Your Wishlist

มู่หลันฮวา (ก่อนหน้านี้)

Author: ชาเขียวuมสด

ลูกไก่ ที่กำลังเดินข้ามถนนอยู่ดีๆก็โดนรถชนจนได้ไปเกิดใหม่ในร่างเด็กน้อย อายุสิบขวบปีแถมยังมีครอบครัวที่น่ารักอีก ใครจะไปคิดว่าจะได้ย้อนยุค

จำนวนตอน : ตอนที่ 1

ก่อนหน้านี้

  • 22/04/2564

ตระกูลมู่

หลังจากที่มู่หลันอวาเข้าไปในมิติได้ไม่นานทางด้านมู่เหยียนชิงก็ได้เริ่มทำการเคี่ยวเข็ญฝึกฝนคนในจวนกันอย่างหนักหน่วงในระหว่างที่รอมู่หลันฮวาออกมา มู่เหยียนชิงจึงได้เดินนำพวกเขาไปยังลานฝึกทันที เขาจะทำให้ทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยของทุกคนในตระกูลมู่

“อาเฉิน อาฉี อาไห่ อาหลง อาฟง อาเฟิง อาจู อาจิว อาหลิน อาลู่ เสิ่นเหลียง พวกเจ้าทั้งหมดจงสลับกันฝึกไปก่อนอีกสักประเดี๋ยวคงมีอาจารย์มาสอนฝึกต่อสู้ให้แก่พวกเจ้า ส่วนอาลู่กับเสิ่นเหลียงพวกเจ้าทั้งคู่ต้องไปฝึกพิเศษกับท่านอาวุโสที่ข้าหามาให้เพราะต่อไปเจ้าสองคนจะต้องไปอยู่ข้างกายนางตลอดเวลา เมื่อถึงยามคับขันข้าไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาดหรือเกิดอะไรขึ้นกับหลันเอ๋อร์ การที่ข้าให้เจ้าทั้งสองคนฝึกหนักกว่าคนอื่นๆ พวกเจ้าคงเข้าใจข้าใช่หรือไม่"

“เข้าใจขอรับนายท่าน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าจะดูแลคุณหนูให้ดีที่สุดขอรับ” ต่อให้ต้องสละชีวิตของเขาแทนคุณหนูเขาก็เต็มใจ

“เข้าใจเจ้าค่ะนายท่าน ข้าจะไม่ปล่อยให้คุณหนูมีอันตรายเป็นอันขาดเจ้าค่ะ” อาลู่เองก็รักคุณหนูของนางไม่น้อยหากเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูของนาง นางคงไม่มีหน้ามาเจอหน้านายท่านแน่นอนต่อให้ตายแทนคุนหนูนางเองก็ไม่เสียดายชีวิตเช่นกัน

"ส่วนคนอื่นๆ ในจวนนอกจากพวกเจ้าข้าได้ส่งอาจารย์ไปฝึกพวกเขาแล้ว”

“เจ้าค่ะ/ขอรับนายท่าน”

สิ้นเสียงตอบรับของทั้งสิบเอ็ดคนพวกเขาทั้งหมดจึงได้หารือกันว่าใครจะออกไปเป็นคู่แรก เมื่อตกลงกันได้ว่าใครจะเป็นคู่แรกที่ออกมาต่อสู้ดังนั้นอาลู่กับเสิ่นเหลียงก็ได้ก้าวเดินออกมา

“พี่ลู่ โปรดอย่าได้ออมมือ”

“เจ้าเองก็เช่นกันเสิ่นเหลียง”

เมื่อกล่าวจบทั้งสองก็ได้พุ่งตัวเข้าหากันอย่างดุเดือด อาลู่เมื่อเห็นว่าเสิ่นเหลียงนั้นมีช่องว่างอยู่จึงได้กระโดดพุ่งเข้าไปหมายจะซัดกระบี่ใส่เสิ่นเหลียง ทางด้านเสิ่นเหลียงเองก็ไม่แพ้กันเมื่อเห็นว่าอาลู่หลงกลเข้าให้แล้วจึงได้กระโดดหลบ ก่อนที่จะพุ่งตัวเข้าไปโดยไม่เปิดโอกาสเป็นครั้งที่สองให้อีกฝ่ายโจมตี จึงได้ซัดฝ่ามือกลับไปใส่ อาลู่จนกระเด็นออกไปทันที เสิ่นเหลียงยกยิ้มมุมปาก ทางด้านของอาลู่ที่หลบฝ่ามือของเสิ่นเหลียงไม่ทันนั้นก็ทำให้นางกระอักเลือดออกมา เมื่อลุกขึ้นยืนจึงได้ขยับตัวถอยไปตั้งหลักเตรียมหาวิธีโต้กลับในมือนั้นกำดาบไว้แน่นและคราวนี้นางต้องมีสมาธิให้มากขึ้นจะได้ไม่พลาดเป็นครั้งที่สอง หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนฝุ่นควันตลบอบอวลมองไม่ออกว่าใครเป็นใครในตอนนี้ ผ่านไปได้สักระยะทั้งสองก็ได้หยุดการต่อสู้ลงผลปรากฏว่าทั้งสองเนื้อตัวสะบักสะบอมกันไม่น้อยมีทั้งรอยเขียวช้ำและคราบเลือดเกรอะกรังเต็มไปหมดไม่อาจตัดสินผลแพ้ชนะได้

“อาฟง อาหลินพวกเจ้าเข้าไปประคองอาลู่กับเสิ่นเหลียงไปพักผ่อน”

“ขอรับ/เจ้าค่ะนายท่าน”

“ท่านลุงโจว ท่านให้คนในครัวจัดยาต้มพร้อมกับยาประคบยาทาให้ทั้งสองคนแล้วทำเผื่อคนอื่นๆ ด้วยนะ”

“ขอรับนายท่าน เอาล่ะพวกเจ้าพยุงอาลู่กับเสิ่นเหลียงไปพักอีกประเดี๋ยวข้าจะให้ในครัวนำยามาให้”

“ขอรับ/เจ้าค่ะท่านลุงโจว” หลังจากที่ทั้งห้าเดินออกไปแล้วไม่นานคู่อื่นๆ ก็ได้เริ่มฝึกต่อสู้อย่างดุเดือดไม่ต่างจากตอนแรก ทางด้านมู่เหยียนชิงที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ลานฝึกก็มองด้วยสายที่บอกได้ว่าพึงพอใจมากกับการฝึกฝนไม่ว่าจะเป็นทักษะหรือไหวพริบของแต่ละคนนั้นเทียบกันไม่ติด

“นี่ๆ พวกท่านก็เห็นกันใช่ไหมตอนที่พวกเขาทั้งหมดต่อสู้กัน ข้านี่ยังขนลุกไม่หายเลย”

“ใช่ๆ ฝ่ายหญิงเองก็น่ากลัวไม่น้อยนะข้าว่าอย่าทำให้พวกนางโกรธจะดีที่สุด”

“นั่นสิใครจะไปคิดกันว่าพวกนางแม้จะเป็นหญิงแต่ฝีมือนี่ไม่ธรรมดาเลย”

“ข้าก็คิดเหมือนท่านนะ ส่วนเสิ่นเหลียงเองแม้อายุจะยังน้อยแต่ก็ประมาทไม่ได้เช่นกัน"

“พวกเจ้ามาทำอะไรกันตรงนี้ ฝึกกันเสร็จแล้วอย่างนั้นหรือ”

“ใช่ขอรับท่านลุงโจว”

“เอาล่ะๆ พวกเจ้าก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองกันได้แล้ว การฝึกของพวกเขาจบแล้วพวกเจ้าเองก็จงตั้งใจฝึกฝนกันให้ดีให้สมกับที่นายท่านชุบเลี้ยงพวกเจ้ามา”

“ขอรับท่านลุงโจวพวกข้าไม่มีวันลืมแน่นอนครอบครัวนายท่านเป็นคนดึงพวกข้ามาจากขุมนรกนั่นทั้งยังดูแลพวกข้าไม่ต่างจากคนในครอบครัว” จากนั้นไม่นานพวกบ่าวไพร่ในจวนทั้งหมดก็ได้แยกย้ายกันออกไปจากลานฝึก

 

เวลาล่วงเลยไปเกือบๆ สองปี แม้จะมีบ้างที่บางครั้งพวกนักฆ่าบางคนคิดจะปีนกำแพงเถาวัลย์เพื่อจะลอบเข้ามาภายในจวนแต่ก็ทำไม่สำเร็จถ้าไม่หลงเข้าไปในวังวนของม่านอักขระก็โดนเถาวัลย์เกี่ยวรัดจนสลบหรือไม่ก็ตาย ยิ่งขัดขืนต่อสู้มากขึ้นเท่าไหร่เถาวัลย์ก็ยิ่งรัดแน่น จนกลายเป็นที่ชินตาสำหรับคนในจวนตระกูลมู่ไปเสียแล้ว ตอนนี้ตระกูลมู่เองก็ได้เปิดกิจการเหลาอาหารขนาดใหญ่มีชื่อว่า จี้เจี๋ย (ฤดูกาล) มีโต๊ะนั่งในร้าน และระเบียงชมวิวนอกร้าน การตกแต่งประดับโคมไฟแดงทั้งร้าน หลังคาสูงโปร่ง พื้นที่ทางด้านบนเหมาะแก่การนั่งทานอาหารและชมบรรยากาศรอบๆ ส่วนใครที่เข้ามาใช้บริการเพื่อเจรจาพูดคุยธุระสำคัญเหลาอาหารแห่งนี้ก็จะมีแบ่งแยกไว้ให้มีจำนวนห้าห้องหากผู้ใดไม่ได้รับอนุญาตก็จะเข้าไปไม่ได้ เหลาอาหารจี้เจี๋ยมีชื่อเสียงด้านอาหารรสเลิศและการคุ้มกันที่หนาแน่นไม่เอาเปรียบผู้เข้ามาใช้บริการและขายอาหารให้กับทุกชนชั้นตั้งแต่ชนชั้นล่างจนถึงพวกขุนนาง

ด้วยอาหารที่หลากหลายเมนู หมูตุ๋นสมุนไพร ขาหมู หมั่นโถว ผัดกะหล่ำปลีน้ำปลา ไก่ทอดเกลือ เห็ดหอมทอดซีอิ๊ว ต้มซุปซี่โครงหมูหัวไชเท้า และอื่นๆ อีกมากมาย ยิ่งอาหารขึ้นชื่ออย่าง หมูตุ๋นสมุนไพร ที่เป็นเมนูเด็ดของร้านอร่อยจนต้องยอมต่อแถวกันเป็นชั่วยามเพื่อที่จะได้ลิ้มลองสักครั้งเมื่อได้ลิ้มลองรสชาติแล้วถือว่าคุ้มค่าเหมาะสมกับราคาจริงๆ บางคนที่ไม่ค่อยชอบทานหมูแต่ด้วยรสชาติที่ไม่เหมือนใครจึงทำให้ทานได้จนหมดเกลี้ยง

อีกทั้งในทุกๆ หนึ่งเดือนตระกูลมู่ก็จะเปิดโรงทานเพื่อแจกอาหารกับเสื้อผ้าให้แก่ขอทานและชาวบ้านที่ยากจน จนทำให้ตอนนี้ตระกูลมู่นั้นมีชื่อเสียงไม่น้อยและได้รับการเคารพนับถือจากชาวบ้านและพวกคนใหญ่คนโต จนทำให้ตระกูลมู่เป็นตระกูลที่ร่ำรวยอีกตระกูลหนึ่งในหมู่บ้านซานเป่ย

 

“ท่านพ่อ ท่านแม่ข้าอยากออกไปท่องยุทธภพขอรับ” มู่เฟยชิงที่อยู่ดีๆ โผล่พรวดพราดมากลางโถงบ้านพร้อมทั้งเอ่ยเสียงดัง

ในขณะที่มู่เหยียนชิงกำลังยกถ้วยชาจรดริมฝีปากเพื่อยกขึ้นมาดื่มก็ได้ร่วงหล่นตกพื้นแตกเสียแล้ว

เพล้งงงงงงง!

“เพ้ยยยย เจ้าเด็กคนนี้นี่เจ้าเข้ามาดีๆ ไม่ได้หรือเหตุใดต้องวิ่งมาอย่างนี้เจ้าอยากให้พ่อเจ้าช็อคตายหรือไร ว่าแต่ก่อนหน้านี้เจ้าพูดว่าอะไรนะเฟยเอ๋อร์”

“ข้าบอกว่า ข้าอยากออกไปท่องยุทธภพขอรับ”

“โถ่ ลูกก็แค่ออกไปท่องยุทธภพเองเจ้าค่ะท่านพี่เหตุใดต้อง ห๊ะ……..ท่องยุทธภพ”

“ใช่ขอรับท่านแม่” มู่เฟยชิงตอบพร้อมกับมองหน้ามารดาแล้วทำตาปริบๆ ออดอ้อนมารดา

“ได้หรือไม่ท่านพ่อท่านแม่”

“แล้วเจ้าจะไปเมื่อไหร่” แม้ทั้งคู่จะเป็นห่วงมู่เฟยชิงแค่ไหนก็คัดค้านไม่ลงมู่เฟยชิงเองก็โตแล้วยิ่งเมื่อเห็นสายตาที่ออดอ้อนส่งมาให้

เฮ้อ บอกได้คำเดียวว่า…แพ้ราบคาบ

“ข้าว่าจะรอให้น้องรองกลับมาก่อน อีกอย่างข้าจะได้มีเวลาเตรียมพร้อมตัวเองด้วยขอรับ”

“ในเมื่อเจ้ายืนยันเช่นเดิมพ่อกับแม่ก็ไม่คัดค้านสิ่งใดแต่เจ้าต้องพาอาไห่กับอาหลงไปด้วยไม่เช่นนั้นพ่อไม่อนุญาต”

“ข้าทราบแล้วขอรับ”

“แม่ก็คงแล้วแต่เจ้านะเฟยเอ๋อร์ เฮ้อ เจ้าเองโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว” แม้นางจะบอกมู่เฟยชิงไปแบบนั้นแต่ตัวนางเองก็ยังเป็นห่วงและกังวลอยู่ดี อันตรายล้วนมีรอบด้าน

“ขอรับท่านแม่” เขารู้ดีว่ามารดานั้นเป็นห่วงและกังวลแค่ไหน แต่ตอนนี้ตัวเขาเองก็อายุสิบเจ็ดปีแล้วควรที่จะออกไปท่องโลกกว้างหาประสบการณ์และเรียนรู้สิ่งต่างๆ ทั้งสามที่ได้นั่งคุยกันจนเวลาล่วงเลยมาถึงยามโหย่ว (17.00 - 18.59 น.)

“เอ่อ…ท่านแม่ข้าเริ่มหิวแล้วขอรับ”

“ได้สิเจ้ารอแม่สักครู่ก็แล้วกันแม่จะไปทำอาหารที่เจ้าชอบให้”

“ขอรับท่านแม่”

“แล้วของพี่ล่ะน้องหญิง เจ้าคงลืมไปแล้วกระมังว่าข้าชอบกินอะไร" เมื่อเห็นดังนั้นมู่หลันจิงจึงได้เดินเข้าไปกอดผู้เป็นสามีทันที นางใช้ชีวิตคู่ฉันสามีภรรยากับมู่เหยียนชิงมาร่วมสิบๆ ปีไม่เคยเลยสักครั้งที่สามีผู้นี้จะเหยียบย่ำน้ำใจนางหรือคิดที่จะรับเหล่าอนุพวกนั้นให้นางเจ็บช้ำน้ำใจ

“มีสิเจ้าคะ ใครจะไปลืมอาหารที่ท่านชอบได้กันข้าใช้ชีวิตคู่กับท่านมาเป็นสิบๆ ปีแล้วนะเจ้าค่ะท่านพี่ถ้าเรื่องแค่นี้ข้ายังจำไม่ได้ข้าก็ไม่สมควรที่จะเป็นภรรยาของท่านเลยสักนิด”

“โถ่ น้องหญิงพี่แค่แกล้งหยอกเจ้าเองพี่รู้ว่าเจ้าไม่มีทางลืมของที่พี่ชอบแน่นอนถึงเจ้าจะลืมพี่ก็ยังรักเจ้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนและต่อไปน้องหญิงเจ้าห้ามพูดว่าเจ้าไม่สมควรเป็นภรรยาของพี่อีกนะเพราะเจ้าจะเป็นคนเดียวที่เป็นภรรยาของพี่”

“ข้าขอโทษเจ้าคะท่านพี่ ต่อไปข้าจะไม่พูดอีกข้าเองก็รักท่านเช่นกัน” ทั้งสองที่ยืนกอดกันเพื่อแสดงความรักโดยที่หลงลืมไปว่านอกจากพวกเขาสองคนแล้วก็ยังมีอีกคนที่ยืนอยู่ในนี้ด้วยเช่นกัน

“อะแฮ่ม!! พวกท่านลืมไปหรือไม่ว่ายังมีข้าอยู่ในนี้ด้วยนะขอรับท่านพ่อท่านแม่”

“เอ่อ…ข้าไปทำอาหารก่อนนะเจ้าค่ะท่านพี่” มู่หลันจิงที่ได้สติขึ้นมาจึงผละออกจากอ้อมกอดของสามีด้วยใบหน้าแดงก่ำก่อนจะพูดทิ้งท้ายแล้วรีบเดินออกไปด้วยท่าทางเขินอายอยู่ไม่น้อย

“แม่เจ้าเขินอายได้น่ารักยิ่งนัก ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งน่ามอง”

“ท่านพ่อท่านกลายเป็นบุรุษคลั่งรักตั้งแต่เมื่อไหร่หรือขอรับ”

“ก็ตั้งแต่ที่เจอกับแม่ของเจ้าไงเฟยเอ๋อร์ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” อ่า…ความรักชั่งน่ากลัวยิ่งนักสามารถทำให้ท่านพ่อกลายเป็นเช่นนี้ได้

“ท่านพ่อ อะ…อ้าวไปเสียแล้ว” มู่เฟยชิงเมื่อเห็นว่าบิดาได้เดินออกไปแล้วจึงได้เดินตามผู้เป็นบิดาไปทันที

 

“มากันแล้วหรือสองพ่อลูกมาๆ กินข้าวกัน เอ๊ะ…เฟยเอ๋อร์เหตุใดเจ้าถึงได้ทำหน้าทำตาเช่นนั้น”

“ไม่มีอะไรหรอกขอรับท่านแม่”

“มีแต่ของน่ากินทั้งนั้นเลยน้องหญิง” บนโต๊ะอาหารมื้อนี้มู่หลังจิงนางได้ทำของโปรดของสามีและลูกๆ เอาไว้หลายอย่าง ไก่ตุ๋นซีอิ๊ว หมูผัดพริกหวาน เต้าหู้ยัดไส้นึ่งซีอิ๊ว ต้มซุปกระดูกหมูหัวไชเท้าและเนื้อตุ๋นของชอบของหลันเอ๋อร์

“เอ๊ะ…น้องหญิงทำไมถึงมีเนื้อตุ๋นของหลันเอ๋อร์ด้วยล่ะ”

“ท่านแม่คงจะคิดถึงน้องรองนะขอรับท่านพ่อ”

“อืม กินข้าวเถอะประเดี๋ยวอาหารเย็นซะก่อนจะไม่อร่อยเอาได้” จากนั้นทั้งสามก็ได้ลงมือกินอาหารกันอย่างอร่อยจนไม่ได้สังเกตเลยว่าตอนนี้ได้มีคนคนนึงยืนมองพวกเขาทั้งสามอยู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึงและโหยหาอ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่นของพวกเขาอยู่

“อะแฮ่ม!! พวกท่านคงหิวกันน่าดูถึงได้ไม่เห็นเลยว่าข้ามายืนอยู่ตรงนี้ได้สักพักแล้ว”

เพล้งงงงงงงงงง

โครมมมมมมมมมม

ปังงงงงงงงงงงงง

เสียงช้อน จาน เก้าอี้ที่ตกหล่นได้ดังสนั่นไปทั่ว ทำให้คนอื่นๆ ในจวนรีบกรูเข้ากันมาเกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกนายท่านทั้งยังไม่ได้สังเกตเลยว่าพวกเขาวิ่งเข้ามาได้ผ่านใครคนนึงไป เมื่อพวกเขาเห็นว่านายท่าน ฮูหยินและคุณชายใหญ่ไม่ได้เป็นอะไร ทั้งหมดจึงได้หันไปตามนายท่านทันทีพร้อมทั้งส่งเสียงดังลั่นจวนยิ่งกว่าก่อนหน้านี้

“หละ…หลันเอ๋อร์”

“คะ…คุณหนู” เสิ่นเหลียงที่ได้สติก่อนใครจึงได้เอ่ยกับคุณหนูทันทีพร้อมกับน้ำตาที่ไหลเต็มหน้า

“คุณหนู คุณหนูกลับมาแล้ว”

“ใช่ ทุกคนข้ามู่หลันฮวาคนนี้กลับมาแล้ว”

17/4/64
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า