องที่ฉันบอกพี่ พี่จะช่วยหรือเปล่า?"

 

"ไม่ช่วย" ชายหนุ่มตอบอย่างไร้เยื่อใย

 

"ทำไมพี่เป็นคนแบบนี้ล่ะ เฉียวหลีไม่ได้มีความผิดอะไรเลยนะ โรงเรียนเส็งเคร็งนั่นเห็นว่าเธอรังแกง่ายแถมประวัติไม่ได้ใหญ่โตอะไร เลยคิดจะยัดข้อหานี้ใส่เธอหลายครั้งหลายคราว แล้วทำไมพี่...."

 

พอได้ฟังเสียงบ่นฉอดๆ ของผู้เป็นน้อง ชายหนุ่มก็นวดคลึงหว่างคิ้วด้วยความรู้สึกปวดศีรษะ "ผ่านมาตั้งหลายครั้งแล้ว เธอเคยเห็นเพื่อนเธอโดนเอาเปรียบได้บ้างไหมล่ะ? วันๆ เอาแต่ให้ข้าวคนไม่รู้คุณ คุณหนูสามตระกูลเจียงอย่างเธอว่างจนเอ๋อไปแล้วหรือไง?"

 

เจียงเสี่ยวอี้หยุดบ่น เว้นช่วงไปสักพักก่อนจะถามกลับว่า "เฉียวหลีไม่ยอมให้พี่ช่วยเหรอ?"

 

"แล้วยังไง?" เจียงจื่อเฉิงตอบกลับด้วยความหงุดหงิด ทำไมน้องสาวคนนี้ถึงไม่ได้ความฉลาดของเขาไปสักครึ่งเลยนะ  "แล้วเธอก็เลิกวิตกไปโดยเปล่าประโยชน์ได้แล้ว เด็กนั่นไม่เหมือนคนที่จะเอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์จนตรอกหรอก รีบไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวจะหยุดสูงเอา"

 

"ฉันเลยวัยเจริญพันธุ์มาตั้งนานแล้ว! พี่ไม่สนใจความรู้สึกฉันสักนิดเลย ฉันคิดถึงพี่สะใภ้!"

 

ได้ยินเจียงเสี่ยวอี้เอ่ยถึงสวี่ซินหราน เจียงจื่อเฉิงรังแต่รู้สึกว่าห้าคำนี้ก็เหมือนกับดอกไม้น้ำแข็ง มันกระตุ้นอารมณ์ที่ไม่เบิกบานเป็นทุนเดิมของเขาให้ทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก  "บอกแล้วไงว่าอย่าพูดถึงเธอ"

 

"พี่คะ...ฉันคิดว่าพี่ซินหรานเป็นคนดีมากนะ"

 

"งั้นเหรอ? ต่อให้เป็นฆาตกรที่ฆ่าพี่สาวของฉัน เธอก็จะยังคิดว่าผู้หญิงคนนั้นดีอยู่อีกเหรอ!?" เจียงจื่อเฉิงพ่นประโยคนี้ออกมาด้วยความเดือดดาล ควบคุมตัวเองไม่ได้ไปชั่วขณะ

 

เขาตะเบ็งเสียงดัง บ่งบอกถึงความหัวเสียขั้นสุด เจียงเสี่ยวอี้เงียบกริบ คราวนี้ผู้เป็นพี่จึงตระหนักได้ถึงอารมณ์ของตนเอง เขาผ่อนน้ำเสียงให้อ่อนลง แล้วเอ่ยว่า "รีบเข้านอนเถอะ นอนดึกจะไม่ดีต่อผิวพรรณเธอด้วย"

 

เด็กน้อยยังคงถือสายอยู่ เจียงจื่อเฉิงรอว่าเธอจะพูดอะไร ผ่านไปสักครู่ เธอถึงพูดขึ้น "ฉันคิดว่า...พี่สะใภ้ไม่ใช่คนแบบนั้น บางทีพี่อาจจะเข้าใจผิดก็ได้ แน่นอนว่านี่ก็เป็นแค่...ความคิดของฉันเท่านั้น งั้นพี่รีบพักผ่อนเถอะ ฝันดีค่ะ"

 

"ฝันดี"

 

พอกดวางสาย ชายหนุ่มรู้สึกว่าจิตใจของตนไม่อาจสงบลงได้ สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะสวี่เฉียวหลี ส่วนอีกสาเหตุเป็นเพราะคำพูดของไป๋หลิงหลิงกับเจียงเสี่ยวอี้

 

สวี่ซินหรานประหนึ่งมีเสน่ห์อันลึกลับ ที่ทำให้บางคนอิจฉา บางคนหลงไหล และบางคนก็คล้อยตามไปกับเสน่ห์แบบนั้นของเธอ

 

ก็เหมือนกับไป๋หลิงหลิงและเจียงเสี่ยวอี้นั่นแหละ รวมถึงกู้เฉินอีกคน พวกเขาทั้งสามมักออกหน้าแทนสวี่ซินหรานอยู่เสมอ แล้วไหนจะเรื่องวุ่นวายที่ลือกันไปทั่วบ้านทั่วเมืองเหล่านั้นอีก ขณะที่ทุกคนเขาตัดหางปล่อยวัดเธอกันหมดแล้ว แต่สามคนนั่นก็ยังแก้ตัวแทนเธอกันไม่หยุดหย่อน

