ตอนที่ 217: แย่งผู้ชาย?
กู้หนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่กู้ฉินหยางเหงื่อตก
“เธอทำอะไรกับเซียวเซียว?” กู้ฉินหยางถามเสียงตื่น
“กู้เซียวเซียวจ้างนักเลงมาข่มขืนหนู แต่บังเอิญหนูพอจะสู้คนเป็นเลยกระถืบพวกมันซะจมดิน เธอก็เลยถูกโรงเรียนไล่ออก หนูเป็นคนปล่อยข่าวในเมือง F เองและไม่มีโรงเรียนไหนยินดีต้อนรับเธอก็เลยต้องออกจากเมือง F หนูไม่ได้โทรแจ้งตำรวจมาจับเธอก็บุญแค่ไหนแล้วแต่ครอบครัวเธอก็ยังตำหนิหนู แต่ก็ช่างเถอะตอนนี้หนูไม่ได้แคร์อะไรแล้ว ถ้ามีใครกล้ามาหาเรื่องหนูอีก หนูจะให้พวกมันชดใช้แน่” กู้หนิงเล่าให้กู้ฉินหยางฟังแบบไม่ปิดบังเพราะเธอต้องการเตือนเขาหากเขาคิดจะทำอะไรไม่ดีต่อครอบครัวเธอ
กู้หนิงไม่ได้คิดจะตัดขาดจากครอบครัวกู้ฉินหยางตอนนี้ ครอบครัวของกู้ฉินหยางเคยเชิญกู้ชิงและกู้ม่านไปกินข้าวด้วยกันตอนที่พวกเขามาเมือง F ซึ่งนั่นหมายความว่ากู้ฉินหยางยังปฏิบัติต่อกู้ชิงและกู้ม่านเป็นครอบครัวเดียวกันถึงแม้เขาจะไม่ได้ชอบน้องสาวพี่สาวมากมาย
กู้หนิงไม่ได้สนใจคนตระกูลกู้แต่พวกเขาเป็นครอบครัวของกู้ม่านและกู้ชิง
ถึงแม้กู้ม่านและกู้ชิงจะผิดหวังในตัวพวกเขา แต่ในใจลึกๆก็ยังโหยหาความรักจากคนในครอบครัว ตราบใดที่กู้ฉินหยางประพฤติตัวดี กู้หนิงก็จะไม่ตัดเขาออกไป แต่ถ้าเขากล้าทำเหมือนคนในครอบครัวกู้ฉินเซียง กู้หนิงก็จะไม่ปราณีเขาเช่นกัน
ได้ยินแบบนั้นกู้ฉินหยางก็อดสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่ได้ กู้ฉินเซียงแค่บอกเขาว่ากู้เซียวเซียวไปมีเรื่องกับเพื่อนนักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีอิทธิพล ดังนั้นกู้เซียวเซียวจึงต้องย้ายมาเรียนที่เมืองอื่นเพื่อความปลอดภัยของเธอเอง ถ้าเรื่องที่กู้หนิงเล่าให้ฟังเป็นเรื่องจริง กู้เซียวเซียวก็เป็นคนที่เลวร้ายจริงๆ แต่กู้หนิงก็ใช่ย่อย เธอเป็นคนปล่อยข่าวในเมือง F
แม้ว่ากู้ฉินหยางจะสงสัยความสามารถของกู้หนิง เขาก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อความเป็นไปได้นี้ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายตอนนี้
กู้ฉินหยางเป็นคนเห็นแก่ตัวและรู้สึกอิจฉากู้ชิงและกู้ม่านเพราะอยู่ๆพวกเธอก็รวยขึ้นมา อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่เรื่องของเขา เขาไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งวุ่ยวาย
ฮ่าวหรันกลับมาที่โรงเรียนและเล่าให้เพื่อนๆฟัง แม่ของเขาเรียกเขาไปกินข้าวด้วยเพื่ออยากให้เขาเป็นเพื่อนกับลูกสาวของเพื่อนแม่ ไม่คิดว่าลูกสาวของเพื่อนแม่จะเป็นบอสของเขาเอง!
เพื่อนๆพากันล้อฮ่าวหรันและกู้หนิง
ตอนบ่ายกู้หนิงมีนัดกับอ้ายเฉียน
อ้ายเฉียนออกเวรหลังห้าโมง และโรงพยาบาลศูนย์ก็อยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์เพียงไม่กี่นาที
กู้หนิงมาถึงร้านอาหารก่อนห้าโมงครึ่ง อ้ายเฉียนมาถึงช้านิดหน่อย เธอมาถึงตอนห้าโมงสี่สิบ
“หนิงหนิง”
อ้ายเฉียนตื่นเต้นที่เห็นกู้หนิง
“สวัสดีค่ะ” กู้หนิงลุกขึ้นยืนทักทายเธอ
“ในที่สุดเธอก็โทรหาฉันสักที ฉันรอเธอโทรหาตั้งนานแล้วแหน่ะ! การสอบเข้ามหาวิทยาลัยกำลังจะใกล้เข้ามาแล้ว ฉันกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อเธอเลยไม่ได้โทรหา” อ้ายเฉียนบ่น
กู้หนิงรู้สึกละอายใจเล็กน้อย แท้จริงแล้วเธอไม่ได้ยุ่งเรื่องเรียนเลย เธอมัวแต่ยุ่งกับจัดการธุรกิจที่เมือง G
“อืม ช่วงนี้ฉันยุ่งมากจริงๆค่ะ แต่ว่างแล้วก็รีบโทรหาคุณเลยค่ะ” กู้หนิงอธิบาย
“ไม่เป็นไร ฉันยกโทษให้” อ้ายเฉียนพูดพลางหัวเราะคิกคัก เธอไม่ได้โกรธกู้หนิงเป็นจริงเป็นจัง เพราะเธอเข้าใจว่ากู้หนิงเป็นนักเรียนที่ต้องเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย
“คุณอยากทานอะไรคะ” กู้หนิงยื่นเมนูอาหารให้อ้ายเฉียน
อ้ายเฉียนรับเมนูอาหารมาอ่าน “ฉันเอาสเต๊ก สุกปานกลางและราดด้วยซอสพริกไทย”
“ฉันเอาแบบคุณด้วยค่ะ” กู้หนิงกล่าว
“ฉันมีของขวัญให้คุณค่ะ” กู้หนิงกล่าวพลางหยิบเอากล่องเล็กๆมาจากกระเป๋า
“ของขวัญให้ฉันเหรอ?” อ้ายเฉียนประหลาดใจ
เธอเข้าใจว่ากู้หนิงให้ของขวัญเธอเป็นเพราะเธอช่วยดูแลกู้ม่านตอนที่อยู่โรงพยาบาล แต่มันก็ไม่มีอะไรเทียบได้กับสิ่งที่กู้หนิงทำให้เธอ หากเป็นเพียงของขวัญธรรมดาเธอก็รับไป แต่ถ้าแพงเกินไปเธอก็ไม่รับ
กู้หนิงรู้ว่าอ้ายเฉียนคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเธอจึงโกหกเพื่อความสบายใจว่า “เป็นแค่จี้หยกค่ะ ไม่ได้แพงอะไรมากมาย ฉันไปเมืองG เลยซื้อมาด้วยเพราะมันสวยดี”
ในเมื่อกู้หนิงพูดแบบนั้น อ้ายเฉียนก็ไม่ได้ปฏิเสธ “ขอบใจจ๊ะ”
นาทีที่อ้ายเฉียนเห็นจี้หยกรูปใบไม้ อ้ายเฉียนก็ชอบมันทันที “ว้าว! น่ารักมาก”
อ้ายเฉียนรู้เกี่ยวกับหยกน้อยมาก ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าเป็นหยกประเภทใดหรือระดับใด หลังจากทานข้าวเสร็จ พวกเธอก็พากันไปช็อปปิ้ง วันนี้กู้หนิงว่างเธอเลยยินดีไปเป็นเพื่อนอ้ายเฉียน
ทันทีที่กู้หนิงและอ้ายเฉียนก้าวเท้าเข้าไปในร้าน หญิงสาวสามคนอายุราวๆยี่สิบหกก็ก้าวเท้าเข้ามาข้างในร้านด้วยเช่นกัน เมื่อพวกเธอสังเกตเห็นอ้ายเฉียนก็หน้าเปลี่ยนทันที หนึ่งในนั้นกล่าวด้วยวาจาไม่น่าฟัง “โอ้ นี่ไม่ใช่คุณหมอเฉียนหรอกหรือคะ? บังเอิญจังเลยค่ะ”
เห็นหญิงสาวสามคนอ้ายเฉียนก็ไม่สบอารณ์เหมือนกัน มีความเหนื่อยหน่ายและความเกลียดชังในดวงตาของเธอ แต่เธอทำเป็นเมินเฉยไม่สนใจ
“อ้ายเฉียน มารยาทของเธออยู่ไหน? ทำไมถึงได้ไร้มารยาทเมินพวกเราแบบนี้?”
ครั้งนี้อ้ายเฉียนไม่อยู่เฉย เธอหันควับไปมองผู้หญิงคนนั้น พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เฉินเมิ่งฉี ฉันไม่คิดว่าเธอมีคุณสมบัติพอที่จะตัดสินมารยาทของฉัน ทำเหมือนเราเป็นคนแปลกหน้าไม่ได้รึไง?”
“อ้ายเฉียน ฉันก็อยากทำอย่างนั้น แต่ฉันทำไม่ได้เพราะเธอแย่งผู้ชายของฉันไป!” เฉินเมิ่งฉีกัดฟัดพูด
กู้หนิงขมวดคิ้วทันที แม้ว่าเธอจะไม่เชื่อว่าอ้ายเฉียนทำแบบนั้น เธอก็ไม่อาจสรุปทุกอย่างก่อนรู้รายละเอียด
“เฉินเมิ่งฉี เธอประสาทรึไง! ฉันไม่เคยแย่งผู้ชายของเธอ! เล่อเจิ้งหยูไม่ใช่ผู้ชายของเธอ เธอไม่ได้เขาเพราะว่าเธอไม่คู่ควร เขาไม่ได้ชอบเธอและเธอจะโทษฉันเรื่องนี้ไม่ได้!” อ้ายเฉียนตวาดกลับ
ตอนนี้กู้หนิงเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
ตอนที่ 218: กระจกทองสัมฤทธิ์
“ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ เขาก็คงไม่ปฏิเสธฉัน! เธอรู้ว่าเขาชอบเธอแต่เธอไม่ได้ชอบเขา งั้นทำไมต้องคอยอยู่ใกล้เขาและให้ความหวังเขาด้วย?” เฉินเมิ่งฉีกล่าว
“เฉินเมิ่งฉี เธอไม่คิดว่าตัวเองตลกไปหน่อยเหรอ เรื่องนี้ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเธอตรงไหน ถ้าฉันจะอยู่ใกล้เขาแล้วยังไง? เขาไม่ใช่แฟนของเธอสักหน่อยและเธอไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขา!” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฉินเมิ่งฉีพูดแบบนี้กับเธอ อ้ายเฉียนยังคิดว่าตลกด้วยซ้ำไป
“แต่เธอก็ทำแบบนี้กับเขาไม่ได้” เฉินเมิ่งฉีอิจฉา
“แล้วไง? เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ ต้องให้ฉันพูดกี่ครั้งถึงจะเข้าใจ” อ้ายเฉียนตอบ
“เธอ.....” เฉินเมิ่งฉีไม่รู้จะเถียงกลับอย่างไร
เล่อเจิ้งหยูชอบใครก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ แต่เพราะเล่อเจิ้งหยูชอบแต่อ้ายเฉียน เธอจึงโทษและเกลียดอ้ายเฉียน
ในตอนนี้พนักงานขายเดินเข้ามาหาและกล่าวเตือนว่า “รบกวนไม่ทะเลาะกันในร้านนะคะ มีลูกค้าท่านอื่นอยู่ในร้านด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“ตราบใดที่คุณผู้หญิงท่านนี้หุบปาก ฉันก็ไม่มีปัญหาค่ะ” อ้ายเฉียนกล่าว นี่เป็นความผิดของเฉินเมิ่งฉีไม่ใช่เธอ ตราบใดที่เฉินเมิ่งฉีไม่หาเรื่องเธอ เธอก็ไม่ต้องมาทะเลาะกับใครในที่สาธารณะแบบนี้
หลังจากนั้นอ้ายเฉียนก็ไม่สนใจเฉินเมิ่งฉีอีก เดินสะบัดหน้าไปช้อปปิ้ง ถึงแม้ว่าอารมณ์ของอ้ายเฉียนจะถูกกวนให้ขุ่นไปเรียบร้อยแล้ว แต่สายตาของเธอก็ยังมองเสื้อผ้าตรงหน้าด้วยความสนใจ
อ้ายเฉียนชี้ไปที่ชุดที่แขวนอยู่บนผนัง “ฉันขอลองชุดนั้นค่ะ”
เฉินเมิ่งฉีโมโหจนไม่รู้จะทำอย่างไร แต่เวลานี้ไม่เหมาะที่จะโต้เถียง เธอขายหน้าไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงเดินหนีไป
หลังจากที่เฉินเมิ่งฉีจากไป อ้ายเฉียนก็หันมาพูดกับกู้หนิงว่า “ฉันพบกับเล่อเจิ้งหยูตอนสิบขวบ ครอบครัวของเรารู้จักกันมานานแล้ว เขากับฉันไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันก็จริงแต่สำหรับพวกเราเป็นมากกว่าครอบครัว ฉันเป็นลูกสาวคนเดียว ดังนั้นเขาจึงดูแลฉันเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง ฉันเลยชินที่มีเขาอยู่ข้างกาย ตอนนี้ฉันไม่สามารถเผชิญหน้ากับความรักของเขาที่มีต่อฉันได้ แต่ฉันก็ไม่ได้หนีไปจากมันเช่นกัน เขารู้ว่าเขาเป็นแค่พี่ชายในสายตาของฉัน แต่เขาไม่เคยยอมแพ้ พวกเราเลยมีข้อตกลงกันว่าถ้าฉันยังไม่เจอคนที่รักก่อนที่อายุสามสิบ พวกเราจะแต่งงานกัน ฉันรู้ว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับเขา แต่กฎของความรักไม่เคยยุติธรรม ใครรักก่อนคนนั้นแพ้”
อ้ายเฉียนเล่าให้กู้หนิงฟังทุกอย่าง เพราะเธอต้องการพูดเรื่องนี้ให้ใครสักคนฟัง
กู้หนิงเห็นด้วยกับอ้ายเฉียน กฎของความรักไม่ยุติธรรม ใครรักก่อนคนนั้นแพ้
อย่างน้อยอ้ายเฉียนและเล่อเจิ้งหยูก็ห่วงใยกันและกันจริงๆ แม้ว่าทั้งคู่จะปฏิบัติต่อกันเหมือนคนในครอบครัว แต่ถึงกระนั้นหลังจากแต่งงานก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นความรักได้
ความจริงที่ว่าอ้ายเฉียนทำข้อตกลงกับเล่อเจิ้งหยูได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่เธอกับเขาอาจจะจบลงด้วยการเป็นครอบครัวเดียวกัน
“หนิงหนิง มาดูนี่ ถ้าเธอชอบชุดไหน ก็เลือกได้เลยนะ ฉันซื้อให้” อ้ายเฉียนพูด
เสื้อผ้าในร้านนี้เป็นแบรนด์ระดับกลางและราคาไม่แพงมาก กู้หนิงจึงไม่ลังเลเลือกหมวกที่เธอชอบ “ฉันคิดว่าหมวกใบนี้ก็ไม่เลว”
อ้ายเฉียนซื้อเสื้อกันหนาว เสื้อคลุมและกระโปรง หลังจากช้อปปิ้งเสร็จ พวกเธอก็แยกย้าย
กู้หนิงยังไม่กลับบ้านทันทีแต่ไปที่ภูเขาหยุนไท่ เธอเลื่อนการล่าสมบัติมานานแล้ว วันนี้มีเวลาว่างจึงตัดสินใจไปดูสักหน่อย
ตอนกลางคืนไม่มีใครปีนเขา ดังนั้นตอนนี้ภูเขาหยุนไท่จึงเงียบมาก บนเขาไม่มีสิ่งของล้ำค่า ดังนั้นจึงไม่มียามเฝ้ากะกลางคืน มีเพียงกล้องวงจรปิด แต่รอบๆมืดสนิท กู้หนิงจึงปีนข้ามกำแพงเข้าไปข้างในได้โดยง่าย
