Your Wishlist

พลิกลิขิตฟ้าคว้าใจเธอ (บทที่ 10 : โน้มน้าว)

Author: อักษรเงิน

เมื่อถูกใส่ร้าย! อดีตนักแสดงสาวก็ตกหลุมพลางและถูกฆ่าตายในที่สุด ทว่าสวรรค์ยังมีตาให้เธอกลับมาเกิดใหม่ และคราวนี้เธอต้องการแก้แค้นและเพื่อค้นหาความจริง! คราวนี้เธอตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ตกหลุมพรางของความรักอีก แต่! ใครบอกเธอได้ว่าทำไมอดีตสามีที่น่ารำคาญถึงตามหลอกหลอนเธอทั้งวันทั้งคืนแบบนี้!

จำนวนตอน :

บทที่ 10 : โน้มน้าว

  • 09/05/2565

“เรื่องนี้ยังไม่จบ ฉันบอกให้เธอไปแล้วเหรอ? คิดจะไปก็ไป ไม่เห็นหัวครูบาอาจารย์ รู้จักคำว่าเคารพเชื่อฟังไหม?!"  น้ำเสียงเฉินลี่ทั้งแหลมทั้งเล็ก ฟังแล้วค่อนข้างแสบหู

 

สวี่เฉียวหลีค่อยๆ หยุดฝีเท้าลง ตอนแรกเธอเดินไปถึงหน้าประตูแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของครูเฉินลี่จึงหันหน้ากลับมาอีกครั้ง ก่อนจะมองไปที่หล่อนพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มเบาบาง "ถ้าอย่างนั้นครูเฉินรู้จักคำว่าไม่แยกแยะถูกผิดไหมคะ? รู้จักคำว่าสุภาพต่อผู้อื่นหรือเปล่า? ครูพาหนูมาที่ห้องพักครูเพื่อต่อว่าแบบไม่แยกแยะถูกผิด แม้แต่คำว่าขอโทษก็ไม่ยอมพูดออกมา  แต่กลับขอให้หนูเคารพครูแทนอย่างนั้นเหรอคะ?"

 

เมื่อได้ยินประโยคนี้ บรรดาครูในห้องพักครูก็เริ่มพูดคุยกันไปต่างๆ นานา เนื่องจากมีเสียงเอะอะในห้องพักครู นักเรียนจำนวนมากที่อยู่ด้านนอกจึงล้อมวงกันเข้ามาเพื่อดูเรื่องตื่นเต้น ครูเฉินลี่อึ้งไปครู่หนึ่ง เธอเป็นครูภาษาอังกฤษจึงตอบสนองต่อภาษาจีนได้ไม่เร็วนัก ฉับพลันก็รู้ตัวว่าสวี่เฉียวหลีกำลังต่อว่าเธอที่มองไม่เห็นสิ่งถูกผิดตรงหน้า

 

สวี่เฉียวหลีหยุดพูดครู่หนึ่งก่อนจะอ้าปากพูดอีกครั้ง "นอกจากนี้ คำว่า ‘เคารพครูนับถือคำสอน’ มาจากหนังสือ 'ราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย ชีวประวัติของขงซี' ที่กล่าวว่า กษัตริย์ผู้เก่งกล้าสามารถ มิมีผู้ใดไม่เคารพครูบูชาคำสอน คนที่พูดคำนี้อย่างน้อยก็ควรจะแยกแยะผิดชอบชั่วดี ซึ่งคุณก็ไม่สมกับคำว่าครู แล้วจะให้หนูเคารพได้อย่างไร?" ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความรู้ ทว่ายังลอบด่าครูเฉินลี่ทางอ้อมได้อย่างผู้ที่มีการศึกษา

 

ทว่าการด่าอย่างมีชั้นเชิง ความหมายก็คือครูเฉินลี่ไม่สมควรจะเรียกตัวเองว่าครู ยิ่งไปกว่านั้น หล่อนยังไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดคำนี้ด้วยซ้ำ

 

แม้ความเข้าใจเรื่องภาษาและวรรณกรรมของครูเฉินลี่จะไม่ลึกซึ้งนัก แต่ก็เข้าใจความหมายโดยรวมของมันได้อยู่ ทันใดนั้นจึงชี้หน้าสวี่เฉียวหลีด้วยความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “สวี่เฉียวหลี! เธอทำฉันโมโหจริงๆ แล้วนะ!"