 

เขายังคงจำได้ดี ในวันแรกที่ข่าวประกาศออกไป กู้เฉินก็รีบถ่อมาหาเขา เพื่อบอกกับเขาว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นแบบนั้น มีคนบอกกู้เฉินว่าเกิดเรื่องกับสวี่ซินหราน เขาจึงรีบร้อนตามไป แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ คนที่รออยู่ที่นั่นกลับกลายเป็นนักข่าวกลุ่มหนึ่งที่ไปดักซุ่มรออยู่ก่อนแล้ว

 

ครุ่นคิดมาถึงตรงนี้ เจียงจื่อเฉิงก็ตีหน้าเคร่งขรึม เขาจุดบุหรี่สูบหนึ่งมวน นิ้วเรียวยาวแนบขนาบไปกับก้านบุหรี่ เมื่อรสขมของนิโคตินที่แผ่ซ่านออกมาจากควันสีเทาลอยคลุ้งอยู่เต็มโพลงปาก จิตใจของเขาจึงเริ่มสงบขึ้น

 

“เชื่อใจ…สวี่ซินหรานงั้นเหรอ?” ริมฝีปากบางพึมพำ

 

เขานิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะถอนหายเฮือกหนึ่ง ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาเบอร์หนึ่ง “ฉันจะขอให้นายสืบเรื่องหนึ่งให้ฉันหน่อย”

 

เสียงจากปลายสายดังเซ็งแซ่ มีเสียงตะโกนสั่งเครื่องดื่มและเสียงเพลงดังอึกทึก แถมด้านข้างยังไม่วายมีเสียงผู้หญิงพูดพะเน้าพะนอดังแทรกขึ้นมา “นายน้อยเฉิน ทำไมไม่ดื่มล่ะคะ หรือฉันยังน่าสนใจไม่พอเหรอ…”

 

“นายไปหาที่เงียบๆ คุยได้ไหม!” เจียงจื่อเฉิงนิ่วหน้าพูด

 

“รอเดี๋ยวนะ”

 

ผ่านไปสักพักเสียงจากปลายสายก็เงียบสงบลงในที่สุด เฉินอันจึงเอ่ยขึ้นว่า “ว่าไงครับ นายน้อยเจียง งานการไม่รัดตัวแล้วเหรอ? ออกมาดื่มกันหน่อยสิ ที่นี่มีดาราเบอร์เล็กๆ อยู่สองสามคน งานดีมาก”

 

“เข้าประเด็นเลยดีกว่า ฉันอยากให้นายสืบเรื่องหนึ่งให้หน่อย” เจียงจื่อเฉิงกล่าว

 

“เรื่องอะไร ให้ทีมงานลับระดับล่างอะไรนั่นของตระกูลเจียงนายสืบให้ก็ไม่ได้เหรอ?” เฉินอันเอ่ย

 

“ยังไงตระกูลนายก็เป็นเจ้าของสื่อยักษ์ใหญ่ ช่วยสืบความจริงเรื่องการตายของพี่สาวฉันหน่อยสิ” ชายหนุ่มตอบ

 

เมื่อเฉินอันได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็เปลี่ยนสี น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ไม่สืบ” เว้นช่วงไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อด้วยความขุ่นข้อง “พวกเราก็รู้ความจริงกันหมดแล้วไม่ใช่เหรอ นายยังอยากจะสืบหาอะไรอีกกันแน่?”

 

“ฉันอยากสืบดูอีกสักครั้ง” เจียงจื่อเฉิงตอบ

 

“นายเลิกดันทุรังได้แล้ว ความจริงก็คือตระกูลจางฆ่าพี่สาวของนาย ฉันรู้นะว่าในใจนายยังรับไม่ได้ แต่ฉันเองก็ไม่ต่างกัน เราเป็นพี่น้องกันมาตั้งหลายปี ฉันรักพี่สาวนายขนาดนี้…ไม่ใช่ว่าฉันเคยใช้เส้นสายที่บ้านสืบเรื่องนี้ไปแล้วหรือไง? แล้วผลก็คือเบาะแสทุกอย่างชี้ไปที่ตระกูลจาง สวี่ซินหรานก็ตายไปแล้ว จางซินเองก็กลายเป็นอัมพาต ทรัพย์สมบัติของบ้านนั้นก็ตกเป็นของนายหมดแล้ว หรือนายยังไม่ยอมปล่อยวางอยู่อีก?” เฉินอันกล่าว

 

เจียงจื่อเฉิงนิ่งเงียบ ที่เฉินอันพูดมานั้นถูกต้องแล้ว เบาะแสทุกอย่างล้วนชี้ไปที่ตระกูลจาง ซ้ำยังชัดเจนแน่นหนา แล้วก่อนหน้านั้นยังมีข่าวการติดต่อกันของทั้งสองคนอีกด้วย

 

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป