จากคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่กำลังสิ้นหวัง สู่องค์จักรพรรดิ์ที่แสนไร้ค่าแห่งแคว้นซู ต่อจากนี้ข้าจะเป็นจักรพรรดิ์ที่อยู่เหนือคนทั้งปวง!!!
จากคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่กำลังสิ้นหวัง สู่องค์จักรพรรดิ์ที่แสนไร้ค่าแห่งแคว้นซู ต่อจากนี้ข้าจะเป็นจักรพรรดิ์ที่อยู่เหนือคนทั้งปวง!!!
[ ตามที่นายท่านประสงค์ ]
แน่นอนว่าเฟยหงย่อมต้องกลับไป เพื่อสะสางบางอย่างไปแน่นอน แต่ไม่ใช่ในตอนนี้ เพราะเวลานี้เขาคือจักรพรรดิ์ จึงต้องทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อน ถึงแม้การกลับไปโลกเดิมจะเป็นเป้าหมายที่เขาอยากทำมากที่สุดก็ตาม
“ เอาล่ะ ตอนนี้เรามาเข้าประเด็นหลักกัน ก่อนอื่นพวกเจ้าทุกคนต้องนำสิ่งนี้พกติดตัวไป แล้วนำมันไปแสดงต่อองครักษ์บริเวณประตูหน้าตำหนักของข้า ”
เฟยหงมอบพู่หยกห้อยเอวให้ทั้งสาม ซึ่งตัวหยกนั้นแกะสลักลวดลายมังกรมองดูคล้ายกับตราประทับบางอย่าง โดยพู่หยกที่มอบให้กับทั้งสามนั้นตัวหยกมีความคล้ายคลึงกันจนแทบเรียกได้ว่าเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
จะแตกต่างกันก็เพียงตัวพู่ที่ใช้ห้อย ซึ่งของเหวินอวี้และเหวินหลงนั้น เฟยหงใช้เชือกสีน้ำเงิน ส่วนบนถักเป็นลายหรูอี้ร้อยเข้ากับลูกปักหยกขาว พู่ส่วนปลายแบ่งเป็นช่อแล้วมัดรวมกัน
ส่วนฮุ่ยหรานนั้นเป็นสตรี ทำให้ตัวพู่ที่เฟยหงเลือกใช้เป็นสีชมพู ส่วนปลายของพู่ถักเป็นลายผีเสื้อก่อนจะทิ้งชายยาว เชือกส่วนบนมีเชือกเส้นหนึ่งที่ประดับด้วยลูกปัดที่ทำจากหยกเขียวดูสวยงามเหมาะกับสตรีที่รักสวยรักงามเช่นฮุ่ยหรานเป็นอย่างมาก
“ ท่านอาจารย์นี่คือสิ่งใดขอรับ ”
เหวินอวี้กล่าวถามด้วยความสงสัย
“ นี่คือหยกสลักตราจักรพรรดิ์ ผู้ที่มีสิ่งนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าเป็นคนของข้า พรุ่งนี้พวกเจ้าทั้งสามคนต้องทำหน้าที่นำทางเหล่าสมาชิกพรรคโอสถสวรรค์เข้าพบข้า เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยาก พวกเจ้าจึงจำเป็นต้องมีสิ่งนี้ยืนยันตน ”
“ ศิษย์มีข้อสงสัย ข้าได้ยินศิษย์หญิงในเรือนนอนพูดถึงเรื่องที่องค์จักรพรรดิ์ทรงไร้ซึ่งเส้นลมปราณมาตั้งแต่กำเนิด แต่จากที่ท่านทำสิ่งต่างๆ เห็นได้ชัดว่าท่านอาจารย์ใช้ลมปราณได้ เรื่องนี้เป็นอย่างไรกันแน่ ”
แม้ฮุ่ยหรานจะเป็นคนเอ่ยปากถาม แต่เฟยหงย่อมรับรู้ได้ในทันทีว่าเด็กหนุ่มอีกสองคนต่างก็สงสัยไม่แพ้กัน
“ ทุกสิ่งล้วนมีที่มาที่ไป เอาล่ะ ตอนนี้ข้าต้องกลับไปเตรียมตัวแล้ว ข้าจะไปรอพวกเจ้าที่วังหลวงนะศิษย์ที่น่ารักของข้า ”
สายลมพัดเข้ามาภายในห้องวูบหนึ่ง ด้วยแรงลมทำให้เด็กน้อยทั้งสามคนนำมือมาบังหน้าเอาไว้ แต่เมื่อลดมือลงในห้องกลับไม่ปรากฎร่างของเฟยหงแล้ว เหลือเพียงศิษย์น้อยทั้งสามคน
“ เฮ้อ ท่านอาจารย์มาไวไปไวเสียจริงๆ ”
แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เฟยหงไปไหนมาไหนด้วยความรวดเร็ว แต่เหวินหลงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
“ เชอะ!! ข้าโป้งพวกเจ้าสองคนเลยไม่ต้องมาคุยกับข้า!!! ”
ฮุ่ยหรานยกนิ้วโป้งหันไปทางเหวินอวี้และเหวินหลง
“ นี่เจ้างอนพวกข้าสองคนอย่างงั้นหรือ ”
เหวินหลงชี้นิ้วใส่ตัวเองพร้อมกับหันไปมองเหวินอวี้ที่กำลังให้ความสนใจกับสัญลักษณ์ลวดลายมังกรที่อาจารย์ให้ไว้
“ ใช่!! ข้างอนพวกท่านทั้งสองคน ง้อข้าด้วย!! ”
ฮุ่ยหรานเดินฟึดฟัดออกไปจากห้อง เหลือทิ้งไว้เพียงแค่เหวินอวี้และเหวินหลง
“ เอาเถอะ ยังไงพวกเราก็เป็นฝ่ายไปแกล้งนางเอง ในเมื่อนางชอบพวกของสวยๆงามๆ พรุ่งนี้ในเมื่อเรามีโอกาสได้เข้าเมืองหลวง พวกเราค่อยไปหาซื้อเครื่องประดับสักชิ้นไปมอบให้นางเป็นการไถ่โทษก็แล้วกัน แต่ตอนนี้พวกเราก็ควรไปพักผ่อนกันได้แล้ว ”
เหวินหลงมองเหวินอวี้ด้วยแววตาที่เป็นประกาย
“ ข้านับถือเจ้าจริงๆ ข้าคิดไม่ออกเลยว่าจะง้อฮุ่ยหรานยังไง งั้นเอาตามที่เจ้าว่าก็แล้วกันพวกเราพักผ่อนกันเถอะ ”
“ อืม ”
เด็กหนุ่มทั้งสองเดินออกจากห้องของเฟยหงไปยังห้องของตนเอง
..............................................................................
เช้าวันรุ่งขึ้นเหล่าสมาชิกพรรคคนอื่นๆ รวมทั้งเจ้าสำนักพรรคโอสถสวรรค์ต่างเดินตามเด็กน้อยทั้งสามที่ในวันนี้รับหน้าที่เป็นคนพาออกจากป่า โดยใช้เส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดเดินทางไปยังพระราชวัง เพื่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ์
แน่นอนว่าคราแรกเจ้าสำนักเหอปิงย่อมเกิดข้อสงสัยว่าเฟยหงหายไปไหน เด็กน้อยทั้งสามจึงเริ่มดำเนินการตามแผนการที่เฟยหงวางขึ้นมาใหม่ หลังจากศิษย์รับรู้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของตน
“ อาจารย์ของพวกเจ้าจะกลับมาตอนไหน ”
“ คงอีกสักพักใหญ่เลยขอรับ เพราะอาจารย์มีภารกิจด่วนที่ต้องไปทำจึงไม่สามารถเดินทางร่วมกับพวกเราได้ แต่ไม่ต้องห่วงอาจารย์ได้มอบหมายหน้าที่ให้พวกข้าพาพวกท่านไปส่งยังที่หมายโดยปลอดภัย ”
เหวินอวี้กล่าวตอบหนึ่งในผู้อาวุโสที่เอ่ยถาม
“ ท่านเจ้าสำนัก ที่นั่นพักผ่อนสบายมาก แทบจะเรียกได้ว่าต่างจากห้องพักในโรงเตี๊ยมที่พวกเราเคยพักมาทั้งสิ้น ”
“ ใช่ๆ ท่านเจ้าสำนัก ปกติตกดึกอากาศจะต้องหนาวเย็นและมืดมิด นอกจากแสงจันทร์ก็มีเพียงแค่แสงเทียนเท่านั้น แต่นี่ในห้องกลับมีกล่องสี่เหลี่ยมประหลาดที่สามารถปล่อยความร้อนออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ไหนจะเจ้าแท่งประหลาดที่มีแสงสว่างติดอยู่บนเพดานห้องอีก ที่นอนก็นุ่มยิ่งกว่าเตียงไหนๆที่ข้าเคยนอน ช่างสะดวกสบายจนข้าไม่อยากจากที่นั่นมาเลย ”
“ เรื่องนี้ข้าเห็นด้วย อย่างตอนอาบน้ำ น้ำที่ไหลออกมา ไม่เพียงไม่เย็นสักนิด แต่กลับเป็นน้ำร้อนที่เหมาะกับการแช่น้ำอย่างยิ่ง จนข้าอดสงสัยไม่ได้ว่าน้ำมันออกมาจากทางไหน ”
เหล่าศิษย์ต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนพบเจอด้วยความความตื่นเต้น
“ น่าประหลาดใจอย่างที่พวกเจ้าว่านั่นแหละ แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่เคยพบเจอสถานที่แบบนั้นมาก่อน เห็นทีข้าต้องผูกสัมพันธ์กับอาจารย์นิรนามผู้นั้นเสียหน่อยแล้ว ”
สิ่งเหล่านี้ แม้แต่หยูเหอปิงที่ผ่านร้อนผ่านหนาว เดินทางไปทั่วทุกที่ยังอดไม่ได้ที่จะเพ้อถึงความสะดวกสบายที่ได้รับจากการพักในบ้านของเฟยหงเมื่อคืนนี้
หลังจากใช้เวลาพอสมควร ในที่สุดกลุ่มของพรรคโอสถสวรรค์ก็เดินทางใกล้ถึงเมืองหลวงแคว้นซู ซึ่งเบื้องหน้าคือสะพานข้ามแม่น้ำ เพื่อข้ามฟากไปยังเมืองหลวง
ขณะที่ทุกคนกำลังเดินบนสะพาน เมื่อมองลงไปเบื้องล่างตามปกติควรจะพบกับน้ำจำนวนมหาศาล แต่เมื่อมองลงไปยังแม่น้ำแห่งนี้กลับพบเพียงผืนดินแตกระแหงแห้งแล้ง ไร้ซึ่งน้ำแม้เพียงหยดเดียว ปัจจุบันแคว้นซูกำลังประสบปัญหาภัยแล้งมายาวนานหลายทศวรรษ นี่จึงเป็นอีกปัญหาสำคัญที่เฟยหงต้องรีบหาทางแก้ไขโดยด่วน
หลังจากกลุ่มของพรรคโอสถสวรรค์และศิษย์น้อยทั้งสามเดินข้ามสะพาน ก็ถือว่าสู่เข้าเขตเมืองหลวง แต่ด้วยจำนวนคนที่มีมาก ประกอบกับสัมภาระของคนในพรรค ถ้าหากจะเดินทางกันไปจนถึงพระราชวังก็คงต้องใช้เวลาพอสมควร ดังนั้นหยูเหอปิงจึงตัดสินใจเช่ารถม้าให้กับทุกคนใช้เดินทางไปยังพระราชวัง
“ เอาล่ะ หากพวกเราจะเดินเท้าต่อไป ข้อคิดว่าต้องใช้เวลาอีกพอสมควร กว่าจะไปถึงพระราชวัง พวกเราคงจะเหนื่อยล้าไม่ใช่น้อย ดังนั้นเราจะเช่ารถม้าเพื่อเดินทางต่อ ”
สิ้นเสียงของเจ้าสำนัก บรรดาลูกศิษย์ต่างถอนหายใจโล่งอก พวกเขาต่างคิดกันมาสักพักแล้วว่าหากต้องเดินเท้าไปเอง เมื่อไปถึงพระราชวังพวกเขาคงสิ้นเรี่ยวแรงเป็นแน่ หากเช่ารถม้าย่อมประหยัดทั้งแรงกายและเวลา
หลังจากเช่ารถม้า ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยามทุกคนก็เดินทางม้าถึงหน้าพระราชวัง ที่นี่ผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ เสียงบรรดาพ่อค้าแม่ค้าร้องเรียกเหล่าผู้คนให้มาจับจ่ายสินค้าของตนดังไปทั่ว ร้านค้าและเหลาอาหารต่างมีผู้คนเข้าใช้บริการกันล้นหลาม ช่างเป็นบรรยากาศที่ชวนให้ผู้คนรู้สึกตื่นตาตื่นใจ
“ ช้าก่อน พวกท่านเป็นใครกัน ”
เมื่อรถม้าเดินทางมาถึงหน้าพระราชวัง ทุกคนต่างรีบขนของลงจากรถม้าเพื่อเตรียมเดินเข้าสู่ตัวพระราชวัง แต่องครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูพระราชวังกลับกางหอกกั้นไม่ให้เหวินอวี้และทุกคนเดินผ่าน
“ อ๊ะ นี่มันเจ้าสำนักพรรคโอสถสวรรค์ท่านหยูเหอปิง ข้าน้อยคาราวะท่านขอรับ ส่วนพวกท่านที่อยู่ด้านหลังคงจะเป็นเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์สำนักพรรคโอสถสวรรค์สินะ แล้วเด็กน้อยทั้งสามคนนี้คือ… ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหวินจึงแจ้งจุดประสงค์ที่ต้องการแก่เขา
“ พวกข้าสามคนต้องการเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ์ซูเฟยเหยียน รวมถึงพวกที่อยู่ด้านหลังนั่นด้วย ”
“ เอ่อ ข้าเป็นแค่ทหารชั้นผู้น้อยไม่อาจพาพวกท่าน— ”
องครักษ์นายนั้นกล่าวไม่ทันจบเหวินอวี้ก็หยิบบางสิ่งออกจากอกเสื้อเพื่อยื่นให้แก่องครักษ์รายนั้น
ทหารยามโดยรอบที่สังเกตเห็นต่างแสดงสีหน้าตกตะลึง พร้อมกับท่าทางที่ต่างกันออกไป
“ นะ..นี่มัน!!! ”
“ ก็อย่างที่พวกเราได้บอกไป ท่านคงเข้าใจใช่ไหม ”
เจ้าสำนักโอสถสวรรค์เองย่อมสังเกตเห็นตราสัญลักษณ์บนพู่หยกนั้นเช่นกัน
“ ตราจักรพรรดิ์!! นี่มันยังไงกันแน่ เด็กพวกนี้เป็นใครกันถึงได้เป็นคนขององค์จักรพรรดิ์ได้ ”
ด้วยอายุแค่นี้กลับมีความสามารถเข้าไปเป็นคนขององค์จักรพรรดิ์ได้ แสดงว่าเด็กทั้งสามคนนี้ต้องมีบางอย่างพิเศษเป็นแน่
“ ทหารเปิดประตู!! พาเจ้าสำนักโอสถสวรรค์และคุณหนูคุณชายทั้งสามเข้าพบจักรพรรดิ์!! ”
ตึง!!
ประตูค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ หลังจากประตูบานยักษ์เปิดออกแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญโอ่อ่าภายในพระราชวังเด่นชัดออกมาผสมผสานกับกลิ่นอายความน่าเกรงขาม ซึ่งขัดกับเบื้องหลังที่มีบรรยากาศผู้คนพลุกพล่านเต็มไปหมด
“ ข้าส่งพวกท่านเพียงเท่านี้ พวกเราทั้งสามคนขอตัวก่อน หลังจากนี้พวกท่านก็ตามทหารยามคนนั้นไปเถอะ พวกข้าขอตัว ”
“ เดี๋ยว— ”
เจ้าสำนักกำลังจะเอ่ยปากถามถึงสิ่งที่สงสัย แต่เด็กน้อยทั้งสามคนก็พลันหายเข้าไปในฝูงชนเสียแล้ว
“ พวกเจ้าทั้งหมด แยกย้ายกันไปเตรียมตัวเข้ารับการทดสอบได้แล้ว ข้าและผู้อาวุโสจะไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ์ ”
“ ศิษย์รับบัญชาท่านเจ้าสำนัก!! ”
เหล่าศิษย์ชายหญิงของพรรคโอสถสวรรค์ต่างแยกตัวกันไปเตรียมพร้อมเพื่อรับการทดสอบ โดยหวังว่าจะได้เป็นขุนนางในแคว้นซูแห่งนี้
ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงแค่พรรคโอสถสวรรค์เพียงพรรคเดียวเดียวเท่านั้น แต่ยังมีพรรคเล็กพรรคใหญ่อีกหลายพรรคกำลังเดินทางมาโดยมีจุดประสงค์ไม่ต่างกัน
ม่านการต่อสู้กำลังจะเปิดฉากขึ้นแล้ว!!!
จบตอน