ถึงแม้จะเป็นกลางคืน กู้หนิงใช้ตาทิพย์ช่วยให้มองเห็นชัดขึ้น เธอวิ่งขึ้นเขาภายในหนึ่งชั่วโมงยี่สิบนาที จากนั้นเธอก็รีบดึงเชือกออกจากช่องเก็บของในกระแสจิตและรัดมันไว้ที่ไหนสักแห่งก่อนจะโรยตัวลงไป
เธอหยุดโรยตัวเมื่อพบถ้ำและใช้ตาทิพย์ตรวจดูภายในถ้ำเผื่อว่าจะมีอะไรเป็นอันตราย แต่ไม่พบอันตรายใดๆ
หลังจากนั้นกู้หนิงใช้เครื่องมือเพื่องัดชั้นนอกของหน้าผา ไม่มีใครอยู่รอบๆ เธอจึงไม่กลัวที่จะทำเสียงดัง
มีรอยแตกที่หน้าผาและค่อยๆกว้างขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน กู้หนิงต้องการเพียงช่องว่างที่กว้างพอที่จะให้เธอเข้าไปได้ ราวๆหนึ่งชั่วโมงต่อมารอยแตกก็กลายเป็นช่องกว้าง กู้หนิงแทรกตัวเข้าไปข้างในได้สำเร็จ มุ่งตรงไปยังแหล่งที่มาของพลัง
เธอเดินไปข้างหน้ายี่สิบเมตรก็มาถึงถ้ำขนาดสิบตารางเมตร การตกแต่งเรียบง่ายมาก มีเพียงกองไม้และหม้อที่มีชามแตกหลายใบอยู่ด้านหนึ่ง
อีกด้านหนึ่งมีเสื่อฟางพร้อมเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นที่กลายเป็นผ้าขี้ริ้ว และหีบใบใหญ่ขนาดเท่าหมอน พลังมาจากหีบซึ่งหมายความว่าวัตถุโบราณจะต้องอยู่ในนั้น
กู้หนิงยังไม่เปิดหีบทันที เธอใช้ตาทิพย์สำรวจด้านในเผื่อมีงูหรือหนู กู้หนิงใจกล้าก็จริงแต่เธอกลัวงูกับหนู
โชคดีที่มีเพียงเครื่องประดับและธนบัตรของจีน กู้หนิงจึงเปิดหีบออก เธอไม่มีเวลาศึกษาวัตถุเหล่านี้ในถ้ำ ดังนั้นเธอจึงใส่มันเข้าไปในช่องเก็บของกระแสจิต และวางแผนที่จะศึกษาพวกมันเมื่อเธอกลับถึงบ้าน
หลังจากนั้นกู้หนิงก็ออกไปทางเดียวกับที่เธอเข้ามา
เมื่อเธอกลับมาถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว กู้ม่านรู้ว่าวันนี้ลูกสาวออกไปพบอ้ายเฉียน ดังนั้นจึงไม่ได้ถามอะไรมาก
กู้หนิงตรงไปที่ห้องนอน เอาวัตถุโบราณออกมาทีละชิ้นๆ น่าจะเป็นของที่ข้าราชการทุจริตแล้วนำเอามาซ่อนไว้
กู้หนิงวางเครื่องประดับไว้ด้านข้าง และตรวจสอบกระจกทองสัมฤทธิ์ก่อน
กระจกทองสัมฤทธิ์มีต้นกำเนิดมาจากราชวงศ์ซางและโจว แต่การใช้กระจกทองสัมฤทธิ์ในราชวงศ์ซางนั้นไม่ได้เป็นสากล มันเป็นของหายากและเป็นของคนระดับสูงเท่านั้น
ต่อมาได้รับความนิยมในช่วงยุคสงครามและมีความปราณีตมากขึ้นในช่วงราชวงศ์ฮั่นและราชวงศ์ถัง
กระจกทองสัมฤทธิ์แตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย