จากคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่กำลังสิ้นหวัง สู่องค์จักรพรรดิ์ที่แสนไร้ค่าแห่งแคว้นซู ต่อจากนี้ข้าจะเป็นจักรพรรดิ์ที่อยู่เหนือคนทั้งปวง!!!
จากคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่กำลังสิ้นหวัง สู่องค์จักรพรรดิ์ที่แสนไร้ค่าแห่งแคว้นซู ต่อจากนี้ข้าจะเป็นจักรพรรดิ์ที่อยู่เหนือคนทั้งปวง!!!
“ พวกเราไปกันเถอะ ”
เหวินอวี้จับมือฮุ่ยหรานก่อนจะพาเดินผ่านฝูงชนออกไป
ต่อหน้าตราจักรพรรดิ์ไม่มีผู้ใดหาญกล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองทั้งสาม คุณชายสี่เองราวกับถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง แม้ที่ผ่านมาเขาจะเป็นผู้มีอำนาจบาตรใหญ่เพียงใดก็มิอาจเทียบได้กับอำนาจขององค์จักรพรรดิ ครานี้นับว่าเขาเสียหน้าเป็นอย่างมาก เหล่าทหารรักษาความปลอดภัยเมื่อเห็นดังนั้นย่อมเดินตามมาเพื่อติดตามอารักขา แต่ทว่า…
“ พวกเจ้าไม่ต้องติดตามพวกข้าหรอก ไปทำหน้าที่ตรวจตรารักษาความเรียบร้อยในงานการคัดเลือกเถอะ ”
“ ขอรับคุณชายน้อย!! ”
หลังจากเหวินอวี้สั่งการกับทหารรักษาความปลอดภัย ทั้งหมดก็ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ตามเดิม ผู้คนที่มามุงดูบางส่วนก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน บ้างก็กลับไปเดินจับจ่ายสินค้า แต่ยังมีสายตาหลายคู่ที่เฝ้าจ้องมองมาที่ทั้งสามด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
“ ไปคุยกันตรงอื่นเถอะ ข้ารู้สึกว่าตอนนี้พวกเรากำลังถูกจับตามอง ”
เหวินอวี้ เหวินหลงและฮุ่ยหรานต่างรีบเดินตรงปะปนกับฝูงชน ก่อนจะเดินเข้าตรอกเล็กๆข้างหน้าเพื่อหาทางหลบเลี่ยงจากสายตาหลายคู่ที่กำลังสอดส่องมายังพวกเขา
“ พวกเราไม่เห็นต้องทำให้ยุ่งยากถึงเพียงนี้เลย เรื่องแค่นี้ข้าคนเดียวจัดการด้วยครึ่งกระบวนท่าก็สิ้นเรื่อง อีกอย่างเมื่อครู่นี้ เหตุใดพวกเจ้าต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น เหวินอวี้ เหวินหลง พวกเจ้าเป็นอะไร? แล้วข้าไปเป็นน้องเล็กของพวกเจ้าตอนไหนกันกัน!! เชอะ!!! ”
เด็กหนุ่มทั้งสองคนต่างหันมาสบตากัน ก่อนจะหยิบพับผ้าไหมสีชมพูสีสันสดใสออกมาผืนหนึ่ง ฮุ่ยหรานเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงในความงามของผ้าแพรผืนนั้น
“ ผ้าแพรผืนนี้พวกข้าสองคนช่วยกันเลือกมาให้กับเจ้าเป็นของขวัญแทนคำขอโทษของพวกข้า ”
“ ก็ได้ ข้ายกโทษให้พวกท่านทั้งสอง แต่คราวหลังห้ามโยนความผิดให้ข้าอีกนะ ไม่งั้นข้าจะงอนพวกท่านถึงชาติหน้าเลยคอยดู!!
งั้นคราวนี้ข้าขอถามพวกท่านหน่อย ทำไมเมื่อครู่นี้พวกท่านถึงบุ่มบ่ามกันเช่นนั้น โดยเฉพาะพี่เหวินอวี้ ทั้งๆที่ปกติแล้วท่านเป็นคนที่ใจเย็น วิเคราะห์ไตร่ตรองก่อนเสมอ ”
เหวินหลงและเหวินอวี้ต่างสบตากันชั่วขณะ
“ เรื่องนี้ให้เหวินหลงเป็นคนกล่าวดีกว่า ข้าเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่งสักเท่าไหร่ ”
“ พวกข้าก็แค่เป็นห่วงเจ้า เจ้าเป็นน้องเล็กของพวกเราสองคน เพราะฉะนั้นข้าสองคนย่อมต้องดูแลเจ้าไม่ให้พวกแมงหวี่แมงวันมาวุ่นวายกับเจ้า ”
เหวินอวี้กล่าวจบฮุ่ยหรานก็แสดงสีหน้าบูดบึ้งในทันที
“ ข้าไปเป็นน้องเล็กตั้งแต่เมื่อไหร่ อีกอย่างเรื่องแค่นั้นข้าจัดการได้สบายๆอยู่แล้ว ท่านอย่าได้ดูแคลนฝีมือของข้าเชียวนะ ”
“ ก็เป็นตั้งแต่ตอนนี้แหละ เมื่อกี้เจ้าเองก็เรียกเหวินอวี้เป็นพี่ชายแล้ว ข้ากับเหวินอวี้สัญญาว่าจะดูแลน้องสาวให้ดี จะหาผ้าแพรสวยๆมาให้เจ้าอีก แต่ก่อนอื่นพวกเราจพชักช้าไม่ได้แล้ว นั่นสัญญาณพลุสีแดงถูกจุดขึ้นแล้ว ”
เหวินหลงกล่าวพลางชี้ไปยังพลุสีแดงแจ้งว่าการทดสอบใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว
“ น้องเล็กก็น้องเล็ก อีกอย่างข้าไม่ได้อยากได้ผ้าแพรหรอกนะ ไปกันได้แล้ว เดี๋ยวจะถูกอาจารย์ดุเอา ข้าไม่อยากถูกท่านอาจารย์ดุอีก ”
เหวินอวี้ เหวินหลง และฮุ่ยหรานรีบวิ่งไปยังจุดรวมพลของการทดสอบแรกในทันที
...............................................................
บนชั้นสองของร้านอาหารแห่งหนึ่งมีคนกลุ่มผู้เยาว์ราว 4-5 คนกำลังพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ทั้งหมดต่างสวมใส่อาภรณ์สีขาวและปีกสัญลักษณ์กระบี่สีทองที่อกเสื้อด้านขวา
นี่เป็นสัญลักษณ์ของพรรคใหญ่อีกพรรคที่มีอิทธิพลในจักรวรรดิซู สำนักเซียนกระบี่ไร้เงา
“ อู่เจ๋อในฐานะเจ้าเป็นศิษย์เอกและเป็นผู้สืบทอดของสำนักเจ้าคิดว่าสามคนนั้นมีส่วนเกี่ยวกับราชวงศ์หรือไม่? ดูท่าทางคล้ายว่าทั้งสามคนนั้นก็ลงแข่งขันเหมือนกับพวกเราทุกคน... ”
หญิงสาวนางหนึ่งถามขึ้น
“ หนี่เอ๋อข้าก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า การมีตราจักรพรรดิไม่ใช่ผู้ใดจะมีไว้ครอบครองได้ แล้วกับจักรพรรดิ์ที่เก็บตัวเงียบมาตลอด การที่สามารถครอบครองหยกพกที่สำคัญเช่นนี้ได้ ย่อมต้องมีความใกล้ชิดกับราชวงศ์เป็นแน่แท้ และที่สำคัญทั้งสามคนแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชายที่ชื่อเหวินอวี้ เขาอาจจะแข็งแกร่งเทียบเท่ากับข้า หรืออาจะมากกว่าข้าด้วยซ้ำ ”
เหล่าศิษย์โดยรอบต่างแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา
“ อะไรนะ!!! ”
“ อย่าส่งเสียงดังไป พวกเราทั้งหมดได้รับมอบหมายให้มาจับตาดูองค์จักรพรรดิ์ในการแข่งขันครั้งนี้ จากข่าวลือที่ว่าองค์จักรพรรดิ์ซูเฟยเหยียนทรงทำลายวรยุทธ์ของหนึ่งในผู้อาวุโสของประมุขพรรคเทพโอสถและตัดขาดการค้าขายสมุนไพรทุกช่องทาง จนกลายเป็นข่าวใหญ่โตเมื่อไม่นานมานี้จริงหรือไม่ ”
หนี่เอ๋อเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบแย้งโดยทันที
“ ทุกคนล้วนทราบว่าองค์จักรพรรดิ์ซูเฟยเหยียนไม่มีเส้นลมปราณตั้งแต่กำเนิด แล้วเรื่องเช่นนั้นมันจะเป็นไปได้อย่างไร ”
“ นั่นแหละคือหน้าที่ของพวกเราที่เจ้าสำนักมอบหมายมา พวกเราจะต้องผ่านการทดสอบแล้วเข้าไปในวัง เพื่อสืบหาความจริงของเรื่องที่เกิดขึ้น ไปกันได้แล้ว ”
ผู้เยาว์ทั้งหมดต่างขี่กระบี่พุ่งตรงไปยังลานแข่งขันทันทีที่พลุสีแดงถูกจุดขึ้นฟ้า ท่ามกลางความแตกตื่นของเหล่าชาวบ้านที่ได้พบเห็น
...............................................................
ณ ที่ประทับของเฟยหงที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ในฐานะผู้ตัดสิน ครั้งนี้ไม่เหมือนกับการแข่งขันที่ผ่าน ด้วยเหล่าขุนนางไม่มีสิทธิเป็นผู้ตัดสินในครั้งนี้ เพื่อป้องกันการติดสินบนที่อาจจะเกิดขึ้น จำนวนขุนนางที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งล้วนเกิดจากการที่ถูกเฟยหงกวาดล้างไปเพียงชั่วข้ามคืน...
แน่นอนว่าเหล่าตระกูลใหญ่ต่างไม่พอใจกับการกระทำดังกล่าว แต่ด้วยเหตุฟ้าผ้าดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วแคว้นย่อมสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ที่คิดจะต่อต้าน จึงทำได้เพียงแค่ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น
และผู้ตัดสินอีกคนก็คือแม่ทัพเฉิน แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครคาดคิดมาก่อนถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ในลานขนาดใหญ่ตอนนี้มีผู้เยาว์กว่าร้อยกว่าคนเตรียมเข้ารับการทดสอบในวันนี้
เหวินอวี้ เหวินหลงและฮุ่ยหรานมาถึงลานทดสอบแล้วเช่นกัน โดยยืนปะปนเข้ากับผู้ร่วมทดสอบรายอื่นๆเพื่อไม่ให้มีใครสังเกตเห็น
“ ในเมื่อถึงเวลาที่กำหนดแล้วข้าจะประกาศกฎกติกาใหม่ที่องค์จักรพรรดิ์เป็นผู้กำหนดรวมถึงการทดสอบในแต่ละประเภท
การสอบประเภทที่ 1 การรับราชการทหาร
การสอบประเภทที่2 สอบเข้าเป็นองครักษ์หลวง
การสอบประเภทที่ 3 พ่อครัวหลวง
การสอบประเภทที่ 4 ข้าราชการสายปกครอง
และการสอบประเภทที่ 5 การทดสอบความสามารถพิเศษนอกเหนือจากนี้
โดยการทดสอบทั้งหมดจะมีทั้งภาคปฏิบัติและภาคทฤษฎีและทุกคนมิต้องกังวลว่าอาจมีการโกงข้อสอบเกิดขึ้น เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะในครั้งนี้องค์จักรพรรดิ์เป็นผู้ออกข้อสอบและตรวจข้อสอบเองทั้งหมด!!! ”
หลังจากสิ้นเสียงประกาศใบหน้าของเหล่าผู้เยาว์ล้วนปรากฏความดีใจออกมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะไม่มีการใช้เส้นสายเกิดขึ้นทุกคนล้วนเท่าเทียม!!!
“ แบบนี้ข้าก็พอมีหวังสินะ ”
“ ใช่ๆ ตอนแรกข้ากลัวที่สุดก็คือการติดสินบน แต่ในเมื่อองค์จักรพรรดิ์เป็นจัดการด้วยตนเองข้าก็รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ”
“ ใช่ๆข้าก็ด้วย ”
ขณะที่เหล่าผู้เยาว์กำลังพูดคุยกันอย่างออกรส เสียงกลองดังขึ้นเป็นสัญญาณของการมาถึงของจักรพรรดิ์
ตึง!! ตึง!! ตึง!! ตึง!!!
“ องค์จักรพรรดิ์ซูเฟยเหยียนเสด็จแล้ว ”
ประชาชนที่มาชมการแข่งขัน รวมทั้งผู้คนในลานทดสอบทั้งหมดล้วนคุกเข่าแสดงความเคารพองค์จักรพรรดิ์
เฟยหงสวมใส่อาภรณ์ผ้าไหมสีดำสนิทชายเสื้อเป็นสีทอง ตัวอาภรณ์ปักลวดลายมังกรด้วยเส้นไหมทองคำชั้นเลิศ ใบหน้าที่หล่อเหลาเรียบนิ่ง แววตาเฉียบคมดุจกระบี่ ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายเย็นชาออกมา สร้างความตราตรึงใจให้กับสาววัยแรกรุ่นหลายนาง แม้แต่ฮุ่ยหรานที่คุกเข่าอยู่ยังต้องกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่
“ นี่สินะคือรูปลักษณ์ที่แท้จริงของท่านอาจารย์ ”
แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะกล่าวถวายพระพร เสียงประกาศก็ดังขึ้นเป็นรอบที่สอง
“ อะ..องค์หญิงซูเฟยเฟยได้มาถึงงานพิธีแล้วเช่นกัน ”
สตรีรูปร่างผอมเพรียว ผิวขาวนวลดุจหยกขาว ใบหน้างดงามแฝงความอ่อนหวาน ดวงตากลมโตคล้ายลูกกวางน้อย ริมฝีปากอวบอิ่มซึ่งถูกทาด้วยชาดสีแดงสด ทั้งหมดนี้รวมกันนับว่าเป็นองค์ประกอบที่สวยงามลงตัว อาภรณ์สีชมพูกลีบดอกโบตั๋นปักด้วยลายผีเสื้อตัวน้อยสีสันเข้ากันกับผ้าส่งผลให้เวลานางก้าวเดินคล้ายกลับผีเสื้อบนผ้ากำลังขยับปีกบิน
ผู้เข้ารับการทดสอบทั้งบุรุษและสตรีต่างตกตะลึงต่อความงามของเฟยเฟย หญิงงามอันดับหนึ่งคงหนีไม่พ้นนางเป็นแน่ หากโตขึ้นกว่านี้ย่อมกลายเป็นสาวงามล่มเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย!!
แม้แต่อู่เจ๋อ ศิษย์เอกสำนักเซียนกระบี่ไร้เงาก็ตกอยู่ภายใต้ความงดงามของเฟยเฟย ทั้งรอยยิ้มและแววตาล้วนสั่นคลอนจิตใจอู๋เจ๋อ ผู้ที่ไม่เคยสั่นไหวกับหญิงงามนางใดมาก่อน
“ งดงามยิ่งนัก ”
อู่เจ๋อเผลอกล่าวออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะเรียกสติกลับมาได้ ส่วนหนี่เอ๋อได้แต่ครุ่นคิดพร้อมกับความสงสัย
“ แต่ว่าองค์จักรพรรดิ์ซูเฟยเหยียนทรงมีองค์หญิงตั้งแต่ตอนไหนกัน ทำไมในรายงานถึงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้ ”
จบตอน