Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (เด็กหญิงอันร้ายกาจ)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

เด็กหญิงอันร้ายกาจ

  • 29/09/2565

 ตอนที่ 207

เด็กหญิงอันร้ายกาจ

ภาพวาดในมือคือพระสนมซิ่วซู่เจิน รูปคนซึ่งสลักเสลาจากหยกยังคงเป็นพระสนมซิ่วซู่เจิน ตามประวัติเรื่องราวที่พอทราบมา พระนางได้หายตัวไปอย่างลึกลับ หายไปจากพระตำหนักลั่วหยาง เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านย่าทวดของจ่านจือ คือพระสนมซิ่วซู่เจินที่หายตัวไปจากวังหลวง

สำหรับเรื่องราวเหล่านี้ค่อยสืบสาวในคราวหลัง ในที่สุดสุสานต้นตระกูลจ้าวได้ถูกค้นพบแล้ว ส่วนประวัติความเป็นมาคาดว่าอาจต้องใช้เวลาค้นหาความจริง จ่านจือล้วงห่อผ้าเล็ก ๆ ออกมาห่อหนึ่ง บรรจงวางไว้ในพานทองใกล้ ๆ ป้ายวิญญาณบรรพบุรุษ ส่งเสียงกล่าววาจาต่อเยี่ยนผิงว่า

“นับว่ายังโชคดีอยู่บ้าง ข้าพเจ้าได้นำเถ้ากระดูกของบิดามารดา ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ที่สำนักตำหนักหมื่นเทพมาด้วย อีกทั้งในห่อผ้านี้ยังมีชิ้นกระดูกของท่านปู่ ซึ่งข้าพเจ้าอัญเชิญขึ้นมาจากใต้ผาเทพนิรันดร์ บัดนี้พวกท่านทั้งหลายได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้า เพียงแต่มิทราบว่าท่านย่าที่แท้จริงของข้าพเจ้าท่านเป็นผู้ใด? เอาไว้ให้ผ่านเรื่องราวเส้าหลินไปก่อน ค่อยคิดหาหนทางสืบสาวเรื่องราวเบาะแส พร้อมกับจ้างช่างฝีมือจัดทำป้ายวิญญาณให้กับพวกท่านอย่างสมเกียรติ”

เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า

“ดวงวิญญาณของพวกท่านทั้งหลายบนสรวงสวรรค์ ป่านนี้คงรับรู้ถึงความกตัญญูของท่าน ดังนั้นวันนี้ที่พวกเราค้นหาสุสานนี้จนพบได้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นวิญญาณทั้งหลายเหล่านี้ ที่ดลบันดาลอาจเป็นได้”

จ่านจือคุกเข่าลงตรงหน้าป้ายวิญญาณ หน้าเถ้าถ่านกระดูกและหุ่นบรรพบุรุษซึ่งสลักเสลาจากหยกเขียว ส่งเสียงกล่าววาจาอธิษฐานว่า

“ข้าพเจ้าจ้าวจ่านจือ ถือได้ว่าเป็นลูกหลานของพวกท่านทั้งหลาย นอกจากนี้ยังมีน้องสาวของข้าพเจ้าอีกผู้หนึ่ง วันนี้ได้กระทำภารกิจสำเร็จนับว่าไม่ง่ายดายนัก ส่วนหนึ่งต้องขอขอบพระคุณดวงวิญญาณทุกดวงของพวกท่าน ภารกิจหลังจากนี้ ยังมีปัญหาให้ต้องสะสางล้างมลทิน ได้ยินว่ากระบี่ล้ำค่าอาวุธคู่วิเศษ จะสามารถชำระล้างอาเพศต้นเหตุเรื่องราวในคราวหลัง รวมทั้งความบาดหมางทั้งหลายให้คลี่คลาย เรื่องราวเลยร้ายอาจแก้ไขกลับกลายเป็นดีได้ในที่สุด หากเป็นจริงดั่งวาจาข้าพเจ้ากล่าวอธิษฐาน ขอดวงวิญญาณพวกท่านโปรดดลบันดาล ให้ข้าพเจ้าพบพานกระบี่สุริยันและจันทราด้วยเถิด”

จ่านจือกล่าวคำอธิษฐานจบ ก้มลงกราบอีกสามครั้ง พาเงยหน้าขึ้นคล้ายดั่งมีประกายวูบวาบแวววาวแยงเข้าในคลองจักษุ เขารีบแหงนหน้ามองขึ้นไปบนเพดานของห้องศิลา จึงทราบว่าแสงวูบวาบสาดประกายออกมาจากช่องหนึ่งบนเพดานเหนือศีรษะ

จ่านจือพลิ้วกายแผ่วเบาราวปุยนุ่น ร่างลอยอยู่ใต้เพดานของห้องศิลา ทอดสายตามองเห็นมีช่องหนึ่งอยู่บนนั้น จึงเอื้อมมือฉวยสิ่งของบางอย่างจากช่องลับบนเพดาน พลิ้วร่างลงมาหยุดยืนตรงหน้ารูปแกะสลักอย่างแผ่วเบายิ่ง ในมือประคองกล่องเงินแวววาวไม่เล็กไม่ใหญ่อยู่ใบหนึ่ง

เยี่ยนผิงนางสงสัยและตื่นเต้นยินดีในคราวเดียว ส่งเสียงกล่าววาจากับจ่านจือว่า

“ในกล่องเงินซุกซ่อนสิ่งใดเอาไว้? จ่านจือท่านลองเปิดดู อาจเป็นปู่ท่านนำมาเก็บซ่อนไว้ที่นี่”

จ่านจือรีบยื่นกล่องเงินในมือให้เยี่ยนผิงนางช่วยถือ ส่วนตนเองค่อยเปิดฝากล่องเงินออกอย่างช้า ๆ ภายในกล่องพบจดหมายวางไว้ฉบับหนึ่ง ซึ่งอยู่ในสภาพที่ยังไม่ถูกเปิดออกดูมาก่อน  ดังนั้นรีบเปิดจดหมายออกอ่านข้อความในจดหมายมีใจความว่า

“สำนักตำหนักหมื่นเทพเขาหมื่นเซียน เจ้าสำนักลวี่ยู่เฉียนเขียนจดหมายฉบับนี้ทิ้งไว้ หลังธารน้ำตกมีเส้นทางลับอันซับซ้อน ผู้มีบุญวาสนาจึงสามารถค้นหาได้ไม่ยากเย็น เป็นเจ้าของกระบี่คู่วิเศษขจัดเภทภัยยุทธภพ”

จ่านจือบรรจงพับจดหมายวางไว้ในกล่องเงินเช่นเดิม ปิดฝากล่องแล้วพลิ้วกายขึ้นไปอีกรอบ สอดกล่องเงินเก็บไว้ในตำแหน่งเดิม เมื่อพลิ้วร่างกลับลงมาใหม่ ส่งเสียงกล่าววาจากับเยี่ยนผิงว่า

“ชาวยุทธ์ค้นหากันแทบตาย ฆ่าฟันห้ำหั่นพลิกแผ่นดินหาลูกตาแทบหลุด ใช้ระยะเวลาค้นหากันมายาวนาน ความจริงอันว่าไกลอยู่ใกล้แค่เอื้อม อันว่ายากดั่งงมเข็มในมหาสมุทร กลับง่ายดายปานขุดหน้าผิวดิน พวกเราคงต้องรีบออกเดินทางไปเขาหมื่นเซียน นับว่ายังโชคดีที่เป็นเส้นทางเดียวกัน ซึ่งพวกเราเดินทางไปเส้าหลิน เขาหมื่นเซียนกับเขาซงซานอยู่ห่างกันไม่ไกล ข้าพเจ้ากับท่านลองสำรวจที่นี่ให้ถ้วนทั่ว แล้วออกเดินทางกลับขึ้นไปก่อนมืดค่ำเถิด”

คนทั้งสองสำรวจภายในห้องศิลา พบว่ายังมีห้องอื่น ๆ อยู่อีกหลายห้อง ห้องหนึ่งเก็บตำรับตำราหนังสือ ทั้งบทกลอนกวี ภาพวาดโน้ตเพลง ตำราโหราพยากรณ์ การวางหลักจัดตั้งค่ายกล ตำแหน่งดวงดาวบนท้องฟ้า ดินฟ้าอากาศ ตำรับตำรายาสมุนไพร หนังสือเกี่ยวกับยุทธวิธีสู้รบจัดทัพตั้งกองกำลังทหาร รวมทั้งหนังสือธัมมะอีกด้วย

อีกห้องหนึ่งเก็บสมบัติเครื่องประดับล่ำค่า อัญมณีชนิดต่าง ๆ เพชร พลอย หยก มรกต ไข่มุก เงินและทองคำ และสิ่งมีค่ามีราคาที่หาได้ยากอยู่มากมาย อีกห้องหนึ่งเก็บอาวุธ มีทั้งมีด ดาบ กระบี่ หอก ทวน กระบอง อีกห้องหนึ่งเป็นของใช้ชนิดต่าง ๆ ดูมีคุณค่ามีราคาหายาก รวมทั้งชุดเสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องนอน เครื่องลายคราม แจกัน ถ้วยชาม เครื่องครัวอีกหลากหลายชนิด

หลังจากสำรวจจนถ้วนทั่วแล้ว จ่านจือส่งเสียงกล่าวต่อเยี่ยนผิงว่า

“สิ่งของเหล่านี้มีมากมายใช้ไปจนตายยังไม่หมด เยี่ยนผิงข้าพเจ้าต้องการให้ท่านเลือกของขวัญ สำหรับตัวท่านชิ้นหนึ่ง อีกทั้งช่วยข้าพเจ้าเลือกสำหรับเป็นของขวัญ วันแต่งงานของสหายทั้งหลายของพวกเรา เตรียมเอาไว้ก่อนล่วงหน้าดีหรือไม่?”

เยี่ยนผิงแสดงสีหน้ายินดี ส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ประเสริฐ เป็นความคิดที่วิเศษ จ่านจือท่านนี้รอบคอบนัก รู้จักจัดลำดับความสำคัญหน้าหลัง มาตรว่าจะวุ่นวายลำบากสักปานใด? แต่ท่านยังคล้ายไม่ลืมสหายร่วมแนว หากพวกเขารับทราบคงปลาบปลื้มปีติ ที่มีท่านประมุขที่รอบคอบกอปรด้วยคุณธรรมน้ำใจเพียงนี้”

กล่าววาจาจบคนทั้งสองกลับเข้าไปภายในห้องเก็บเครื่องประดับ เยี่ยนผิงเลือกสิ่งของหลายชิ้นใส่ไว้ในกระเป๋าผ้า คาดว่าน่าจะครบถ้วนสำหรับกับทุกคนและตนเอง สำหรับนางชื่นชอบกำไลหยกวงหนึ่ง จ่านจือส่งเสียงกล่าวว่า

“กำไลหยกวงนี้เหมาะกับท่านยิ่ง ให้ถือว่าข้าพเจ้านั้นได้หมั้นหมายจองท่านไว้นับแต่นี้ เราสองผ่านเรื่องราวเลวร้ายมากมาย ได้แต่ใช้กำไลหยกวงนี้ตีตราจองท่านไว้ ต่อไปจะได้ไม่มีผู้ใดใช้สายตาชื่นชมท่านอีก ท่านเองก็มิให้ใช้สายตาชื่นชมบุรุษใดเข้าใจหรือไม่?”

เยี่ยนผิงถึงกับใบหน้าแดงฉานสดใส อดจะเอียงอายขวยเขินอยู่บ้างมิได้ ค้อนจ่านจือวงหนึ่งส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ท่านกล่าววาจาเช่นนี้ ข้าพเจ้าเป็นอิสตรีมีแต่น่าอาย ท่านกล่าวกับข้าพเจ้าลำพังยังมิแน่ว่าจะเป็นข้อผูกพัน ฉะนั้นกลับไปคราวนี้เห็นทีท่านคงต้องส่งผู้ใหญ่ไปเจรจากับบิดามารดา เช่นนี้จึงจะถือว่าผูกมัดสัมพันธ์หมั้นหมายแท้จริง ท่านเองก็ห้ามมิให้ใช้สายตาชำเลืองมองหญิงอื่นอีก เพียงแต่สตรีอื่นข้าพเจ้าคงไม่อาจห้ามพวกนางได้ จ่านจือของข้าพเจ้าสมบูรณ์พร้อมเพียงนี้ สตรีที่ดีไหนเลยจะไม่คิดมอบใจให้กับท่านได้”

จ่านจือเอื้อมมือเกาะกุมสองมือน้อย ๆ ขาวผุดผาดนุ่มนิ่มของเยี่ยนผิงไว้ ส่งเสียงกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจต่อนางว่า

“ข้าพเจ้าจ้าวจ่านจือ ถือว่าเป็นชายชาตรีที่มีใจสมัครรักท่านผู้เดียว สตรีอื่นหมื่นแสนแม้นงดงามเพียบพร้อม หัวใจดวงนี้ของข้าพเจ้าได้แต่มอบกับท่านผู้เดียว”

เยี่ยนผิงนางก้มหน้าลงด้วยความขวยเขินเอียงอาย สองปรางอมชมพูระเรื่อขับเสริมความงดงามจนแทบหยดย้อย ส่งเสียงกล่าวตอบแผ่วเบาว่า

“ข้าพเจ้าเซียวเยี่ยนผิง ชั่วชีวิตนี้ไม่คิดหนีไปจากท่าน หัวใจของข้าพเจ้าได้มอบกับท่านมาเนิ่นนานแล้ว ชายอื่นหมื่นแสนไม่คิดเหลือบแลแม้แต่หางตา”

ทั้งจ่านจือและเยี่ยนผิง คนทั้งสองล้วนมีความปรารถนาที่ดีต่อกัน ผูกสัมพันธ์เกลียวรัก ถักทอสายใยผูกพันเหนียวแน่น มาตรแม้นจะพานพบอุปสรรคขวากหนามสักปานใด ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟเสี่ยงอันตรายน้อยใหญ่ มิว่าเรื่องราวดีเลวอันใด ก็ไม่อาจพรากตัดขาดแยกจากกันได้อย่างแน่นอน

จ่านจือรู้สึกว่าเขาเกิดมาแม้กำพร้ามาแต่กำเนิด แต่นับว่ายังมีวาสนาได้พบพากับสตรีที่ดีเช่นนาง ดังนั้นโน้มใบหน้าก้มลงจุมพิตตรงกลางหน้าผากนางแผ่วเบา แล้วทั้งสองต่างสวมกอดกันแน่นราวกับว่าเป็นร่างกายเดียวกัน ความรู้สึกของทั้งสองคล้ายดั่งเคลิบเคลิ้มล่องลอยอยู่ในทิพยวิมานสรวงสวรรค์ชั้นฟ้ามิปาน เนิ่นนานจึงปล่อยมือผละจากกัน เยี่ยนผิงส่งเสียงกระตุ้นเตือนว่า

“ข้าพเจ้าคิดว่าพวกเราควรรีบกลับขึ้นไปด้านบนกันเถิด ป่านนี้คงสิ้นแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าเนิ่นนานแล้ว อย่างน้อยเราสองคนรีบเดินทางออกจากสุสานนี้ เสาะหาโรงเตี๊ยมสั่งสุราอาหารรับประทานสักมื้อหนึ่ง อีกทั้งพักผ่อนหลับให้สบายสักตื่นหนึ่ง รุ่งเช้าค่อยออกเดินทางไปคอกปศุสัตว์ป้อมอาชามังกรเขียว”

จ่านจือพยักหน้าเห็นด้วย ดังนั้นจึงออกจากห้องศิลา พอก้าวเท้าผ่านประตูออกมา ประตูพลันเลื่อนปิดได้เองดั่งมีกลไกตั้งไว้โดยแยบยล เมื่อกลับขึ้นมาดึงหยกเหินลมออกจากผนังศิลา คบไฟตะเกียงน้ำมันพลันดับลง จ่านจือกวัดแกว่งชุดไฟส่องน้ำทาง พากันกลับขึ้นมาถึงบนศาลาแปดเหลี่ยมริมน้ำโดยปลอดภัย เยี่ยนผิงนางส่งเสียงกล่าววาจาว่า

“ประตูสุสานด้านนอกถูกหลวงจีนชั่วทุบทำลาย เช่นนั้นเราทั้งสองใส่สลักปิดเอาไว้ที่ด้านใน ป้องกันผู้ลอบเข้ามาภายในสุสานนี้ได้ ส่วนข้าพเจ้ากับท่าน ใช้ประตูลับที่สหายน้อยแซ่เอียวมันใช้เข้าออกเป็นประจำเป็นทางออกจากที่นี่”

จ่านจือส่งเสียงกล่าวว่า

“เช่นนั้นพวกเรารีบไปปิดประตูใหญ่ ใส่สลักลั่นกลอนเอาไว้ให้แน่นหนาจากภายใน”

ชั่วครู่ให้หลัง คนทั้งสองต่างจัดการใส่สลักลั่นกลอนประตูสุสานจากด้านใน กระทั่งแน่นหนาแข็งแรง จึงชักชวนออกมาจากสุสานทางช่องลับอีกฟากหนึ่ง เมื่อปิดช่องลับบนกำแพงศิลาเอาไว้ดั่งเดิมแล้ว คนทั้งสองมุ่งหน้าสู่เส้นทางสายหลัก เพื่อเสาะหาโรงเตี๊ยมพักผ่อนรับประทานอาหาร ก่อนออกเดินทางไปยังป้อมอาชามังกรเขียว

ทางด้านคอกปศุสัตว์ป้อมอาชามังกรเขียว เช้าตรู่ของวันนี้ เอียวอั้งเย๊าะเดินทางกลับมาถึง ด้วยนิสัยของมันยังคงใช้เส้นทางด้านหลังปีนข้ามกำแพงเข้าไปภายในป้อม

ภายในป้อมอาชามังกรเขียวกินพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล เอียวอั้งเย๊าะเมื่อกระโดดลงสู่พื้นด้านใน มันค่อย ๆ ย่องเข้าไปทางด้านหลัง ซึ่งมันเคยใช้เส้นทางนี้เข้ามาแล้วหนหนึ่ง เข้ามาขโมยเงินทองและม้า กลับกลายเป็นว่านอกจากไม่ถูกจับตัวมารับโทษ มันยังได้รับเมตตาจากท่านเจ้าป้อมอาชามังกรเขียวเอียวเซียวเล้ง รับมันเอาไว้เป็นบุตรบุญธรรม ทางด้านหลังของป้อมอาชามังกรเขียว ก่อสร้างเป็นคอกม้ายกโครงหลังคาสูงมุงด้วยหญ้าคา

ยังเป็นเวลาเช้าตรู่ เอียวอั้งเย๊าะคิดว่ายังไม่มีผู้ใดตื่นขึ้นมา มิคาดพอมันเลี้ยวมุมริมคอกม้า ประกายกระบี่เจิดจ้าจ่อจี้เข้าใส่คอหอยมัน เอียวอั้งเย๊าะยังมิทันเหลียวมองว่าเป็นผู้ใด รีบพลิกร่างกลับหลังตีลังกาไปตลบหนึ่ง จึงหลบรอดพ้นปลายกระบี่ที่เกรี้ยวกราด

ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงนางหนึ่ง ตวาดด้วยเสียงสดใสเข้ารูหูว่า

“บังอาจ ขวัญกล้าไม่เลว ท่านเป็นใครกัน? กล้าดีเช่นไรจึงบุกรุกป้อมอาชามังกรเขียว”

สิ้นเสียงกล่าววาจา กระบี่จ่อจี้เข้ามาอีกเจ็ดกระบี่ติดต่อ เอียวอั้งเย๊าะรีบทิ้งห่อผ้าที่สะพายไว้บนไหล่ลง ชักกระบี่ขึ้นต้านรับกระบวนท่า ค่อยเห็นชัดเจนว่าเป็นเด็กหญิงหน้าตาแฉล้มในชุดรัดกุมนางหนึ่ง มีอายุประมาณสิบสามสี่ปี เอียวอั้งเย๊าะเกรงว่าจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิด เรื่องราวอาจบานปลายใหญ่โต ปากส่งเสียงร้องกล่าววาจาดังว่า

“โกวเนี้ยน้อยท่านนี้ โปรดฟังวาจาเราก่อน เรามิได้ตั้งใจปีนป่ายบุกรุกเข้ามา เรามีนามว่าเอียวอั๊งเย๊าะ เป็น...”

เอียวอั้งเย๊าะมันกล่าววาจาได้เพียงเท่านี้ เงากระบี่เกรี้ยวกราดครอบคลุมมาถึงศีรษะ รีบหุบปากสะบัดกระบี่ ใช้ออกด้วยกระบวนท่าในวิชากระบี่สายรุ้งหยกขาวต้านรับ เด็กหญิงนางนั้นตวาดลั่นเสียงดังเจื้อยแจ้วว่า

“หัวขโมยผู้นี้กลับมีเพลงกระบี่อยู่ท่าสองท่า แต่ทว่านับว่าท่านโชคร้ายแล้วที่มาพบพานเราเข้า เราเอียวเซียวกุนจะฟันแขนขา เฉือนใบหู ตัดจมูกควักลูกตาท่านออกมา ข้อหาบุกรุกคอกปศุสัตว์ป้อมอาชามังกรเขียว”

เอียวอั้งเย๊าะเมื่อคลี่คลายกระบวนท่ากระบี่สุดท้ายแล้ว สะอึกพุ่งร่างไปทางด้านหลังสามก้าว ส่งเสียงกล่าววาจาว่า

“แม่นางช้าก่อน ข้าพเจ้ามิใช่หัวขโมย อีกทั้งมิได้มีเจตนาบุกรุกเข้ามาแต่อย่างใด? โปรดหยุดมือแล้วฟังวาจาเราอธิบายก่อน”

สตรีเยาว์วัยนางนั้นมิยอมฟังถ่ายเดียว พุ่งร่างเคลื่อนขวางตามติด สะบัดกระบี่ขวับขวับ สภาวะมิได้อ่อนด้อยลงไปจากเดิม ปากส่งเสียงตวาดดังว่า

“อย่าได้กล่าวคำเล่นลิ้น เห็นอยู่ชัด ๆ ถนัดชัดเจนทั้งสองลูกตา ท่านปีนป่ายเข้ามา ยังกล้าดีกล่าววาจาแก้ตัว การกระทำชั่วช้าอุกอาจป่านนี้ ประตูด้านหน้ามีหากท่านมิใช่หัวขโมยไฉนจึงมิใช้เส้นทางนั้น วันนี้ท่านชะตาขาดแล้ว ยอมให้เราจับกุมตัวไว้เสียแต่โดยดี”

ทันใดนั้น เสียงหนึ่งส่งเสียงร้องจากทางด้านหลังว่า

“เซียวกุน อย่าได้เสียมารยาท มันมิใช่หัวขโมยเด็ดขาด รีบเก็บกระบี่แล้วคำนับ ทำความรู้จักกับพี่ชายของเจ้า”

สตรีวัยเยาว์นางนั้นแสดงสีหน้าแปลกประหลาดใจ ถลึงตาจ้องมองใบหน้าเอียวอั้งเย๊าะคราหนึ่ง หันมาทางต้นเสียงกล่าวว่า

“บิดา ไฉนมันจะมิใช่หัวขโมย ข้าพเจ้าเห็นเต็มสองตาว่ามันปีนเข้ามาจากด้านหลัง วันก่อนบิดายังจดจำได้หรือไม่? มีคนร้ายเข้ามาขโมยเงินทองพร้อมกับอาชาไปคราหนึ่ง ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะมิยอมให้ผู้ใดเข้ามาขโมยทรัพย์สินของป้อมอาชามังกรเขียวไปได้อีกเด็ดขาด”

ที่แท้ผู้ที่กล่าววาจาจากด้านหลัง เป็นเจ้าป้อมอาชามังกรเขียวเอียวเซียวเล้ง เมื่อได้ยินเสียงการต่อสู้พร้อมกับเสียงตวาดลั่นของสตรีอ่อนวัยนางนั้น สี่คนวิ่งมาสมทบสีหน้าแตกตื่น พอเห็นว่าเป็นผู้ใดค่อยคลายสีหน้าลง หันมองมาทางเจ้าป้อมอาชามังกรเขียวเอียวเซียวเล้ง คนทั้งสี่ก็คือ เต็กกอ ป๋อกุน หุนเตียว เฉียวอัน คนงานอื่น ๆ ต่างทยอยวิ่งเข้ามาล้อมมุงดู

เจ้าป้อมอาชามังกรเขียวเอียวเซียวเล้ง ส่งเสียงกล่าววาจาอย่างเอ็นดูต่อเด็กหญิงนางนั้นว่า

“เซียวกุน มันมิใช่หัวขโมย มันเป็นพี่ชายของเจ้า มันมีชื่อว่าเอียวอั้งเย๊าะ รีบทำความเคารพพี่ชายเจ้าแล้วทำความรู้จักกันเร็วเข้า”

สตรีเยาว์วัยในชุดรัดกุมนางนั้น แท้จริงนางคือคุณหนูตระกูลเอียว เพียงแต่เรื่องราวของเอียวอั้งเย๊าะ ผู้เป็นบิดาของนางยังมิได้บอกกล่าวให้รับทราบ เนื่องด้วยต้องการให้เอียวอั้งเย๊าะพร้อมสหายทั้งสองเดินทางกลับมาก่อน จากนั้นค่อยแนะนำพร้อม ๆ กันในคราวเดียว คาดคิดมิถึงว่าเอียวอั้งเย๊าะจะเดินทางกลับมาถึงก่อน ดังนั้นส่งเสียงกล่าววาจาว่า

“เซียวกุน เจ้าเลิกซุกซนทำตัวดุร้ายได้แล้วกระมัง? ฟังบิดาบอกกล่าววาจากับเจ้าก่อน มันเป็นพี่ชายของเจ้าจริง ๆ ซึ่งเรารับเอาไว้เป็นบุตรบุญธรรม เจ้าเองมิใช่หรือที่บอกกล่าวกับบิดาว่า อยากมีพี่ชายหรือน้องชายมาเป็นเพื่อนเล่น ครั้นจะให้บิดาหามารดาใหม่ให้เจ้า กว่าจะมีทารกออกมาเป็นเพื่อนเจ้าคงมิทันท่วงทีแล้ว ดังนั้นมันกับบิดาถูกชะตากัน มันเองกำพร้าน่าสงสาร หรือเจ้าไม่อยากมีเพื่อนเล่นเอาไว้คลายเหงาแล้ว”

สตรีเยาว์วัยนางนั้น คลายสีหน้าลงจ้องมองใบหน้าสารรูปของเอียวอั้งเย๊าะ หันมากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบากับผู้เป็นบิดาว่า

“บิดา ไฉนท่านมิบอกกล่าวกับข้าพเจ้าก่อน ดูสารรูปมันคล้ายไม่เลว แถมยังมีฝีมือติดตัวอยู่หลายท่า หากได้มันมาเป็นพี่ชายจริง ๆ ข้าพเจ้าจะได้มีเพื่อนเล่นร่วมฝึกซ้อมเพลงกระบี่ทุกวี่วันแล้ว แต่ทว่าข้าพเจ้าล่วงเกินมันไปมาก แถมยังตวาดด่าไปอีกหลายคำ บิดาท่านช่วยพูดให้มันรู้สึกพึงพอใจรับข้าพเจ้าเป็นน้องสาวได้หรือ?”

เจ้าป้อมอาชามังกรเขียวเอียวเซียวเล้ง ส่งเสียงหัวร่อจูงแขนสตรีนางนั้นเข้าไปหาเอียวอั้งเย๊าะ ส่งเสียงกล่าวแนะนำว่า

“ต่อจากนี้ไป ให้พวกเจ้าทั้งสองปรองดองรักใคร่ บิดาดีใจยิ่งที่มีบุตรเพิ่มมาอีกผู้หนึ่ง ถึงเช่นไรเจ้ายังเป็นสตรี หากภายหน้าบิดาไม่อยู่แล้วอดเป็นห่วงมิได้”

จากนั้นหันมาทางเอียวอั้งเย๊าะ ส่งเสียงกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า

“เอียวอั้งเย๊าะ นางแซ่เอียวนามเซียวกุน นางเป็นน้องสาวของเจ้า”

แล้วหันมาทางด้านบุตรี ส่งเสียงกล่าวว่า

“เอียวเซียวกุน ผู้นี้เป็นคนตระกูลเอียว แซ่เดียวกับเจ้านามอั้งเย๊าะ ต่อจากนี้เจ้าเรียกเขาว่าพี่อั้งเย๊าะ เช่นนี้เจ้าว่าดีหรือมั๊ย?”

เอียวเซียวกุน แสดงสีหน้าสำนึกผิด ประสานมือขึ้นส่งเสียงกล่าวว่า

“พี่อั้งเย๊าะ เมื่อครู่ข้าพเจ้าเซียวกุนล่วงเกินท่าน ท่านพอใจที่จะมีข้าพเจ้าเป็นน้องสาวที่ซุกซนผู้นี้หรือไม่? เมื่อครู่ข้าพเจ้าต้องขออภัย”

เอียวอั้งเย๊าะ เห็นสตรีซุกซนเมื่อครู่เปลี่ยนน้ำเสียงท่าที ปฏิกิริยาหาได้เสแสร้งแกล้งทำ ตนเองไม่มีญาติพี่น้อง เมื่อเห็นว่าสารรูปเช่นตนนางเมื่อทราบความจริง ไม่มีท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ดูถูก คล้ายกับนางอยากมีพี่ชายจริง ๆ ดังนั้นส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ขอบคุณบิดาที่เมตตาข้าพเจ้าอั้งเย๊าะ เพราะความเข้าใจผิดจึงต่อยตี หากมิได้ราวีก็มิได้ทำความรู้จักกัน หากเจ้าไม่รังเกียจเราจริง ๆ จากนี้ไปเราจะรักใคร่กลมเกลียว เราเป็นพี่ชาย เจ้าเป็นน้องสาว เราทั้งสองล้วนมีบิดานามเซียวเล้ง เราจะเป็นพี่ชายที่ดีของเจ้า”

เอียวเซียวกุนกล่าวตอบว่า

“ข้าพเจ้าจะเป็นน้องสาวที่ดีเช่นกัน เพียงแต่ข้าพเจ้ามักซุกซน พี่ชายต้องอดทนกับพฤติกรรมของข้าพเจ้า”

เจ้าป้อมปศุสัตว์อาชามังกรเขียว ปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า โอบกอดคนทั้งสองส่งเสียงกล่าวว่า

“เช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่ประเสริฐ มา ๆ เข้าไปด้านใน อั้งเย๊าะเจ้าเพิ่งมาถึงบิดาจะให้คนจัดห้องให้เจ้า รีบอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วมารับประทานอาหารเช้าพร้อมหน้ากัน บิดาจะเรียกคนงานทั้งหมดมาแนะนำให้พวกเขาได้รู้จักเจ้าในฐานะคุณชายป้อมตระกูลเอียว”

ยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป