Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (ลมปราณมรณะไฟเหมันต์)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

ลมปราณมรณะไฟเหมันต์

  • 04/10/2565

 ตอนที่ 210

ลมปราณมรณะไฟเหมันต์

ท้องฟ้าเรืองรองละอองม่านหมอกน้ำค้างจางหาย ทิวเขาบูรพาเผยแสงสีทองอบอุ่น เมฆขาวขุ่นล่องลอยละลิ่ว สายลมแผ่วพลิ้ว ยอดไม้ใบหญ้าลู่ลิ่วพะเยิบพะยาบ บรรยากาศชวนให้เคลิบเคลิ้มหรรษา

แต่ทว่า บรรยากาศมาตรว่าจะงดงามปานใด แต่ในห้วงเวลานี้ที่หวาดเสียว สายตาทุกคู่เหลียวมองไปตามทิศทางเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน ในเวหาเห็นเป็นบุรุษวัยเยาว์กับสตรีงดงามผุดผาดนางหนึ่ง คนทั้งสองสาดร่างมาดั่งนางแอ่นแล่นลมคู่หนึ่ง เมื่อทิ้งเท้าสัมผัสพื้นยืนมั่นคง ได้ยินเสียงโห่ร้องของสองลามะรวมทั้งนางอสูรเฒ่ามรณะชิ้วเชี๊ยะโหล่ว จากนั้นยังได้ยินทั้งสามกล่าววาจาชมเชยดังว่า

“วิชาตัวเบาอันยอดเยี่ยม”

ลามะทั้งสองรูปส่งเสียงกล่าวชมแล้ว ทิเทียนเต็กลามะส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“อมิตพุทธ จอมยุทธ์น้อยทั้งสองเป็นศิษย์ของผู้สูงส่งใด?”

หยางปู้ชุยชิวพร้อมทั้งเยี่ยนผิง ประสานมือทำความเคารพต่อลามะทั้งสอง ความจริงคิดบอกกล่าวว่าเมื่อหลายปีก่อนเคยพบหน้ากันแล้วคราหนึ่ง แต่เห็นว่าขณะนี้เป็นเวลาหวาดเสียว อีกทั้งปลอมตัวไม่สะดวกให้เปิดเผย หยางปู้ชุยชิวส่งเสียงกล่าววาจาตอบลามะทั้งสองว่า

“ผู้เยาว์แซ่หยางปู้นามชุยชิว พี่สาวท่านนี้แซ่เซียวนามเยี่ยนผิง พวกเราทั้งสองหาใช่จอมยุทธ์อันใด อาจารย์ของเราคล้ายมีหลายท่านยิ่ง เอาไว้บอกกล่าวเรื่องราวภายหลัง ผู้เยาว์ทั้งสองอุกอาจเสียมารยาทขัดจังหวะ ต้องขอขมากับไต้ซือทั้งสองแล้ว”

จากนั้นคนทั้งสองหันมาทางด้านนางเฒ่าอสูรมรณะชิ้วเชี๊ยะโหล่ว ถึงเช่นไรตนเองยังเป็นผู้เยาว์ มิควรเสียมารยาทกับอาวุโส ต่างพากันประสานมือทำความเคารพ นางอสูรมรณะแห่งชมพูทวีปถลึงตาจ้องมองทั้งสองแวบหนึ่ง เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าววาจาว่า

“อาวุโสท่านนี้คิดต่อยตีตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อครู่ท่านลงมือไม่รุนแรงกับสหายแซ่เอียว กับดรุณีน้อยผู้นั้น นับว่ายังมีน้ำใจไมตรีอยู่บ้าง เพียงแต่ท่านลงมือฆ่าคนในโรงเตี๊ยมอย่างอำมหิต พวกเขาเหล่านั้นมีความผิดอันใด? ใช่มีความแค้นบาดหมางกับท่าน เรื่องนี้ท่านจะอธิบายว่าอย่างไร?”

นางเฒ่าอสูรมรณะชิ้วเชี๊ยะโหล่วส่งเสียงร้องอ้อ หัวร่ออย่างไร้เรื่องราวกล่าวตอบว่า

“ที่แท้พวกเจ้าทั้งสองคือทารกสองคนนั้น มิน่าเล่าวิชาตัวเบาสูงส่งปานนี้ สองเฒ่าพิษโสโครกกับหลวงจีนเส้าหลินรูปนั้นมันจึงพลาดท่า อุตส่าห์คลี่กางแหฟ้าตาข่ายดินคิดจับกุมพวกเจ้าไว้ แต่ทว่ายังคล้ายเปิดเผยช่องโหว่จนได้ สุดท้ายพวกเจ้าทั้งสองล่องหนไปไม่เห็นเงา คาดคิดมิถึงว่าจะได้พบกับพวกเจ้าทั้งสองที่นี่ เรานางเฒ่าอสูรมรณะแห่งชมพูทวีป แช่ชิ้วนามเชี๊ยะโหล่ว ในตัวของพวกเจ้าคล้ายดั่งมีสิ่งของที่เราต้องการ ได้พบพานพวกเจ้าที่นี่ย่อมประเสริฐ”

ยามนั้น เอียวอั้งเย๊าะสะอึกเข้ามาหาหยางปู้ชุยชิวกับเยี่ยนผิง ส่งเสียงกล่าววาจาต่อทั้งสองว่า

“พี่สาวแซ่เซียว สหายแซ่หยางปู้ พวกท่านทั้งสองมาได้ทันเวลา นางอสูรชราผู้นี้มีฝีมือร้ายกาจน่ากลัวนัก เมื่อครู่พอนางลงมือเรากับเอียวม่วยยังมิทันขยับตัว ก็ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของนางอสูรผู้นี้แล้ว เพียงแต่นางยังมิได้มีเจตนาทำร้ายให้บาดเจ็บ เพียงใช้เป็นเครื่องมือข่มขู่ต่อลามะไต้ซือทั้งสองเท่านั้น”

เจ้าป้อมอาชามังกรเขียวเอียวเซียวเล้งก้าวเท้าเข้ามา ส่งเสียงกล่าวกับหยางปู้ชุยชิวและเยี่ยนผิงว่า

“สหายน้อยทั้งสอง นางเฒ่าอสูรนี้มีฝีมือน่ากลัวยิ่ง ได้ยินนางกล่าววาจาเมื่อครู่ นางกล่าวว่าฝึกวิชาฝ่ามือไฟเหมันต์ขั้นสุดยอดสำเร็จ ลามะไต้ซือทั้งสองยังไม่แน่นักว่าจะรับมือนางได้ สหายน้อยแซ่หยางปู้ท่านมั่นใจเพียงใด? ว่าจะสามารถรับมือนางเฒ่าอสูรมรณะแห่งชมพูทวีปนี้ได้จริง ๆ”

หยางปู้ชุยชิวยังมิทันกล่าววาจาตอบ ลามะทั้งสองแสดงสีหน้าห่วงใย เส่าเทียนเต็กลามะ ส่งเสียงกล่าววาจาต่อเนื่องจากเจ้าป้อมอาชามังกรเขียวเอียวเซียวเล้งว่า

“ถูกต้อง เจ้ายังอายุเยาว์วัยไม่ใช่คู่มือนางเฒ่าอสูรมรณะผู้นี้เด็ดขาด อาตมาทราบความร้ายกาจของนางเฒ่าอสูรผู้นี้ดี วิชาฝ่ามือไฟเหมันต์ของนางนั้นน่ากลัวชั่วช้าถึงที่สุด ในอดีตจอมมารวชิระโลกันตร์ฮั่นป่อป้อใช้อาละวาดจากเหนือจรดใต้ไร้ผู้ต่อต้าน แม้จะฝึกบรรลุเพียงแปดขั้นยังน่ากลัวยิ่ง”

ลามะอีกรูปหนึ่งนามทิเทียนเต็กกล่าววาจาสืบต่อว่า

“จอมมารวชิระโลกันตร์ฮั่นป่อป้อ มิเพียงมีชื่อเสียงในยุทธจักรบู๊ลิ้มจงหยวน ยังอาละวาดไปยังชมพูทวีปเข่นฆ่าผู้คนไปมากมาย สุดท้ายซือเป๋ส่งศิษย์สามคนติดตามมายังจงหยวนเพื่อล้างแค้น ในสามคนคืออาตมาทิเทียนเต็ก ศิษย์พี่ใหญ่ของอาตมานามเส่าเทียนเต็ก ศิษย์พี่รองคิ้วเทียนเต็กครานี้มิได้เดินทางมาด้วย”

ยามนั้น นางเฒ่าอสูรมรณะชิ้วเชี๊ยะโหล่วส่งเสียงกล่าวสอดขึ้นว่า

“ต่อให้พวกท่านเดินทางมาพร้อมกันทั้งสามคน เรานางเฒ่าอสูรมรณะชิ้วเชี๊ยะโหล่วหากลัวเกรงไม่ เหตุการณ์ในครั้งนั้นพวกท่านร่วมมือกับเซียนเมฆาล่องลอยลวี้ยู่เฉียน พร้อมทั้งเกี้ยบฉิกไต้ซือแห่งเส้าหลิน กลุ้มรุมทำร้ายสุดท้ายสามีเราได้ตายลงในฝ่ามือของเซียนเมฆาล่องลอยลวี้ยู่เฉียน ส่วนเราแม้แต่บู๊ตึ๊งซึ่งเป็นสำนักอาจารย์ยังไม่ยื่นมือช่วยเหลือ”

ลามะนามเส่าเทียนเต็กส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า

“นางเฒ่าอสูรมรณะชิ้ว ท่านอย่าได้หลงลืมลมปากท่าน เพราะครั้งนั้นท่านรับปากจะมิบากหน้ากลับคืนสู่จงหยวน อีกทั้งลั่นวาจาว่าลบชื่อเสียงห้ามรื้อฟื้นความแค้น ชั่วชีวิตจะอุทิศบำเพ็ญศีลขจัดจิตมารสร้างธารกุศล ดังนั้นพวกเราทั้งสามคนรวมทั้งจอมยุทธ์บู๊ลิ้มจึงมิฆ่าท่าน เพียงคร่ากุมตัวไปกักขังไว้ยังชมพูทวีป คาดคิดมิถึงท่านยังลักลอบฝึกฝ่ามือไฟเหมันต์กระทั่งสำเร็จบรรลุขั้นที่เก้า”

นางเฒ่าอสูรมรณะแห่งชมพูทวีปชิ้วเชี๊ยะโหล่ว ส่งเสียงหัวร่อฮาฮา กล่าววาจาว่า

“ในเวลานั้น เราที่ยินยอมรับปากเนื่องจากความจำเป็นบีบคั้น ในเมื่อสามีเราถูกพวกท่านฆ่าตาย เราจึงกลายเป็นม่ายตัวคนเดียว ชีวิตตนไม่กังวลห่วงใยเท่าใดนัก แต่บุตรเรายังเยาว์วัยไม่ประสีประสาจึงลั่นวาจารับปากอย่างไม่เต็มใจ หวังเพียงอย่าได้เข่นฆ่าสังหารเลือดเนื้อเชื้อไขเราไป ในตอนนั้นได้แต่ยินยอมจำนนทนอัปยศ ปกปิดความแค้นแน่นอกไว้ดุจไฟสุม”

นางเฒ่าอสูรมรณะชิ้วเชี๊ยะโหล่ แหงนหน้ามองฟ้าส่งเสียงหัวร่อระบายโทสะคราหนึ่ง จากนั้นหันหน้ามาทางลามะแห่งชมพูทวีปทั้งสอง บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเยือกเย็นราวน้ำแข็ง ส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า

“หากในตอนนั้นเรายึดมั่นทิฐิยอมหักมิยอมงอ ป่านนี้มิเพียงชื่อเสียงที่ถูกลบ แม้แต่เถ้ากระดูกเราคงถูกกลบฝังสลายกลายเป็นธุลี ที่มีชีวิตยืนยาวมากระทั่งบัดนี้ชั่วดีเราหาแยแสไม่ ผู้ใดบ้างมิคิดถามไถ่ความแค้นสามีที่ถูกฆ่าตาย สุดท้ายแม้แต่บุตรยังมิได้พบหน้าสักคราหนึ่ง มันเองคงมิทราบว่ามารดาผู้ให้กำเนิดมันนั้นเป็นผู้ใด? เราเมื่อสำเร็จฝ่ามือไฟเหมันต์ขั้นที่เก้า คิดจะก้าวเท้ากลับยุทธจักรติดตามหาบุตรรัก บอกเล่าเรื่องราวคาวโลหิตของบิดาต่อหน้ามัน พวกท่านทั้งสองยังควงพลองกระบองเหล็กไล่ล่าติดตามเราดั่งเงาปีศาจ แต่ทว่าเราจึงไม่อาจยอมให้พวกท่านจับตัวเอากลับไปได้อีกเด็ดขาด”

เยี่ยนผิงยืนฟังเรื่องราวของนางเฒ่าอสูรผู้นี้ มาตรว่าจะมีความเวทนามารดาที่มีความรักถนอมบุตร แต่ทว่านางเฒ่าอสูรมรณะผู้นี้หยิ่งยโสโอหังเกินไป  ในน้ำเสียงที่กล่าวแม้นจะซ่อนเร้นรันทด แต่อดจะรู้สึกหมั่นไส้ในวาจาเขื่องโขท่าทางวางก้ามไม่เกรงกลัวผู้ใดอยู่ในสายตามิได้ ดังนั้นจึงส่งเสียงกล่าวแสดงความคิดเห็นขึ้นว่า

“ข้าพเจ้าเยี่ยนผิงยิ่งฟังยิ่งระคายหู ยิ่งดูยิ่งมองยิ่งรู้สึกขัดตา ดังนั้นจึงต้องขอขมาเสียมารยาทโดยอุกอาจครั้งหนึ่ง”

เยี่ยนผิงหลังจากประสานมือขึ้นเป็นการขอขมาอนุญาต หันหน้าจับจ้องมาทางด้านนางเฒ่าอสูรมรณะชิ้วเชี๊ยะโหล่ว ส่งเสียงกล่าววาจาว่า

“เรียนถามอาวุโสตรง ๆ คงมิคิดว่าข้าพเจ้าบังอาจ ฟังจากที่ท่านกล่าววาจาออกมาเมื่อครู่ แสดงว่าท่านยินยอมกลืนกินน้ำลายตนเองที่ถ่มไว้ถูกต้องหรือไม่?”

นางเฒ่าอสูรมรณะแห่งชมพูทวีปชิ้วเชี๊ยะโหล่ว ระเบิดเสียงหัวร่อราวเสียงฟ้าร้อง แค่นเสียงในจมูกกล่าวตอบว่า

“ทารกหญิงนางนี้ใจกล้ามิเลว กล้ากล่าววาจาไถ่ถามความจริงจากเรานางเฒ่าอสูรตรง ๆ ต่อหน้า กลืนกินน้ำลายตนเองแล้วจะเป็นเช่นไร? เจ้ายังเยาว์วัยไม่เข้าใจเรื่องราวถ่องแท้ แม่รักบุตรที่ได้แบ่งออกมาจากช่องคลอด มันเป็นก้อนเลือดในอกเรา เราให้กำเนิดมันได้แต่กลับไม่มีปัญญาเลี้ยงดูอบรม สุนัขยังรู้จักรักลูกของมัน นับประสากระไรกับเราที่เป็นคน ซึ่งประกอบด้วยเลือดเนื้อ หรือว่าเจ้าจะให้เราเชือดเถือก้อนเนื้อทิ้งได้โดยที่ไม่รู้สึก”

หยางปู้ชุยชิวได้ยินเช่นนั้น ส่งเสียงกล่าวขึ้นบ้างว่า

“ข้าพเจ้าหยางปู้ชุยชิวแม้ยังเยาว์วัย อีกทั้งมิได้อยู่ในเหตุการณ์คราวนั้น แต่ฟังจากที่ท่านกล่าววาจาเมื่อครู่รู้สึกน่าเวทนาเห็นใจ ไม่ผิดที่ท่านอาวุโสจะรู้สึกเช่นนั้น เพียงแต่การแสดงออกของท่านออกจะอำมหิตไปสักหน่อย ในโรงเตี๊ยมแห่งนั้นท่านสังหารผู้คนไปกี่ชีวิต พวกเขาตายไปไม่ทราบความผิด เป็นเพียงเครื่องมือให้ท่านระบายโทสะ สามีท่าน ภรรยาเขา บุตรหลานของพวกเขาเหล่านั้นกลายเป็นกำพร้า ท่านลองใช้ปัญญาตรึกตรองให้ถ่องแท้ พวกเขาที่อยู่ข้างหลังมีสภาพแตกต่างจากท่านอย่างไร?”

ลามะทั้งสองยกมือพนมกล่าวคำสรรเสริญอมิตพุทธโดยพร้อมเพรียง เส่าเทียนเต็กลามะส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“ประสกน้อยท่านนี้กล่าววาจาได้น่าฟังยิ่ง นางเฒ่าอสูรชิ้วท่านได้ยินหรือไม่? อาวุโสหรือวัยเยาว์มิอาจวัดคุณค่าความคิด จิตใจสูงต่ำมิอาจวัดได้จากภายนอกผิวเปลือก ท่านเฒ่าชราปูนนี้ยังมิรู้จักดีชั่วถูกผิด ท่านลองคิดตรองดูเอาเถิด ก้อนถ่านแดงฉานในเตาไฟ หากไม่ยึดถือเอาไว้ก็ไม่ร้อนลวกเจ็บปวดพุพอง หากท่านยังนำก้อนถ่านแดง ๆ มากำไว้ในฝ่ามือ มีแต่จะเผาผลาญทรมานท่าน”

ลามะนามทิเทียนเต็กกล่าววาจาต่อจากศิษย์พี่ใหญ่ของท่านว่า

“นางเฒ่าอสูรชิ้วโปรดวางลงเถิด มิยึดถือไว้ก็ไม่เจ็บปวด ความแค้นเปรียบไปไม่แตกต่างจากก้อนถ่านแดง ๆ มิผิดแผกแตกต่างจากดาบกระบี่ที่แหลมคม ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง ท่านจะติดตามหาเลือดเนื้อเชื้อไขของตนนั้นไม่ผิด ผิดที่ท่านยังมิละทิ้งกิเลสคิดเข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ เรื่องราวในเช้านี้ยุติเสียแล้วค่อยหาหนทางคลี่คลายปัญหาโดยสันติเถิด”

นางเฒ่าอสูรมรณะแห่งชมพูทวีปชิ้วเชี๊ยะโหล่ว นางระเบิดเสียงหัวร่อดังกึกก้อง ฟาดฝ่ามือทั้งสองออกอย่างเกรี้ยวกราด คลื่นลมปราณราวมรสุมคลุ้มคลั่งสองสายหนึ่งร้อนหนึ่งเย็น เมื่อนางฟาดฝ่ามือออกติดต่อก่อเกิดเป็นคลื่นลมร้อนเย็นระเบิดออกโดยรอบบริเวณ เสียงราวแผ่นฟ้าถล่มแผ่นดินทลายมิปาน ทุกผู้คนต่างพากันกระโดดหลบหนีไปคนละทิศทาง แม้แต่ลามะทั้งสองรูปยังมิอาจต้านทานลมปราณมรณะไฟเหมันต์นี้ได้ตรง ๆ

มีเพียงร่างหนึ่งซึ่งพุ่งเข้ามาหานางดั่งดาวตก หยางปู้ชุยชิวสำเร็จวิชาขั้นสูงสุดยอดซึ่งเรียกว่า “เทพยุทธ์สุริยันจันทรา” แนวทางวิชาคล้ายคลึงกับลมปราณมรณะไฟเหมันต์ของนางเฒ่าอสูรมรณะชิ้วเชี๊ยะโหล่ว แตกต่างที่เป็นแนวทางธัมมะหาใช่วิชามาร ดังนั้นเหล่าชาวยุทธ์จึงใฝ่ฝันคิดจะได้ครอบครองคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทราปกครองบู๊ลิ้ม หยางปู้ชุยชิวซึ่งก็คือจ่านจือส่งเสียงตวาดดังว่า

“ผู้เยาว์ขอบังอาจทดสอบลมปราณมรณะไฟเหมันต์ของท่านอาวุโสชิ้วดูสักหน่อย ขอให้อาวุโสทุกท่านโปรดถอยออกไปก่อน”

บัดนี้ ฝ่ามือทั้งสองของนางเฒ่าอสูรมรณะแห่งชมพูทวีปชิ้วเชี๊ยะโหล่ว ฝ่ามือด้านขวากลายเป็นสีแดงดุจเปลวเพลิง ส่วนฝ่ามือด้านซ้ายขาวโพลนราวน้ำแข็ง นางร่ายรำสองฝ่ามือออกต้านรับสองฝ่ามือของหยางปู้ชุยชิวซึ่ง ปากส่งเสียงตวาดเลื่อนลั่นดังว่า

“ทารกมิรู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ หาเรื่องตายอเนจอนาถแล้ว”

ยามนั้น ฝ่ามือของทั้งสองปะทะกันเสียงดังเพียะพะ ในจังหวะนั้นนางเฒ่าอสูรมรณะแห่งชมพูทวีปชิ้วเชี๊ยะโหล่ว คาดคำนวณว่าทารกผู้นี้จะกลายร่างเป็นครึ่งไก่ย่างเผาเกรียม กับอีกครึ่งร่างแข็งทื่อขาวโพลนเป็นมนุษย์หิมะสุดเวทนาอเนจอนาถ มิคาดนอกจากทารกผู้นี้ยังมีสภาพเป็นปกติ แถมยังพลิ้วร่างดั่งห่านป่ากระบวนท่าลงหยุดยืนนุ่มนวลสวยสดงดงามยิ่ง สิ่งที่ทำให้นางเฒ่าอสูรมรณะแห่งชมพูทวีปชิ้วเชี๊ยะโหล่ว ตระหนกแตกตื่นจนดวงตาแทบถลน ฝ่ามือของนางฝั่งขวากลับกลายเป็นน้ำแข็ง ส่วนฝั่งซ้ายกลับกลายเป็นไฟอัคคี ที่แตกตื่นไปกว่านั้นลมปราณสองสายหนึ่งร้อนหนึ่งเย็น ชำแรกแทรกผ่านฝ่ามือนางเข้ามาทางสองแขน สลับตรงข้ามกับลมปราณมรณะไฟเหมันต์ของนาง

บัดนี้นางทั้งแตกตื่นทั้งลนลาน พลังลมปราณมรณะไฟเหมันต์ที่นางแผ่พุ่งออกไป ซ้ายเย็นขวาร้อน แต่ลมปราณที่ชำแรกแทรกเข้ามากลับกลายเป็นขวาเย็นซ้ายร้อน ยามแตกตื่นลนลานประสบการณ์สั่งสมจึงมิสูญเสียสมาธิ รวบรวมลมปราณมรณะไฟเหมันต์ผลักลมปราณร้อนเย็นสองสายออกทางสองฝ่ามือ ปากส่งเสียงอย่างไม่เชื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า

“ทารกผู้นี้ เจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับเซียนเมฆาล่องลอยลวี้ยู่เฉียน?”

ทุกผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ ต่างส่งเสียงอุทานร้องออกมาด้วยความตกใจ ในคราวแรกคิดว่าหยางปู้ชุยชิวคงประสบเคราะห์กรรมอเนจอนาถแล้ว มิคาดเหตุการณ์ตรงกันข้าม ดังนั้นจึงพากันร้องอุทานออกมาดังอาแทบมิอยากเชื่อสายตา แม้แต่ลามะทั้งสองรูปยังต้องขยี้ดวงตาไปมาอยู่เที่ยวหนึ่ง ส่งเสียงร้องกล่าวพร้อมเพรียงกันว่า

“สุดยอดวิชาที่สาบสูญจากบู๊ลิ้ม เป็นวิชาฝ่ามือในคัมภีร์สุริยันจันทราของสำนักตำหนักหมื่นเทพเขาหมื่นเซียน”

ในขณะที่ทุกผู้คนยังคงตกตะลึงพรึงเพริดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางเฒ่าอสูรมรณะแห่งชมพูทวีปชิ้วเชี๊ยะโหล่ว นางสลายพลังที่แทรกซึมเข้ามาได้หมดสิ้น ฉกฉวยจังหวะพุ่งร่างดั่งหมอกควันสายหนึ่ง ร่างพุ่งละลิ่วไกลออกไปหลายร้อยวา ส่งเสียงร้องดังกลับมาความว่า

“ทารกน้อยผู้นี้เจ้ามีวิชาฝ่ามืออันน่ากลัวยิ่ง เรานางเฒ่าอสูรมรณะแห่งชมพูทวีปพ่ายแพ้ในฝ่ามือเจ้า เป็นเรื่องราวที่มิอาจยอมรับได้ แต่ทว่าเราคราวนี้กลับมีสติที่กล่าววาจาว่าจะยอมเชื่อฟังผู้ที่เอาชนะต่อเราได้ เอาไว้เราคลี่คลายปัญหาคาอก เสาะหาบุตรที่พลัดพรากจากกันจนพบ เราจะกลับมารับฟังคำสั่งจากเจ้าในคราวหลัง”

เยี่ยนผิง เอียวอั้งเย๊าะ ทั้งสองวิ่งเข้ามาหาหยางปู้ชุยชิว คนอื่น ๆ ต่างส่งเสียงร้องดีใจกรูกันเข้ามาห้อมล้อมเขาไว้อย่างยินดี อย่างน้อยเขาได้ไล่นางเฒ่าอสูรมรณะแห่งชมพูทวีปชิ้วเชี๊ยะโหล่วให้กับทุกคน เอียวอั้งเย๊าะส่งเสียงกล่าวกับสหายแซ่หยางปู้ของมันว่า

“สหายท่าน คาดคิดมิถึงท่านจะมีฝีมือสูงส่งล้ำเลิศถึงเพียงนี้ โชคดีที่ท่านมาได้ทันเวลา หากพี่สาวแซ่เซียวกับท่านมาไม่ทัน มิทราบว่าพวกเราจะกลายเป็นไก่ย่างหรือมนุษย์หิมะกันแน่?”

หยางปู้ชุยชิวส่งเสียงกล่าวตอบอย่างถ่อมตนว่า

“คุณชายเอียวกล่าวชมเราเกินไปแล้ว ความจริงเรากับเจ้เจ๊เดินทางมาถึงตั้งแต่ยังมิสว่าง แต่เกรงว่าจะเป็นการรบกวนทุกท่านยังไม่ตื่น จึงหลับนอนตื่นหนึ่งอยู่ภายนอกกำแพง ดังนั้นพอนางเฒ่าอสูรณะผู้นั้นอาละวาด จึงได้ชักชวนเจ้เจ๊พุ่งปราดเข้ามาได้อย่างทันเวลาพอดี”

ยามนั้น เอียวเซียวกุนก้าวเข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ เอียวอั้งเย๊าะ สองตากลมโตจับจ้องมองเยี่ยนผิงกับหยางปู้ชุยชิว สุดท้ายหยุดสายตาอยู่ที่ร่างของหยางปู้ชุยชิว ส่งเสียงกล่าวอย่างสำนึกขอบคุณว่า

“ขอบคุณพี่สาวท่านนี้ ขอบคุณพี่ชายท่านนี้ยิ่ง ป้อมสกุลเอียวปลอดภัยไม่มีผู้ใดได้รับอันตรายในวันนี้ นับว่าพี่สาวพี่ชายสองท่านนี้มีพระคุณกับสกุลเอียว ข้าพเจ้าเป็นคุณหนูแห่งป้อมสกุลเอียว เป็นน้องสาวของคุณชายเอียว พี่สาวพี่ชายทั้งสองเป็นสหายของพี่เอียวอั้งเย๊าะ เช่นนั้นก็เป็นพี่สาวพี่ชายของข้าพเจ้าเอียวเซียวกุนด้วยเช่นกัน”

เมื่อเห็นว่าทุกคนปลอดภัยไร้เรื่องราว เจ้าป้อมอาชามังกรเขียวเอียวเซียวเล้ง จึงเอ่ยปากเชื้อเชิญให้ทุกคนเข้าสู่ตึกใหญ่ พร้อมทั้งนิมนต์ลามะทั้งสองเข้าไปทำกิจธุระฉันภัตตาหารเช้า โดยเฉพาะหยางปู้ชุยชิวกลายเป็นที่สนใจของผู้คนทั้งหลายขึ้นมาในบัดดล

ยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า