ตอนที่ 101: ใจดี
กู้หนิงทำข้อสอบเสร็จภายในครึ่งชั่วโมงเหมือนเดิมโดยไม่มีร่องรอยการโกงใดๆ กู้หนิงรู้ว่าเป็นเรื่องยากสำหรับทุกคนที่จะเชื่อว่าคนเรียนหนังสือแย่อย่างเธอจะกลายเป็นคนเรียนเก่งขึ้นมาได้ แต่ความซื่อสัตย์ก็ไม่มีวันทำให้เปื้อนรอยด่างได้ เวลานี้เธอจึงไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมชั้นและบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย
หลังจากการสอบช่วงบ่ายเสร็จสิ้น กู้หนิงก็ออกจากโรงเรียนทันที ตอนนี้เวลาสี่โมงเย็น เวลานัดกินข้าวคือหกโมงเย็นที่ร้านอาหารโหยวอี้บนถนนโหยวอี้ ใช้เวลาเดินจากเฟิ่งหัวแมนชั่นยี่สิบนาทีก็ถึงร้านโหยวอี้ ดังนั้นกู้ม่านและคนอื่นๆจึงพากันออกจากบ้านตอนห้าโมงเย็น กู้หนิงจึงตัดสินใจกลับบ้านก่อน
ครั้งนี้เธอไม่ได้วิ่งกลับบ้านแต่นั่งแท็กซี่กลับ ใช้เวลายี่สิบนาทีเธอก็มาถึงบ้าน กู้ม่านและคนอื่นๆประหลาดใจที่กู้หนิงกลับบ้านเร็ว กู้หนิงเลยบอกกับครอบครัวว่าวันนี้เธอมีสอบประจำเดือน
“ทำไมกลับบ้านเร็วล่ะ?” กู้ม่านถาม
“หนูทำข้อสอบเสร็จแล้วก็เลยกลับเร็ว” กู้หนิงตอบ
“เพราะไม่รู้จะตอบอะไรล่ะสิ ใช่ไหม? ไม่เป็นไรหรอก ครั้งหน้าค่อยพยายามใหม่” กู้ชิงปลอบเธอ พวกเขาไม่โทษกู้หนิงแต่ให้กำลังใจเธอ เพราะรู้ว่าไม่ใช่เด็กทุกคนที่เกิดมาเรียนเก่ง
กู้หนิงไม่ได้อธิบายอะไรมากมายไปกว่านี้ ผลทดสอบจะเป็นเครื่องยืนยันให้ตัวเธอเอง
ไม่นานเจียงซินหยูก็กลับมาถึงบ้าน เธอมีเรียนแค่สองคาบในช่วงบ่าย และออกจากโรงเรียนตอนบ่ายสี่โมงห้านาที ถึงบ้านบ่ายสี่โมงครึ่ง
ทุกคนพร้อมออกจากบ้านตอนห้าโมงแต่ถูกกู้หนิงรั้งพวกเขาเอาไว้ “ทำไมไปเร็วจังคะ? พวกเรามักไปเร็วกว่าพวกเขาตลอด ส่วนพวกเขาก็สายตลอด หนูคิดว่าเรากะเวลาให้ไปถึงตรงเวลาก็พอค่ะ”
“แต่....” กู้ม่านรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่
“พี่คิดว่าหนิงหนิงพูดถูก ทำไมพวกเราต้องไปถึงก่อนและรอพวกเขาทุกครั้งด้วย?” กู้ชิงเห็นด้วยกับหลานสาว เธอกลับมานั่งลง กู้ม่านจึงยอมในที่สุด
กู้ม่านกู้ชิงไม่ได้แต่งตัวอะไรเป็นพิเศษ พวกเธอสวมชุดยี่ห้อธรรมดาๆปานกลาง ไม่มีใครรู้ว่าเป็นยี่ห้ออะไรถ้าไม่เคยซื้อยี่ห้อนี้ เจียงซู่ก็แต่งตัวแบบเดียวกัน ส่วนกู้หนิงสวมชุดธรรมดาอย่างที่เคยใส่
พวกเขาออกจากบ้านห้าโมงครึ่ง
พวกเขาพากันเดินไปที่ร้านอาหาร เมื่อพวกเขามาถึงก็เลยเวลานัดไปห้านาที พวกเขาบังเอิญเจอครอบครัวกู้ฉินเซียงข้างนอกพอดี ครอบครัวกู้ฉินเซียง มีกู้ฉินเซียง หลินหลี่หยวน กู้เซียวเซียวและยายของกู้หนิง
พวกเขาก็มาช้าเหมือนกัน
กู้ฉินเซียงรวยที่สุดในตระกูล ดังนั้นเขาจึงมีอำนาจพอสมควร เขากลายเป็นคนหยิ่งยโสและคิดว่าตัวเองเป็นดาวจรัสแสงของบ้าน
เขาหงุดหงิดที่พบว่ากู้ม่านและกู้ชิงต่างก็มาช้าเหมือนเขา
ยายของกู้หนิงอารมณ์เสียขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้ากู้หนิง เธอยังจำได้ว่าครั้งที่แล้วกู้หนิงตะคอกต่อว่าเธอ เธอจึงตะโกนด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“กู้หนิง นังเด็กไม่มีพ่อ ใครบอกแกมาที่นี่? ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้!”
หญิงชราทำตัวไม่มีมารยาทและแสดงกิริยาหยาบคายเหมือนหญิงวิกลจริต เสียงของเธอดึงดูดความสนใจผู้คนที่อยู่บริเวณนั้น ถึงแม้ผู้คนจะไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น พวกเขาก็ไม่ชอบใจกับพฤติกรรมที่หยาบคายไร้มารยาทแบบนี้
กู้ฉินเซียงตกใจกับท่าทีของแม่ตัวเองและรู้สึกอายกับสายตาของคนอื่น เขาจึงเอ่ยว่า
“แม่...”
เขารู้ว่าแม่ของเขาไม่ชอบกู้หนิง ตัวเขาเองก็ไม่ชอบเช่นกัน ทุกครั้งที่พบกันหญิงชราต้องทำให้กู้หนิงอับอายน้อยเนื้อต่ำใจทุกครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยเห็นแม่โกรธมากขนาดนี้
ในช่วงนี้กู้ฉินเซียงค่อนข้างยุ่งและไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ดังนั้นเขาจึงยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ในขณะนี้กู้หนิงและคนอื่นๆเริ่มโมโห กู้ม่านรู้สึกอยากร้องไห้ เธอเถียงกลับไปว่า “แม่ ได้โปรดใจดีบ้างเถอะค่ะ! หนิงหนิงเป็นลูกสาวของหนู เธอไม่ใช่เด็กไม่มีพ่อ อีกอย่างพี่สามเป็นคนชวนพวกเรามาที่นี่”
แทนที่หญิงชราจะรู้สึกละอายใจแต่กลับอารมณ์เสียยิ่งกว่าเดิม “ลูกแกมันเป็นเด็กไม่มีพ่อ! ฉันไม่เคยยอมรับมันเป็นหลาน! ถ้ามันยังอยู่ฉันจะกลับเดี๋ยวนี้!”
“แม่ เกิดอะไรขึ้น? เอาไว้พวกเราค่อยไปคุยกันในห้องอาหารส่วนตัว แม่ทำให้ผมอายนะ!” กู้ฉินเซียงไม่พอใจเล็กน้อย ถึงอย่างไรเขาก็พอมีชื่อเสียงในเมือง F แม่ของเขาทำแบบนี้ไม่ไว้หน้าเขาเลย
หญิงชราโมโหจนเลือดขึ้นหน้า เธอไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น เดิมทีนิสัยของเธอก็เป็นคนเจ้ากี้เจ้าการที่สนใจเฉพาะตัวเอง เธอตวาดใส่กู้หนิงไม่หยุด
“แกเป็นบ้าอะไรห้ะ? นังเด็กไม่มีพ่อ แกกล้าตบเซียวเซียวแต่ไม่ยอมขอโทษ ทั้งยังตะคอกใส่ฉัน! แกมันบ้าไปแล้ว!”
กู้ฉินเซียงที่ไม่ค่อยอยู่บ้าน ยืนงงเป็นไก่ตาแตก ไม่มีใครบอกเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ได้ยินคำว่าลูกไม่มีพ่อ กู้หนิง กู้ม่านและครอบครัวกู้ชิงก็ไม่พอใจ กู้หนิงส่งสายตาเย็นชามองหญิงชรา หญิงชราเกิดกลัวขึ้นมาและนิ่งไปทันใด
ถึงแม้ว่ากู้ฉินเซียงอยากรักษาหน้าของเขา แต่เขาก็สูญเสียการควบคุมอารมณ์ตั้งแต่มีลูกสาวของเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง
“อะไรนะ? กู้หนิงตบเซียวเซียว?” ฉับพลันสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธยามมองไปที่กู้หนิง
กู้เซียวเซียวที่รอคอยโอกาสอยู่ก็พูดขึ้นว่า “ใช่ค่ะ! พ่อ กู้หนิงเอาจานฟาดหัวหนูและยังตบหน้าหนูหลายครั้ง ย่าบอกให้มันขอโทษ มันก็ไม่ยอม ทั้งยังตะคอกใส่ย่าและขู่แม่ด้วย”
พูดจบเธอก็ส่งสายตายั่วยุให้กู้หนิง
เธอกลัวกู้หนิงก็จริงแต่ตอนนี้พ่อของเธออยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นเธอจึงไม่กลัวอะไรทั้งนั้น
ผู้คนต่างพากันตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
อะไรนะ?
เธอตีเด็กสาวคนนั้นด้วยจานและยังตบหน้าอีกด้วย เธอไม่ยอมขอโทษและยังตะคอกด่าญาติผู้ใหญ่ของเธอ?
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เด็กสาวคนนี้ก็เป็นคนอารมณ์รุนแรงและหยาบคาย
“กู้ม่าน ลูกสาวเธอเป็นคนแบบไหนกัน? กล้าดียังไงถึงตีลูกสาวฉัน?” กู้ฉินเซียงตะคอกกู้ม่าน
กู้ม่านตกใจที่ถูกเขาตะคอก ในตระกูลกู้ ทุกคนต่างเกรงกลัวกู้ฉินเซียงเพราะเขารวยที่สุด มีอำนาจมากที่สุดและเป็นลูกชายคนโตของตระกูล
แม้ว่ากู้ฉินหยางจะทำงานในแผนกต่างประเทศ แต่เขาก็เคารพเชื่อฟังกู้ฉินเซียงอย่างมาก
ตอนที่ 102: ใครกันที่หยาบคาย?
กู้ฉินหยางเป็นข้าราชการธรรมดาๆไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง เขาไม่อาจเปรียบเทียบกับกู้ฉินเซียงได้ แม้ว่ากู้ม่านจะเกรงกลัวกู้ฉินเซียงแต่เธอเองก็ไม่ยอมให้ใครมาว่าลูกเธอเช่นกัน
“หนิงหนิงตีเซียวเซียวเพราะเซียวเซียวทำให้กู้หนิงอับอายก่อนต่างหาก”
“แล้วยังไง? เธอก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรนี่? ลูกของเธอไม่ควรตีลูกสาวของฉัน” กู้ฉินเซียงไม่คิดว่าสิ่งที่กู้เซียวเซียวทำกับกู้หนิงเป็นสิ่งผิดแต่อย่างใด
“พี่…” กู้ม่านโกรธจัดจนเกือบเป็นลมล้มพับ กู้หนิงช่วยพยุงแม่และช่วงเพิ่มพลังให้แก่ร่างกายของแม่เธอ แม้ว่าพลังของกู้หนิงจะมีไม่มาก แต่ก็เพียงพอช่วยกู้ม่านให้หายใจสะดวก
จู่ๆกู้ม่านก็รู้สึกถึงลมเย็นๆไหลเวียนในร่างกายเธอ ลมหายใจเธอกลับมามั่นคงอีกครั้งกู้ม่านรู้สึกแปลกแต่ก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้อีก
“พี่พูดอย่างนี้ได้ยังไง! ทำไมหนิงหนิงถึงสมควรถูกเซียวเซียวพูดจาไม่ดีได้?” กู้ชิงเองก็โกรธมากเช่นเดียวกัน เธอรู้ว่ากู้ฉินเซียงเห็นแก่ตัวแต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะไร้ยางอายแบบนี้
“เซียวเซียวผิดที่ล้อเลียนคนอื่นแต่กู้หนิงก็ไม่ควรตีเธอ!” กู้ฉินหยางเกือบจะหมดความอดทน เขาพูดเสริมขึ้นอีกว่า “นอกจากนี้แม่ของพวกเรายังบอกให้เธอขอโทษ แต่เธอปฏิเสธและยังตะคอกใส่แม่ เธอมันเด็กหยาบคายไม่มีสัมมาคารวะ!”
“ชิ!” กู้หนิงอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยัน เธอจ้องกู้ฉินเซียงและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ถ้าหนูเรียกลุงว่าไอ้ลูกไม่มีพ่อและเรียกแม่ของลุงว่าอีนังสารเลวไม่มียางอาย ลุงจะอยู่เฉยไม่ทำอะไรใช่ไหมคะ?”
“เธอกล้าดียังไง ห้ะ!” ได้ยินคำพูดกู้หนิง กู้ฉินเซียวก็โกรธจนควันออกหู เขาตะคอกกู้หนิงเสียงดัง
“เธอกล้าพูดแบบนั้นได้ยังไง? นังเด็กหยาบคาย!”
หญิงชราก็โกรธจนเนื้อเต้นเหมือนกัน
“อะไรกันคะ? ทำไมพอหนูพูดแบบนี้บ้างถึงผิดล่ะคะ? ตอนที่กู้เซียวเซียวพูดแบบนี้ต่อหน้าหนูและไม่เคารพแม่ของหนู เธอไม่หยาบคายหรือคะ?" กู้หนิงโต้กลับ
“แก…” ฉับพลันกู้ฉินเซียงก็ไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาโต้แย้ง
กู้ม่านมีศักดิ์เป็นน้าของกู้เซียวเซียว กู้เซียวเซียวไม่ให้ความเคารพกู้ม่านมาตลอดเป็นระยะเวลากว่าสิบแปดปี ไม่มีใครรู้สึกว่ามันผิดอะไร แต่ตอนนี้กู้ฉินหยางพูดไม่ออกเมื่อกู้หนิงพูดเสียงดังในที่สาธารณะ
ตอนนี้ผู้คนรู้แล้วว่าทำไมกู้หนิงถึงตีเด็กสาวคนนั้น ดูเหมือนพวกเขาเข้าข้างกู้หนิงเรียบร้อยแล้ว มันเป็นเรื่องที่หยาบคายมากที่จะล้อเลียนไม่ให้ความเคารพต่อคนในครอบครัวตัวเอง ถึงแม้แม่ของเด็กคนนั้นจะเคยทำเรื่องผิดพลาดในอดีตยังไง แต่เด็กก็ไม่ควรพูดจาว่าร้ายผู้อาวุโสกว่า
ตอนนี้ทุกคนไม่ชอบกู้เซียวเซียว
“บ้า บ้า บ้า! แม่แกทำเรื่องน่าละอาย! ทำไมพวกเราจะว่าแม่แกไม่ได้?” หญิงชราโมโหสุดขีด คนที่ทำผิดสมควรถูกประณาม
“หุบปาก!” กู้หนิงตวาด เธอมองหญิงชราประดุจคมมีดแหลมคม หญิงชราตกใจกลัวและหุบปากทันที เธอสัมผัสได้ถึงความกดดันจากตัวกู้หนิงจนเกือบหายใจไม่ออก แม้แต่คนที่ยืนดูแถวนั้นก็สัมผัสได้ถึงความกดดันจากตัวกู้หนิง
“ยายดูถูกแม่มาสิบแปดปีแล้ว ยังไม่พออีกหรือ? หนูชักจะคิดแล้วว่าแม่ของหนูเป็นลูกของยายจริงหรือเปล่า? ทำไมยายถึงเกลียดแม่นัก? แต่ในเมื่อยายเป็นแม่ของแม่หนู หนูก็ไม่อยากจะหยาบคายหรอกนะ แต่ถ้ากล้ารังแกแม่หนูอีก หนูจะทำให้ยายชดใช้คืนแน่ อีกอย่างยายไม่ต้องยอมรับว่าหนูเป็นหลานหรอกค่ะ ก็คล้ายๆกับที่หนูไม่ยอมรับยายเป็นยายของหนู ดังนั้นจะมาใช้คำว่าอกตัญญูกับหนูไม่ได้นะคะ” กู้หนิงกล่าวเสียงเยือกเย็น ตอนนี้เธอวางไพ่บนโต๊ะแล้ว
ทุกคนมองที่หญิงชราอย่างโกรธๆ เธอทำให้ลูกสาวและหลานของเธออับอายขายขี้หน้ามานานถึงสิบแปดปี! คนอะไรใจร้ายใจดำ!
“แก...”
หญิงชรากลัวกู้หนิงจนร่างของเธอสั่นเบาๆ เธอหายใจไม่ออก กู้ฉินเซียงเข้ามาประคองแม่เอาไว้กลัวว่าเธอจะล้ม
กู้หนิงขู่แม่ของเขา!
กู้ฉินเซียงตกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของกู้หนิง เธอต่างจากเด็กสาวเงียบขรึมคนเดิม ไม่ เธอไม่ได้เปลี่ยน เธอแค่เข็มแข็งและมีความมั่นใจในตัวเองพอที่จะพูดจาข่มขู่แม่ของเขา กู้ฉินเซียงต่อว่าเธอด้วยความโกรธ
“กู้หนิง นังเด็กหยาบคาย! กล้าดียังไงถึงพูดกับผู้ใหญ่แบบนั้น!”
“หยาบคาย? นั่นเป็นเพราะพวกคุณ คนน่าไม่อาย! หนูก็เป็นคนมีศักดิ์ศรี หนูอาจจะเคยสงบเสงี่ยมไม่พูดไม่จา แต่พวกคุณก็เอาแต่พูดจาแย่ๆกับหนู สิ่งที่หนูทำตอนนี้คือปกป้องตัวเอง ผู้ใหญ่งั้นหรือ? พวกคุณไม่สมควรได้ความเคารพจากพวกเรา พวกคุณพูดจาถากถางแม่ของหนูมาตลอดสิบแปดปีและเรียกหนูว่านังเด็กไม่มีพ่อมาสิบแปดปี หนูเองต่างหากที่รู้สึกละอายที่มีพวกคุณเป็นคนในครอบครัว ถ้าต้องการความเคารพจากคนอื่นก็ต้องให้เคารพคนอื่นก่อน ปฏิบัติต่อคนอื่นให้เหมือนกับที่อยากได้รับการปฏิบัติจากคนอื่น ต่อจากนี้ไปหนูจะไม่ทนต่อคำพูดเยาะเย้ยถากถางจากพวกคุณอีกต่อไป!” กู้หนิงกล่าวเสียงแข็ง
“แก…” ใบหน้าของกู้ฉินเซียงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว คำพูดของกู้หนิงทำให้เขารู้สึกผิดและหงุดหงิดในเวลาเดียวกัน เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดของกู้หนิงนั้นสมเหตุสมผล
“พูดได้ดี!”
ในขณะนั้นก็มีเสียงสดใสของผู้หญิงดังขึ้น กู้หนิงจำเสียงนี้ได้ทันที ต้องเป็นอ้ายเฉียน
เมื่อเห็นอ้ายเฉียน กู้หนิงก็ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้คืนค่ารักษาพยาบาลแก่เธอ ถึงแม้อ้ายเฉียนจะไม่ได้เอามาใส่ใจ เธอก็ยังรู้สึกไม่ดี
“กู้หนิง ฉันยืนอยู่ข้างเธอ อย่าอยู่อย่างคนขี้ขลาดแต่จงยืนหยัดเพื่อตัวเอง!” อ้ายเฉียนเข้าข้างกู้หนิง
อ้ายเฉียนไม่คิดว่าครอบครัวของกู้หนิงจะซับซ้อนและยุ่งยากขนาดนี้ เธอจึงรู้สึกหงุดหงิดแทนกู้หนิง เพราะพวกเธอเป็นเพื่อนกัน
“อ้ายเฉียน บังเอิญจังเลยค่ะ!” กู้หนิงเอ่ย
“คุณหมออ้าย” กู้ม่านและครอบครัวกู้ชิงทักทายอย่างสุภาพ
“นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัว โปรดอย่าเข้ามายุ่งจะดีกว่า” กู้ฉินเซียงหงุดหงิดที่มีคนนอกสอดมือเข้ามายุ่ง
“เอ่อ หนูคิดว่ากู้หนิงไม่ได้ยอมรับว่าตัวเธอเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวคุณนะคะ ใช่ไหม? แล้วจะกลายเป็นเรื่องในครอบครัวได้ยังไงล่ะ? นอกจากนี้ฉันกำลังพูดกับกู้หนิงไม่ใช่คุณ เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับครอบครัวคุณนะคะ” อ้ายเฉียนโต้กลับ