ลูกไก่ ที่กำลังเดินข้ามถนนอยู่ดีๆก็โดนรถชนจนได้ไปเกิดใหม่ในร่างเด็กน้อย อายุสิบขวบปีแถมยังมีครอบครัวที่น่ารักอีก ใครจะไปคิดว่าจะได้ย้อนยุค
ลูกไก่ ที่กำลังเดินข้ามถนนอยู่ดีๆก็โดนรถชนจนได้ไปเกิดใหม่ในร่างเด็กน้อย อายุสิบขวบปีแถมยังมีครอบครัวที่น่ารักอีก ใครจะไปคิดว่าจะได้ย้อนยุค
“เอานางออกไป ก่อนที่ข้าจะลงมือฆ่านาง” หานซือเยว่พูดด้วยน้ำเสียงเย็น
“ขอรับ” หลังจากที่อาซื่อบกร่างของซูหนี่ว์ออกไปก็เป็นจังหวะที่มู่หลันฮวาเดินเข้ามา ด้านหานซือเยว่เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากลับเข้ามาจึงได้ตวาดใส่โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองว่าเป็นผู้ใด
“ข้าบอกให้เอานางออกไปไม่ใช่หรือไง” หานซือเยว่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด
“ยังไม่ทันได้แต่งท่านก็ออกปากไล่ข้าแล้วเช่นนั้นรึ? …หานซือเยว่” มู่หลันฮวาได้เน้นเสียงเย็นยะเยือกตอนเรียกชื่อเขาทำเอาหานซือเยว่ยืนเหงื่อตกอารมณ์เกรี้ยวกราดก่อนหน้านี้ได้จางหายไปในพริบตา
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะไล่เจ้านะหลันหลัน ข้าเพียงแค่…” พูดไม่ทันจบมู่หลันฮวาก็เอ่ยขัดขึ้นมาก่อน
“แค่ไล่…แม่นางซูหนี่ว์ออกไปแค่นั้นเองสินะ” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและใบหน้าที่เรียบนิ่ง หานซือเยว่เมื่อเห็นท่าทีของนางที่นิ่งสงบแล้วก็เกิดอาการหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก เกรงว่านางจะเข้าใจเขาผิดไปเรื่องของแม่นางซูหนี่ว์
“มันไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้ากำลังคิดสงสัยแน่นอนหลันหลัน” ยิ่งเห็นท่าทีร้อนรนของหานซือเยว่นางก็ได้แต่ยกยิ้มมุมปาก
“ข้าคิดอะไรเช่นนั้นรึ? …ไหนท่านลองบอกข้ามาสักข้อ” นางเอ่ยพลางก็เดินวนไปมารอบๆ ตัวหานซือเยว่
“เอ่อ…ว่าแต่เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือไม่หลันหลัน…หรือว่า…เจ้าคิดถึงข้าจนทนไม่ไหวเลยต้องมาหาข้าถึงที่นี่” หานซือเยว่จงใจเน้นเสียงหนักๆ ในช่วงท้ายคำพูด ‘เหอะ…เปลี่ยนเรื่องเก่งจริงๆ พ่อคุณ’ นางจึงทำได้แค่ส่ายหน้า
“ข้านะหรือคิดถึงท่าน…ท่านกำลังฝันอยู่รึ?” ใครจะบอกว่าแอบคิดอยู่นิดนึง ฮ่า ฮ่า ฮ่า
“แน่ใจหรือหลันหลันว่าเจ้าไม่คิดถึงข้าเลย”
“แน่นอน”
“แต่ข้าคิดถึงเจ้านะหลันหลัน…คิดถึงมาตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา”
“ทะ…ท่านต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ หานซือเยว่”
“ข้าไม่เคยล้อเล่นกับสิ่งใดโดยเฉพาะเรื่องของเจ้า” พูดจบหานซือเยว่ค่อยๆ ก้าวเท้าเดินเข้ามาหามู่หลันฮวาอย่างช้าๆ จนมายืนตรงหน้าของนาง หานซือเยว่ค่อยๆ ก้มหน้าลงไป มือทั้งสองข้างยกแตะไหล่แล้วค่อยๆ เลื่อนผ่านไปยังด้านหลังโอบรั้งท้ายทอยของนางไว้ หานซือเยว่จ้องมองเข้าไปในดวงตาของนางอย่างหวานซึ้ง มู่หลันฮวาได้แต่ตกใจนิ่งค้าง ร่างกายเหมือนจะหยุดการรับรู้และตอบสนองทุกอย่าง เมื่อริมฝีปากของเขาประกบเข้ากับริมฝีปากบางชมพูสวยของนาง จากนั้นค่อยๆ บรรจงจูบแผ่วเบาอย่างนุ่มนวล ทำให้ร่างบางแทบอ่อนระทวยเรี่ยวแรงที่เคยมีได้หายไปจนหมดสิ้น สร้างความรู้สึกแปลกประหลาดให้นางเป็นอย่างมากทั้งสัมผัสที่อ่อนหวานชวนให้เคลิบเคลิ้มในเวลาเดียวกันราวกับว่าสิ่งที่นางได้สัมผัสในตอนนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน หลังจากที่ได้สตินางก็ได้ผลักหานซือเยว่ออกไปทันที
“ทะ…ท่าน” นางจึงทำได้แค่ก้มหน้าลงมองพื้น ‘อยากจะบ้าตายเกิดมา 28 ปี เพิ่งจะเคยโดนจูบ หัวใจเจ้ากำก็ดันเต้นแรงราวกับว่ากลัวคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะไม่ได้ยิน’ หานซือเยว่จึงยื่นมือไปกุมมือนางไว้เพื่อให้แน่ใจว่าที่ก้มมองลงพื้นนั้นเพราะเขิน ไม่ใช่ไม่ต้องการมองหน้าเขาเพราะปฏิเสธหรือรังเกียจ แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าแดงระเรื่อของนางแล้วก็เข้าใจได้ทันที
“หึหึหึ…ช่างหอมหวานเสียจริง” แต่จู่ๆ หลี่เม่ยอิงก็กระโดดพรวดพราดเข้ามาพาลทำให้มู่หลันฮวาตกใจก่อนจะปรับสีหน้าเรียบนิ่งอีกครั้ง
“อะไรหอมหวานหรือเจ้าคะ..ศิษย์พี่” หลี่เม่ยอิงมาได้ทันเห็น จึงได้เอ่ยปากล้อเลียนพร้อมทั้งส่งสายตากรุ้มกริ่มไปให้มู่หลันฮวา
“หะ…หอมหวานอะไรของเจ้ากันเม่ยอิงข้าว่าเจ้าคงหูไม่ดีแล้วเป็นแน่” นางได้เพียงแต่เลิ่กลั่ก
“แต่เอ๊ะ…ข้าถามศิษย์พี่นะเหตุใดเจ้าถึงร้อนตัวล่ะหลันเอ๋อร์” เม่ยอิงก็คงยังแกล้งหยอกมู่หลันฮวาไม่หยุด
“ใครร้อนตัวไม่มี…” มู่หลันฮวาเอ่ยเสียงสูง
“เป็นเช่นนั้นหรือเจ้าคะศิษย์พี่”
“หึหึหึ…แล้วเจ้าคิดว่ายังไงล่ะ” จากนั้นก็เดินออกไปทิ้งให้มู่หลันฮวาอยู่กับศิษย์น้องของเขาแทน เมื่อหานซือเยว่เดินจากไปแล้วเม่ยอิงจึงได้หันมาคุยกับมู่หลันฮวาอย่างจริงจัง
“หลันเอ๋อร์” เม่ยอิงเอ่ยเรียกนางด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“หืม”
“เจ้ารู้หรือยังว่าเมื่อเช้านี้แม่นางซูหนี่ว์ได้เข้าไปหาศิษย์พี่…แต่ไม่นานก็โดนอาซื่อแบกร่างที่หมดสติออกมา” อ้อ นึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก
“อ้อ…ข้ารู้แล้วล่ะ”
“เอ๊ะ…เจ้ารู้ได้ยังไง” เม่ยอิงเอ่ยถามด้วยความงุนงงปนสงสัย
“ก็ตอนที่นางหมดสติแล้วโดนอาซื่อแบกร่างพากลับออกไปเป็นช่วงเวลาที่ข้าไปหาศิษย์พี่ของเจ้าพอดี”
“อ่อ…ห๊ะ…เจ้าว่าอะไรนะเจ้าไปหาศิษย์มาอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่” ทำไมต้องตกอกตกใจขนาดนั้นนางแค่ไปหาหานซือเยว่แค่นั้นเอง
“ละ…แล้วเจ้าได้เข้าไปยังเรือนพยัคฆ์ด้วยหรือเปล่า” เม่ยอิงถามด้วยความตื่นเต้นยิ่งกว่าเก่า
“ก็เข้าไปนี่…ทำไมรึ?” นางถามด้วยความสงสัย
“เจ้าไม่รู้จริงๆ อย่างนั้นหรือหลันเอ๋อร์”
“หากรู้ข้าจะยังต้องถามเจ้าอีกหรือเม่ยอิง”
“เจ้าไม่สังเกตเลยหรือไงว่าเหตุใดแม่นางซูหนี่ว์ถึงได้บาดเจ็บและหมดสติออกมา”
“ข้าจะไปรู้กับพวกเขาหรือไง”
“ก็เพราะเรือนพยัคฆ์ศิษย์พี่ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปทั้งนั้นนอกจากข้าและคนข้างกาย”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับข้า”
“โอ๊ย…ทำไมเจ้าถึงได้บื้อขนาดนี้นะหลันเอ๋อร์…ข้าไปดีกว่าไม่พูดกับเจ้าแล้ว” พูดจบเม่ยอิงก็เดินหายออกไป
“อ้าว…นี่ข้าทำอะไรผิดอย่างนั้นรึ?” นางได้แต่ยืนมึนงงอยู่ตรงนั้นพักใหญ่
ด้านหานซือเยว่หลังจากที่แยกตัวออกมาจากมู่หลันฮวา
“ได้ความว่าเช่นไรบ้าง”
“อีกสิบห้าราตรีพวกมันจะลงมือขอรับ”
“เริ่มเคลื่อนไหวแล้วสินะ จัดการเก็บพวกหนอนแมลงที่แทรกซึมเข้ามาออกให้หมดแล้วส่งคนของเราเข้าไปแทรกซึมฝั่งนั้นแทน”
“ขอรับ” ไม่นานบุรุษลึกลับก็หายจากไป เหลือทิ้งไว้แค่หานซือเยว่ที่ยืนอยู่
“ไปเรียกเม่ยอิงมาหาข้า” เงาที่เหลืออยู่อีกหนึ่งคนก็ได้หายออกไปทันทีที่ได้รับคำสั่งจากหานซือเยว่ เพียงแค่หนึ่งเค่อหลี่เม่ยอิงก็ได้เดินเข้ามายังห้องลับก่อนจะหันไปคารวะหานซือเยว่
“เม่ยอิงคารวะศิษย์พี่เจ้าคะ…ศิษย์พี่มีอะไรให้ข้าทำเช่นนั้นหรือถึงได้ให้เงาเป็นคนไปตามข้า”
“ข้าคิดว่าหลังจากนี้ซูหนี่ว์ต้องลงมืออีกครั้งเป็นแน่ เจ้าคอยไปอยู่เป็นเพื่อนหลันหลันไปก่อนช่วงนี้”
“ข้าว่าคนที่ศิษย์พี่ต้องเป็นห่วงน่าจะเป็นแม่นางซูหนี่ว์นะเจ้าคะ”
“อืม…แต่เจ้าห้ามประมาทเด็ดขาดครานี้นางไม่ได้ลงมือแค่ผู้เดียว”
“เจ้าค่ะ…ศิษย์พี่ข้าจะระวังไว้” จากนั้นนางก็ได้เร้นกายหายออกไปทันที
“จับตาดูซูหนี่ว์ให้ดี”
“ขอรับ” ไม่นานทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งเมื่อทุกคนได้สลายหายตัวออกไป
“บ้า…บ้าที่สุดเลย” มู่หลันฮวาได้แต่ก่นด่าเข่นเขี้ยวอยู่อย่างนั้นจนไม่ได้มองว่าตนเองนั้นได้เดินมายังที่แห่งหนึ่งและได้ชนเข้ากับบุรุษรูปร่างกำยำ
“ว้ายยยยย” ก่อนที่นางจะล้มลงก็ได้บุรุษตรงหน้าดึงเข้าไปโอบกอดประคอง
“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่แม่นาง”