 

สวี่เฉียวหลีอยากจะหัวเราะดังๆ เหลือเกินเมื่อได้ยินประโยคนั้น เธออยากจะบอกครูเฉินลี่ว่าในตอนนี้หล่อนไม่มีแม้กระทั่งความสามารถในการแสดงออกขั้นพื้นฐานเลยด้วยซ้ำ แต่หลังจากเห็นท่าทางของหล่อนแล้ว ไม่พูดดีกว่า หากอีกหน่อยทำเจ้าตัวโกรธจนอกแตกตาย เธอก็ต้องพลอยถูกดำเนินคดีตามกฎหมายไปด้วย ไม่คุ้มกันเลย

 

"สวี่เฉียวหลี! ทางที่ดี เธออย่าได้เข้าเรียนวิชาฉันอีกเด็ดขาด!"

 

สวี่เฉียวหลียิ้มกริ่มน้อมรับ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะตอบกลับเลยสักคำ เมื่อประตูห้องพักครูถูกเปิดออก นักเรียนที่กำลังดูเรื่องสนุกสนานต่างก็พากันหดคอกลับไปทันที ไม่มีใครปริปาก ทุกคนล้วนสำรวจมองสวี่เฉียวหลีตั้งแต่แต่หัวจรดเท้า

 

อย่างไรก็ตาม จำนวนคนในโรงเรียนที่ไม่เห็นหัวครูนั้นสามารถนับด้วยนิ้วยังได้เลย แต่คนที่ถูกกลั่นแกล้งมานานอย่างสวี่เฉียวหลี จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน อารมณ์ฉุนเฉียว พูดจาฉอดๆ ซ้ำยังกล้าปะทะกับครูซึ่งๆ หน้าอีกด้วย

 

ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องใหญ่โตในตอนเช้าที่เธอทุ่มถังขยะใส่เกาเฉียวถึงสองครั้งก็ลือสะพัดไปทั่วโรงเรียนแล้ว

 

คาดว่าคงไม่มีใครในโรงเรียนกล้าไปยั่วโมโหสวี่เฉียวหลีแล้ว แต่ต้นไม้ใหญ่มักดูดดึงลม มีคนไม่น้อยตั้งตารอดูเรื่องสนุก ซึ่งก็คือรอดูสวี่เฉียวหลีถูกคนที่ร้ายกาจกว่าเหล่านั้นจัดการ

 

อย่างเช่นเกาเฉียว

 

ก่อนที่สวี่เฉียวหลีจะเกิดใหม่ไม่เคยได้พบปะคนมากหน้าหลายตา ทั้งนักธุรกิจหน้าไหว้หลังหลอกที่จ้องจะเอาคืนกับทุกเรื่อง นักการเมืองที่มีเบื้องลึกเบื้องหลัง แล้วไหนจะคนในวงการบันเทิงที่มีไส้ในสารพัดรูปแบบเหมือนกับมลพิษเหล่านั้นอีก

 

สรุปแล้ว คนในวงการบันเทิงไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ ไม่มีใครใสสะอาดเลยสักคน

 

เธอเคยพบเจอคนที่เหมือนกับเกาเฉียวมามากมาย พูดง่ายๆ คือหากไม่ถึงที่สุดก็จะไม่มีทางยอมแพ้อย่างแน่นอน

 

หลังจากการปรากฎตัวของสวี่เฉียวหลี ห้องเรียนที่เดิมทีมีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวก็พลันตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ทุกคนมองมาที่เธอ สายตาสงสัยใคร่รู้ในตอนแรกเหล่านั้นถูกเก็บกลับไป สายตาที่แสดงออกในเวลานี้ล้วนเป็นความหวาดหวั่น

 

เห็นได้ชัดว่าชะตากรรมของเกาเฉียวทำให้พวกเขาหวาดกลัว นอกจากนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องพักครูก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วโรงเรียนแล้ว

 

“เฉียวหลี เอ่อ ฉันรู้ว่าจะเปลี่ยนโต๊ะตัวนี้ได้ที่ไหน” เด็กสาวท่าทางปวกเปียกคนหนึ่งในฝูงชนเอ่ยขึ้น เธอสวมแว่นตาหนาเตอะ ที่กรอบแว่นเกือบจะบังหน้าเธอไปกว่าครึ่งแล้ว

 

สวี่เฉียวหลีพยายามนึกว่าคนที่พูดกับเธออยู่ตอนนี้เป็นใคร ตอนแรกเธอจำไม่ได้เลยสักนิด แต่ต่อมาก็เกิดความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก คนใส่แว่นเลนส์หนาเตอะคนนี้ชื่อหวังเวยเวย เป็นคณะกรรมการห้อง และถือเป็นหญ้าลู่ลมคนหนึ่ง ชอบยุแยงตะแคงรั่ว ทว่าเจ้าตัวก็ไม่ใช่คนฉลาดนัก

 

หลังจากที่จำได้ สวี่เฉียวหลีก็เหยียดยิ้มแย้มแล้วตบๆ ไปบนโต๊ะของเกาเฉียวพร้อมพูดว่า "ฉันคิดว่าโต๊ะของเขาก็ไม่แย่เท่าไหร่ หากเธออยากช่วยจริงๆ งั้นรบกวนเอาโต๊ะที่ไร้ประโยชน์ตัวนั้นกลับไปหน่อยสิ ยังไงคณะกรรมการห้องก็มีหน้าที่รับผิดชอบทุกเรื่องอยู่แล้วนี่ ใช่ไหม?"

 

คาบบ่าย เกาเฉียวไม่เข้าเรียน ทุกคนรู้เพียงว่าเขากลับไปกับแม่แล้ว ตอนเดินกลับ แม่ของเขายังร้องห่มร้องไห้อีกด้วย คนที่ไม่รู้ยังนึกว่าหล่อนถูกแกล้งที่โรงเรียน

 

ส่วนคนที่รู้ ก็มองไปที่สวี่เฉียวหลีกันหมด แต่เธอไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย และเธอก็ไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจอีกด้วย ตอนบ่ายครูเฉินลี่ยังมีคาบสอนอีกหนึ่งคาบ เมื่อเดินเข้ามาก็เห็นสวี่เฉียวหลีกำลังนั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้ พอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าก็ได้แต่รู้สึกว่าความดันพุ่งสูง ความโกรธสุมอยู่ในอก นิ้วมือก็ชี้ไปที่สวี่เฉียวหลีแล้วพูดว่า "สวี่เฉียวหลี! ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้ามีเธออยู่ในห้อง วิชานี้! พวกเธอก็เรียนกันเอาเอง ฉันจะไม่สอนอะไรทั้งนั้น” สวี่เฉียวหลีเงยหน้าขึ้นมองครู่หนึ่ง ไม่พูดไม่จา ยัดโทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋า เก็บหนังสือแล้วเดินออกไป อย่างไรเสียคาบต่อไปก็เป็นวิชาของครูเฉินลี่อยู่ดี

 

ครูเฉินลี่สายตาเฉียบคม เธอจ้องเขม็งไปยังกระเป๋ากระโปรงของสวี่เฉียวหลี และมองเห็นสิ่งที่มีรูปร่างทรงสี่เหลี่ยมได้รางๆ จากนั้นก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน โรงเรียนมีกฎเคร่งครัดว่าไม่อนุญาตให้นักเรียนพกโทรศัพท์มือถือ คนที่พกมาจะถูกยึดโทรศัพท์และถูกนำตัวเข้าห้องปกครอง แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกของสวี่เฉียวหลี แต่เธอเป็นครูประจำชั้น หากเธอต้องการบอกว่านี่เป็นครั้งที่สาม ก็คงไม่มีใครคัดค้านแน่นอน

 

“เดี๋ยวก่อน! หยุดอยู่ตรงนั้น อะไรอยู่ในกระเป๋าข้างซ้ายของเธอ หยิบออกมา!"

 

สวี่เฉียวหลีหยุดเดิน แล้วแสยะยิ้มออกมาทันที ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น หางตายกขึ้นเล็กน้อย แสดงออกถึงความดูถูกดูแคลนอยู่หลายส่วน  ราวกับว่าครูเฉินลี่คือตัวตลกน่าขบขันก็ไม่ปาน

 

สวี่เฉียวหลีหยิบสิ่งที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมในกระเป๋าด้านซ้ายออกมา มันคือสมุดบันทึกสีดำเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่ง

 

“ครูสนใจสมุดบันทึกราคาสองหยวนนี่เหรอคะ? คิดจะกรรโชกทรัพย์นักเรียนเหรอคะ?" สวี่เฉียวหลีถามพร้อมโบกสมุดในมือไปมา

 

สีหน้าภูมิอกภูมิใจของครูเฉินลี่ในตอนแรกได้หายไปแล้ว กลายเป็นถังสีที่ถูกทุบแตก ทั้งแดง เขียว และม่วงปะปนอยู่บนใบหน้าของหล่อน

 

“ไสหัวออกไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้!” เฉินลี่แผดเสียงดังลั่น เสียงตะวาดแสบแก้วหูแทบทะลุหลังคา

 

“แล้วก็ ครูรู้อะไรไหมคะ? การข่มขู่เป็นสิ่งที่ไร้รสนิยมที่สุดเลยล่ะค่ะ” ใบหน้าสวยละมุนดูซุกซนอยู่ไม่น้อย รอยยิ้มบนมุมปากดูราวกับกำลังเยาะเย้ยและประชดประชัน

 

พูดได้เลยว่า หลังจากที่สวี่เฉียวหลีเดินออกไปก็ยังคงได้ยินเสียงร้องอันโกรธเกรี้ยวของครูเฉินลี่ลอยตามหลังมา อีกทั้งเสียงทุบข้าวของก็ลอยตามมาด้วย ไม่บอกก็รู้ว่าหล่อนโกรธจนอยากจะบีบคอเธอให้ตายแล้วกระมัง

 

อันที่จริง เธอไม่ได้ตั้งใจจะมุ่งเป้าไปที่ครูเฉินลี่เลยด้วยซ้ำ แต่ครูเฉินลี่ชอบเพ่งเล็งเธอต่างหาก การแก้แค้นกับเรื่องเล็กน้อยเป็นคำบัญญัติของสวี่ซินหราน วันนี้ก็นับว่าเป็นคำบัญญัติของสวี่เฉียวหลีเช่นกัน ครูเฉินลี่ไร้คุณธรรม ตอนสวี่เฉียวหลีถูกรังแกในอดีต หล่อนก็แสร้งทำเป็นหลับหูหลับตา ไม่เคยสนใจใยดีนักเรียนตัวเอง

 

ในความทรงจำของสวี่เฉียวหลี มีครั้งหนึ่งที่เธอถูกขังอยู่ในโรงยิม เนื่องจากเกาเฉียวทำเธอขาหัก เธอจึงขยับเขยื้อนไม่ได้ พอครูเฉินลี่ผ่านมาเห็น หล่อนก็ทำเป็นว่าไม่เห็น แล้วล็อกประตูโรงยิม

 

เนื่องจากเกาเฉียวบอกว่าที่นี่ไม่มีใครอยู่แล้ว ครูเฉินลี่จึงแกล้งทำเป็นไม่เห็น

 

กระทั่งภายหลังก็มีเรื่องทำนองเดียวกันอีกสารพัด อย่างเช่นตอนที่โต๊ะของเธอถูกสีน้ำมันละเลงอยู่เต็มไปหมด ครูเฉินลี่พูดว่า "สวี่เฉียวหลี นี่เธอบ้าหรือเปล่า รีบเก็บกวาดตรงนี้ให้สะอาดเลยนะ"

 

เมื่อทุกคนเห็นผู้มีอำนาจมากกว่าเริ่มล่วงเกินหรือทำอะไรที่ผิดต่อกฎหมายและไร้มโนธรรมต่อผู้อื่น พวกเขาก็จะปฏิบัติตาม จนกลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้

 

การตายของเจ้าของร่างเดิมอย่างสวี่เฉียวหลีคือหลักฐานที่เด่นชัดที่สุด

 

ความตื่นตระหนกที่ทำความผิดในตอนแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นความเหิมเกริมในที่สุด เนื่องจากไม่ได้รับการลงโทษที่สมควรได้รับ ในจิตใต้สำนึกของพวกเขา การกลั่นแกล้งคนอื่นไม่ใช่เรื่องผิดบาปอะไร คนอื่นทำได้ เขาก็ทำได้เช่นกัน

 

สวี่เฉียวหลีใช้มือเกาะบนกำแพง จากนั้นเจ้าตัวก็วาดขาคร่อมกำแพงข้ามไป ทักษะปราดเปรียวไร้ที่ติ ทั้งยังองอาจอยู่หลายส่วน

 

ตัวเธอจะเพิ่งจะแตะถึงพื้นไม่ทันไร แอคเคาท์ในบริษัทสายบันเทิงของเธอในชาติก่อนก็ได้ถูกระงับไปแล้ว คนเหล่านี้ช่างรวดเร็วดีจริงๆ ผ่านไปยังไม่ทันนาน แอคเคาท์ของเธอก็หายไปแล้ว หลังจากนั้นเธอก็เลื่อนดูกระทู้อีกครั้ง ด้านบนมีแต่บริษัทเล็กๆ ที่กำลังตามหานักแสดงหน้าใหม่หรือไม่ก็นักแสดงไร้สังกัดที่ให้ค่าแรงต่ำเตี้ยทั้งนั้น

 

ทุนทรัพย์ของบริษัทนี้ไม่ดีเอาเสียเลย มีแต่คนไม่มีเงินเท่านั้นที่จะรับงานค่าแรงน้อยแบบนั้น

 

เมื่อก่อนเธอรู้สึกสนุกที่ได้ลงทะเบียนสร้างแอคเคาท์ เมื่อเห็นการผลิตเล็กๆ ที่น่าสนใจแล้ว เธอก็จะลงทุนเพียงเล็กน้อยหรือไม่ก็เข้าร่วมการแสดง  ตราบใดที่เธอแสดงละคร มันไม่มีทางไม่ดัง

 

ตอนที่เฉินลี่เพิ่งจะไล่เธอออกไป เธอก็เห็นงานหนึ่งเข้าพอดี มันคือบริษัทเล็กๆ ที่ชื่อ Runze Film and Television ที่เธอเคยลงทุนมาก่อน คุณภาพของภาพยนตร์ที่พวกเขาสร้างนั้นค่อนข้างสูง แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร ที่มาตามหานักแสดงในกระทู้นี้อีกครั้ง

 

ประจวบเหมาะที่ไม่ต้องเข้าเรียน สวี่เฉียวหลีจึงโบกรถแท็กซี่มุ่งหน้าไปยัง Runze Film and Television

 

ที่อยู่บริษัทยังตั้งอยู่ที่เดิม แต่ขนาดบริษัทกลับหดเล็กลงเกือบครึ่งหนึ่ง แถมจำนวนพนักงานก็ลดลงอีกด้วย ทั้งหญิงสาวที่แผนกต้อนรับก็เปลี่ยนเป็นอีกคน เธอจำได้ว่าสาวน้อยคนก่อนยิ้มหวาน ส่วนสีหน้าของคนคนนี้แสดงออกถึงความเหนื่อยหน่ายอยู่หลายส่วน

 

"มาทำอะไร?" หญิงสาวเอ่ยถามอย่างเกียจคร้าน

 

“มาออดิชั่นค่ะ ฉันคิดว่าพวกคุณกำลังขาดนางเอกอยู่” สวี่เฉียวหลีช้อนเปลือกตาขึ้นพร้อมพูด

 

"ออดิชั่นเลี้ยวขวา..." หญิงสาวพูดไปได้ครึ่งคำก็อึ้งไป เธอเงยหน้ามองสวี่เฉียวหลี ประเมินดูอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดต่อว่า "เลี้ยวขวาไปห้องที่สอง"

 

ประตูกระจกถูกแง้มเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ด้านในมีคนสองสามคนรวมตัวกันอยู่ มีผู้ชายผมยาวประบ่าร่างท้วมคนหนึ่งกำลังนอนหลับกรนเสียงดังสนั่นอยู่บนเก้าอี้ 

 

มีสองคนที่เป็นนักเขียนบทและก็เป็นผู้บริหารบริษัท ถึงอย่างไรก็เคยร่วมงานกัน สวี่เฉียวหลีรู้จักดี แต่เธอไม่เคยเจอคนที่กำลังนอนหลับอยู่บนเก้าอี้คนนั้นมาก่อน

 

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป